หน้าแรก สมาชิก รายการวัตถุมงคล ตะกร้าวัตถุมงคล วิธีชำระวัตถุมงคล วิธีบูชาวัตถุมงคล ประวัติวัด ติดต่อวัด เว็บบอร์ด
สมาชิก Log in
อีเมล์
รหัสผ่าน
สมัครสมาชิกใหม่
ลืมรหัสผ่าน
















ค้นหาวัตถุมงคล
 
 
 
หมวดวัตถุมงคล
  เครื่องราง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง หลวงพ่อสวัสดิ์
  พระเครื่อง หลวงปู่พิมพ์มาลัย
  พระเครื่อง หลวงพ่อสง่า
วัตถุมงคลของคุณ
รหัสวัตถุมงคล ราคา จำนวน
ยังไม่มีวัตถุมงคลอยู่ในตะกร้า
  • ชำระค่าวัตถุมงคล
  • แก้ไขรายการวัตถุมงคล
  • วิธีสั่งบูชาวัตถุมงคล
  •  

    มองเป็นเห็นธรรม - อธิษฐาน ทำไม
    “ขอนิมนต์พระคุณเจ้า นั่ง ณ ที่ควรเถิดขอรับ”
           
           “วันนี้ เทวสภามีประชุมเรื่องไรหรือ? ทวยเทพผู้ปกปักรักษาพระพุทธรูป แลแผ่นดินไทย จึงขึ้นมาโดยพร้อมเพรียงกันถึงปานนี้”
           
           “พระสยามเทวาธิราชเจ้า เธอมาปรารภเกล้ากระผม ให้เปิดประชุมเทวสภา เพื่อปรึกษาหาแนวทางแก้ไขสภาวธรรม ในสยามประเทศ ณ บัดเดี๋ยวนี้ นะขอรับ เกล้ากระผมจึงเชิญมหาพรหม มหาเทพ ที่ปกปักรักษาพระพุทธศาสนา และอดีตบุรพกษัตริยาธิราช มาร่วมประชุมกันในเพลานี้แลขอรับ”
           
           “อาตมา ขอนั่งฟังความได้ไหม?”
           
           “ยินดียิ่งเลยขอรับ พระคุณเจ้าอาจมีข้อวินิจฉัยที่เป็นคุณประโยชน์ต่อเทวสภาในวันนี้ แลอาจจักนำความปริวิตก ของเทวสภาไปเผยแผ่ให้ศิษยานุศิษย์ได้ทราบ จักได้ช่วยกันแก้ไขสภาวธรรมในสยามประเทศให้ดีขึ้น เพื่อแบ่งเบาความกังวลในพระราชหฤทัยแห่งสมเด็จพระบรมธรรมิกราชเจ้าที่ประชวรอยู่ ให้ได้ทรงเจริญพระราชสิริสวัสดิ์พิพัฒนมงคลทุกทิวาราตรีกาล ตามวิสัยกตัญญูกตเวทีชน บัดนี้เป็นมงคลกาลที่ควรเปิดการประชุมเทวสภาแล้ว เกล้า ฯ ขอไปทำหน้าที่ประธานเทวสภาก่อนนะขอรับ”
           
           “เจริญพร”
           
           “ข้าแต่มวลสมาชิกเทวสภา แลท่านผู้มเหศักดิ์เรืองเดช ทั้งหลาย ที่สถิตอยู่ในวิมานอันเกิดแต่บุญของตน บัดนี้ถึงกาลประชุมเทวสภาวาระพิเศษ ว่าด้วยเรื่องแนวทางแก้ไขสภาวธรรมในสยามประเทศ ตามคำขอร้องเปิดประชุมเทวสภาของพระสยามเทวาธิราชเจ้า กระผม ผู้เป็นประธานตามศักดิ์แห่งอินทราธิราช ขอเปิดประชุมเทวสภา ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้ แลขอแจ้งให้ท่านทั้งหลายได้ทราบว่า พระคุณเจ้าปภาโส ได้มาร่วมในการประชุมนี้ด้วย กิจใดที่เป็นไปโดยชอบธรรม แลประสงค์จะให้พระคุณเจ้านำไปเผยแผ่ในมนุษยโลก ก็จงปรารภกับพระคุณเจ้าในที่ประชุมนี้เถิด ขอเชิญพระสยามเทวาธิราชเจ้า นำเสนอประเด็นต่อที่ประชุม เทวสภาได้ ณ บัดนี้”
           
