หน้าแรก สมาชิก รายการวัตถุมงคล ตะกร้าวัตถุมงคล วิธีชำระวัตถุมงคล วิธีบูชาวัตถุมงคล ประวัติวัด ติดต่อวัด เว็บบอร์ด
สมาชิก Log in
อีเมล์
รหัสผ่าน
สมัครสมาชิกใหม่
ลืมรหัสผ่าน
















ค้นหาวัตถุมงคล
 
 
 
หมวดวัตถุมงคล
  เครื่องราง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง หลวงพ่อสวัสดิ์
  พระเครื่อง หลวงปู่พิมพ์มาลัย
  พระเครื่อง หลวงพ่อสง่า
วัตถุมงคลของคุณ
รหัสวัตถุมงคล ราคา จำนวน
ยังไม่มีวัตถุมงคลอยู่ในตะกร้า
  • ชำระค่าวัตถุมงคล
  • แก้ไขรายการวัตถุมงคล
  • วิธีสั่งบูชาวัตถุมงคล
  •  

    การเลี้ยงนกกระจอกเทศ -1
    การเลี้ยงนกกระจอกเทศ
             นกกระจอกเทศจัดเป็นสัตว์ดึกดำบรรพ์ก่อนพุทธกาล ที่ยังสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ในโลกจนถึงยุคโลก
    จนถึงยุค โลกาภิวัตน์เป็นสัตว์ป่าที่อาศัยอยู่ในทวีปแอฟริกาซึ่งป่าแอฟริกาจะเป็นป่าโปร่งมีทุ่งหญ้ากว้างไกล
    มีพื้นที่ค่อนข้างแห้งแล้ง มีบางส่วนเป็นทะเลทราย คนแอฟริกันจะมีความคุ้นเคยกับนกกระจอกเทศเกือบทุกส่วน ตั้งแต่เนื้อ ไข่สำหรับบริโภค หนังทำเครื่องนุ่งห่มและเครื่องใช้ เปลือกไข่ไว้บรรจุน้ำหรือทำเครื่องประดับ และขนทำเครื่องประดับของเผ่า เป็นต้น
             กล่าวได้