           “กราบนมัสการพระคุณเจ้า ขอถวายความเคารพแด่มวลสมาชิกเทวสภาทุกท่าน ด้วยเมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๓ สมเด็จพระบรมธรรมิกราชเจ้า ได้เสด็จออกมหาสมาคม ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ในพระบรมมหาราชวัง เนื่องในพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา ในการนี้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระบรมราโชวาทว่า “ขอขอบพระทัยและขอบใจท่านทั้งหลายเป็นอย่างยิ่ง ที่มีไมตรีจิตพรั่งพร้อมกัน มาให้พรวันเกิด รวมทั้งให้คำมั่นสัญญาโดยประการต่างๆ ข้าพเจ้าขอสนองพรและไมตรีจิตทั้งนั้นด้วยใจจริงเช่นกัน บ้านเมืองของเราเป็นปึกแผ่นมั่นคง และร่มเย็นเป็นปรกติสุข สืบมาช้านาน เพราะเรามีความยึดมั่นในชาติ และต่างร่วมแรงร่วมใจกัน บำเพ็ญกรณียกิจต่างๆ ตามหน้าที่ โดยถือประโยชน์ส่วนร่วมของชาติเป็นเป้าหมายสูงสุด
           
           ท่านทั้งหลายในสมาคมนี้ ตลอดจนคนไทยทุกหมู่เหล่า จึงควรจะได้ทำความเข้าใจในหน้าที่ของตนให้กระจ่าง แล้วตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด ด้วยความไม่ประมาท และด้วยความมีสติรู้ตัวอยู่เสมอ เพราะการกระทำโดยประมาทขาดความรอบคอบ เป็นเหตุให้เกิดความผิดพลาดเสียหายในหน้าที่ และการกระทำโดยขาดสติยั้งคิด ขาดเหตุผลความรู้จักถูกผิดนั้น เป็นเหตุให้เกิดความหลงความลืมตัว นำพาให้กระทำสิ่งที่มิใช่หน้าที่โดยชอบได้ ซึ่งเป็นอันตรายมาก อาจนำความเสื่อมสลายมาสู่ตนเองตลอดถึงประเทศชาติได้ จึงขอให้ทุกคนได้สังวรระวังให้มาก และประคับประคองกายใจให้เที่ยงตรงหนักแน่น ในอันที่จะปฏิบัติภารกิจของตนให้ถูกต้องตามหน้าที่ เพื่อความมั่นคง และเพื่อประโยชน์สุขอันยั่งยืนของชาติไทยเรา
           
           ขออำนาจแห่งคุณพระรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์จงคุ้ม ครองรักษาท่าน ให้ปราศจากทุกข์ ปราศจากภัย และอำนวย สุขสิริสวัสดิ์พิพัฒนมงคลให้สัมฤทธิ์แก่ท่านทั่วหน้ากัน”

           
           ด้วยทิพยปัญญาแห่งท่านทั้งหลาย ย่อมระลึกถึงพระบรมราโชวาทเมื่อ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๒ ความตอนหนึ่งที่ทรงปรารภว่า “ ...ความสุขความสวัสดีของข้าพเจ้า จะเกิดมีขึ้นได้ ก็ด้วยบ้านเมืองของเรามีความเจริญมั่นคงเป็นปรกติสุข.” ทุกท่านย่อมทราบดีว่าในรอบปีที่ผ่านมาความเป็นไปในความวุ่นวายหวาดระแวงกันที่เกิดจากอำนาจของความโลภ ความโกรธ ความหลง ในกมลสันดานของคนผู้มีอิทธิพลอำนาจทางการเมือง ได้ก่อพิบัติภัยแก่พระราชอาณาจักรมากมาย ทำความผิดเพี้ยนให้เกิดขึ้นทางธรรมชาติ สร้างทุกข์ระทมในหฤทัยแก่อาณาประชาราษฎร์เป็นจำนวนมาก แม้ทุกข์จะลดน้อยผ่อนบรรเทาด้วยพระมหากรุณาธิคุณ ที่ทรงพระราชทานด้วยสิ่งของอันจำเป็นในเบื้องต้น แต่รอยร้าวฉานในการแตกแยกทางความคิดทางการเมืองที่เป็นมิจฉาทิฏฐิกลับปรากฎมากขึ้น แม้แต่ใน ศาลสถิตยุติธรรม ก็ไม่ได้รับความเชื่อถือจากสาธารณชนบางกลุ่ม
           
           กระผมได้รับคำอธิษฐานจำนวนมากมายให้ปัดเป่าภัยพิบัติในครั้งนี้ ทั้งขอให้ช่วยนำพระราชอาณาจักรให้พ้นภัยพิบัติเกิดสวัสดิสุขสถาพร แลขอให้อำนวยศุภมงคล ดลบันดาลให้สมเด็จพระบรมธรรมิกราชเจ้าหายจากพระอาการประชวรเป็นปรกติสุขดังเดิม เมื่อพิจารณาด้วยกำลัง ปัญญาและทิพยอำนาจของกระผมแล้ว รู้ว่ามิใช่ฐานะที่ทำการให้สัมฤทธิผลได้ดังที่ชนทั้งหลายได้เปล่งอธิษฐานต่อกระผม เหตุนี้จึงนำความเข้าปรึกษาองค์อินทราธิราชเจ้าเพื่อขอแนวทางแก้ไข ท่านเมตตาให้เปิดประชุมเทวสภา เป็นมงคลกาลพิเศษในวันนี้ ขอกราบเรียนให้เหล่าเทพที่มีปัญหาเช่นกระผม ได้แถลงปัญหามา ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้ เถิด เพื่อจักได้ให้เทวสภาพิจารณาแก้ไขในคราเดียวแล”
           
           “กระผม โสธรเทพ ในนามของเทพผู้ปกปักรักษาหลวงพ่อโสธร ก็ประสบปัญหาเช่นเดียวกับที่พระสยามเทวาธิราชเจ้าได้นำเสนอต่อเทวสภา คำอธิษฐานของมวลมนุษย์ผู้ตกอยู่ในอำนาจกิเลสล้วนเป็นสิ่งที่เกินกำลังของมนุษย์เหล่านั้น เช่น เป็นคนเกียจคร้าน ก็ปรารถนาความร่ำรวย ขอให้ ถูกหวยรวยเบอร์ ปรารถนาความเป็นคนฉลาด ขอให้ตนสอบ ได้ตำแหน่งที่ดี, เป็นคนดื่มสุรา ก็ปรารถนาให้ครอบครัวมีความสุขบ้าง ขอให้ตนมีบุตรบ้าง, พระเดชพระคุณหลวงพ่อ โสธรเมตตารับคำอธิษฐานของทุกคนตามสมณวิสัย พวกผมก็บันทึกคำอธิษฐานเหล่านั้นแลประมวลรวมกันด้วย ทิพยอำนาจ ว่าไปตามอำนาจแห่งกรรมวิบากของแต่ละบุคคล ถ้าบุคคลใดที่มีกำลังบุญเก่าที่ได้กระทำมาแล้วในอดีตชาติ แลบุญที่ได้บำเพ็ญดีแล้วในพระพุทธศาสนาในปัจจุบันชาติสมบูรณ์บุญนั้น ย่อมอำนวยผลให้เกิดความสัมฤทธิผลตามคำอธิษฐาน ชนผู้สมหวังก็นำสิ่งของที่ถูกเล่าขานว่าหลวงพ่อโสธรชอบมาแก้บน หรือตนบนบานสิ่งใดไว้ ก็นำมาแก้บน ชนเหล่าอื่นที่ประสงค์เช่นนั้นเหมือนกัน ก็เลยถือเป็นแบบอย่างมาอธิษฐานบนบานหลวงพ่อโสธรบ้าง ครั้นได้ผลก็สรรเสริญเกียรติคุณหลวงพ่อ ครั้นไม่ได้ผล ก็ตำหนิติเตียนหลวงพ่อ สร้างบาปให้แก่ตน น่าสงสารชนเหล่านั้นที่เกิดมาพบพระพุทธศาสนา แต่ไม่ได้ใส่ใจศึกษาในพระธรรมคำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากันเลย กลับพาตัวให้มัวเมาอยู่ในวังวนของกิเลส พาตนให้ตกต่ำไปสู่อบายภูมิ มีนรกเป็นต้น อยู่ทุกวัน คิดว่าเหล่าเทพผู้ปกปักรักษาพระพุทธรูปสำคัญในพระราชอาณาจักร ก็คงพบปัญหานี้เหมือนกัน“
           
           “กระผม มหรรณเทพ เป็นผู้ปกปักรักษาพระร่วงทองคำ วัดมหรรณพาราม ก็ประสบปัญหาเช่นเดียวกัน บางคราก็มีว่าวหรือตะกร้อเต็มวิหาร ด้วยอ้างว่าบนบานด้วยสิ่งนี้ หลวงพ่อพระร่วงโปรด แท้จริงก็เป็นอำนาจแห่งบุญดังที่โสธรเทพได้พรรณนามาแล้ว อีกประการหนึ่งที่สังเวชใจเมื่อเห็นด้วยทิพยจักษุว่ามีสยามชนหลายคนหลงไปตามคำลือถึงอิทธิปาฏิหาริย์ในเจ้าพ่อศาล ที่ศาลอยู่เยื้องกับวัดมหรรณพาราม ด้วยอ้างความศักดิ์สิทธิ์ว่า แม้แต่สมเด็จพระบรมธรรมิกราชเจ้า พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ทรงไม่กล้าตัดถนนผ่านศาล และคำลืออีกมากมายทั้งทางจีนทางสยาม ทำให้พากันไปไหว้กราบบนบานศาลกล่าวด้วยเนื้อดิบไข่ดิบมากมาย พระคุณเจ้าคงจะทราบดีว่า การที่สมเด็จพระบรมธรรมิกราชเจ้า ไม่ทรงโปรดให้ตัดถนนผ่านศาลนั้นเป็นเพราะทรงบูชากตัญญูกตเวทิตาธรรมของเสือลูกยายผ่อง พระองค์อาจจะเคยทรงสดับเรื่องนี้จากสมเด็จพระบรมชนกนาถ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพราะเรื่องนี้เกิดขึ้นในรัชสมัยของพระองค์ สยามชนบอกว่าเคารพนับถือ สมเด็จพระบรมธรรมิกราชเจ้า พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทำไมจึงไม่บำเพ็ญตนตามรอยพระบาทของ พระองค์สร้างความเจริญให้สยามประเทศเล่า นี่คือความสังเวชของกระผม ที่ขอปรารภในเทวสภานี้ขอรับ”
           
           “ข้าพเจ้า เกศโรมหาพรหม หรือที่สยามชนขานนามว่า มหาพรหมเอราวัณ ก็มีปัญหาเช่นเดียวกับเทพทั้งสาม ที่พิสดารกว่าก็คือการบนบานว่าจะรำเปลื้องผ้าถวายเมื่อสัมฤทธิผล จนร่ำลือไปทั่วว่าอยากสมประสงค์ในคำอธิษฐานที่พิสดาร ก็ควรมาบนบานข้าพเจ้าในยามหลังเที่ยงคืน ด้วยเหล่ายักษ์บริวารของข้าพเจ้าจักรับคำอธิษฐานมาแจ้งให้ข้าพเจ้าได้ทราบ และจะสัมฤทธิผลได้เร็วพลัน แท้จริงมวลมนุษยชาติทุกคนล้วนเป็นไปตามวิบากกรรมของตน ไม่มีใครก้าวล่วงวิบากกรรมไปได้ ผลสัมฤทธิ์ ในคำอธิษฐาน ก็เป็นหนึ่งในวิบากกรรม ดังนั้นสมหวังหรือผิดหวังก็เป็นสิ่ง ที่ปรากฏในคำอธิษฐานตามสามัญสำนึกของสยามชนเสมอ จำไม่ได้ว่าใครหนอที่แปลคำอธิษฐานที่เป็นบารมีธรรม มาเป็นคำอธิษฐานตามอำนาจแห่งความปรารถนาของกิเลส ทิ้งตนให้ห่างไกลจากอธิษฐานธรรมที่ถูกต้อง สร้างตนให้มีบาปมลทินจากความผิดหวังในคำอธิษฐาน ด้วยการกล่าวโทษหลวงพ่อ พรหมเทวา ที่ตนเลื่อมใส ว่าไม่ช่วยเหลืออุปถัมภ์แก่ตน หลายคนถึงกับหมดศรัทธาในพระศาสนา เบี่ยงเบนนำตนไปเข้าสู่ศาสนาอื่น แล้วสร้างภัยพิบัติให้สยามประเทศโดยมิรู้ตัวว่าได้ทำลายความเป็นสยามให้เสื่อมสูญไปจากโลก แม้จะรู้ซึ้งในหลักอนิจจัง ตามพรหม-วิหารธรรม ก็ยังมีความสลดสังเวชบังเกิดในกมลจิตมิได้ ก็ขอแจ้งความต่อเทวสภาเพียงนี้แล”
           
           “เทวสภาได้ทราบพรหมเทวาพจน์ที่พรรณนามาแล้ว แลคงตระหนักในกถานั้นด้วยทิพยปัญญา เห็นภัยแห่งสภาวธรรมในสยามประเทศ ที่เป็นส่วนอกุศลธรรมตามพุทโธวาท บัดนี้ ด้วยอำนาจแห่งผู้เป็นประธานเทวสภา ขออัญเชิญ สันติดุสิตโพธิสัตว์ ได้แสดงอธิษฐานธรรมแก่เทวสภา เพื่อให้เหล่าพรหมเทวาที่ต้องรับภาระในสยามประเทศ ได้ยึดเป็นแนวทางปฏิบัติต่อคำอธิษฐานของสยามชน และให้พระคุณเจ้า ปภาโสได้นำไปเผยแผ่แก่พุทธบริษัทสืบไปขอรับ”
           
           “ขอนมัสการพระคุณเจ้า แลขออำนวยพรแด่พรหมเทวาในเทวสภาทุกท่าน ความสงบสันติสุขในพรหมวิหารธรรมของพรหมเทวาเป็นสิ่งจำเป็นต่อการดำรงอยู่ในสภาวธรรมของพรหมเทวา การส่งจิตให้ดิ้นรนไปตามกระแสของสยามชนของท่านทั้งหลาย แม้เป็นสิ่งที่เป็นกุศล ควรแก่การอนุโมทนา ก็ไม่เป็นสิ่งที่พึงกระทำด้วยความยินดี แลเศร้าหมองแห่งสุขทุกข์ของสยามชนที่อยู่ในวังวนวิบากกรรมอันเป็นวัฏสงสาร จะเป็นตัวเร้าเร่งให้ภาวะกุศลในกมลสันดานของท่านทั้งหลายลดลง ส่งผลให้ท่านหมดบุญ ในพรหมเทวาวิมานลด ลงตามลำดับชั้น การที่สภาวธรรมในสยามประเทศเสื่อมทรามลง ก็เป็นไปตามวิบากกรรมของสยามนิกร เป็นวิบากสมบัติของสมเด็จพระบรมธรรมิกราชเจ้าองค์ปัจจุบัน แม้สยามนิกรจะอธิษฐานนานัปการ เพื่อสวัสดิสันติสุขแห่งสมเด็จพระบรมธรรมิกราชเจ้า แลความวัฒนาสถาพรของสยามประเทศ ก็เป็นไปตามอำนาจกิเลสในกมลสันดานของเขา คำอธิษฐานที่พร่ำพูดต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วแผ่นดินสยาม หรือต่อพระพักตร์สมเด็จพระบรมธรรมิกราชเจ้า จะเป็นเพียงลมปากที่พัดผ่านไปสู่หูของพรหมเทวาหรือผู้อื่น หรือจะเป็นอธิษฐานธรรมบารมี ก็อยู่ที่เขาผู้เปล่งวาจา
           
           ท่านทั้งหลายย่อมทราบด้วยทิพยอำนาจแล้วว่าในพรหมโลก สวรรคโลก มีผู้อาศัยน้อยลงไป ด้วยขาดกัลยาณชนจากมนุษยโลกมาจุติ เมื่อเล็งแลไปสู่อบายภูมิ มีนรกเป็นอาทิ กลับมีทุรชนไปอาศัยอยู่มากมาย ตามย้อนไปดูวิบากกรรมของทุรชนเหล่านั้นก็พบว่าทำแต่อกุศลธรรม แต่ในมนุษยโลก เมื่อดูในมนุษยโลกก็พบว่ามีแต่ทุรชนที่ทำบาปอกุศลต่อเพื่อนมนุษย์ นี่ละสัจธรรมของวัฏสงสาร
           
           ท่านทั้งหลายได้สดับพุทโธวาทจากสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอรหันตสาวกมาแล้ว ย่อมทราบว่า อธิษฐานธรรม เป็นธรรมที่ควรตั้งไว้ในใจ เพื่อให้สามารถยึดเอาผลสำเร็จสูงสุดอันเป็นที่หมายไว้ได้ โดยไม่เกิดความสำคัญตนผิดและไม่เกิดสิ่งมัวหมองหมักหมมทับถมตน ต้องกอปรด้วยธรรม ๔ ประการ คือ
           
           ๑. ปัญญา คือ ความหยั่งรู้ในเหตุผล พิจารณาให้เข้าใจ ในสภาวะของสิ่งทั้งหลายจนเข้าถึงความจริง
           ๒. สัจจะ คือ ดำรงมั่นในความจริงที่รู้ชัดด้วยปัญญา เริ่มแต่จริงวาจาจนถึงปรมัตถธรรม
           ๓. จาคะ คือ สละสิ่งอันเคยชิน ข้อที่เคยยึดถือไว้ และสิ่งทั้งหลายอันผิดพลาดจากความจริงเสียได้ เริ่มแต่สละอามิสจนถึงสละกิเลส
           ๔. อุปสมะ คือระงับโทษข้อขัดข้องมัวหมองวุ่นวายอันเกิดจากกิเลสทั้งหลายแล้ว ทำจิตใจให้สงบได้
           
           พรหมเทวาบางท่านคงประจักษ์ในอธิษฐานธรรมแห่งสิทธัตถโพธิสัตว์ เมื่อวันวิสาขบูชาก่อนการตรัสรู้ ในสมัยนั้นพระบรมโพธิสัตว์ก็หันพระปฤษฎางค์ทางต้นโพธิ์ ผินพระพักตร์มาทางด้านทิศบูรพา ตั้งพระทัยมั่นคงทรงอธิษฐานธรรมปรมัตถบารมีว่า แม้จะเหลือแต่หนัง เอ็น และกระดูกก็ตามที เนื้อและเลือดในร่างกายนี้ จะเหือดแห้ง ไปให้หมดเถิด ตราบใดเรายังไม่บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว จักไม่ลุกจากบัลลังก์นี้เป็นอันขาด เสด็จประทับคู้อปราชิตบัลลังก์ ถึงแม้สายฟ้าตั้งร้อยครั้งรวมกันฟาดลงมา ก็ไม่อาจทำให้แยกออกได้ ที่สุดพระองค์ทรงบรรลุถึงซึ่งความตรัสรู้ในปัจฉิมยามแห่งราตรีนั้น อธิษฐานที่แท้จริงต้องเป็นเช่นนี้ สุขสวัสดิสถาพรจักบังเกิดได้ด้วยอธิษฐานธรรมที่เป็นสามัคคีของสยามนิกรทุกคน
           
           พรหมเทวาทั้งหลาย พึงทำอธิษฐานธรรมในตนให้สัมฤทธิผลตรงตามธรรม แลอนุโมทนากุศลนั้นให้สยามนิกรชนด้วยพรหมวิหารธรรม เพื่อให้เขาเหล่านั้นได้ปัญญา เกิดดวงตาเห็นธรรม ดำรงตนในวิถีแห่งกัลยาณชน นำสยามประเทศเข้าสู่สันติสุขโดยพลัน ยังกุศลสภาวธรรมให้บริบูรณ์ในสังคมของตน ความเสื่อมอกุศลธรรมทั้งปวงก็จักเสื่อมสิ้นไปแล
           
           ขออำนาจแห่งพระรัตนตรัยจงเจริญในกมลสันดานของพรหมเทวาเป็นนิตยกาลเทอญ”
           
           “ขอบพระคุณในพรหมวิหารธรรมของสันติดุสิตโพธิสัตว์ ที่พรรณนาอธิษฐานธรรมให้เทวสภาได้รับทราบอีกครา กระผมทราบว่าทุกขวิตกในจิตของพระสยามเทวาธิราชเจ้าและพรหมเทวาอีกหลายองค์ ที่ต้องอยู่ในสยามประเทศได้บรรเทาลงแล้ว ก็ขอให้ทุกองค์ได้นำกถาแห่งสันติดุสิตโพธิสัตว์ ไปเป็นแนวปฏิบัติกับสยามนิกรเถิด แลความปรารถนาของท่านย่อมสำเร็จในที่สุด บัดนี้เป็นกาลควรแก่การปิดประชุมเทวสภาแล้ว ขอกราบขอบพระคุณ พระคุณ เจ้าปภาโส ที่มารับฟังพรหมเทวาทัศนะในเทวสภานี้ และขอสวัสดิสันติสุขจงมีแด่พรหมเทวาทุกท่าน กระผมขอยุติการประชุมเทวสภา ณ บัดนี้”
           
           .....
           
           “ปังๆๆๆๆๆ” เสียงสามเณรเรียกหลังเคาะประตูว่า “หลวงพ่อ ได้เวลาบิณฑบาตแล้วขอรับ”...
           
           (จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 122 มกราคม 2554 โดย พระพจนารถ ปภาโส วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม)


    • Update : 7/7/2554
    © Copyright 2011 www.watnongmuang.com All rights reserved 999arch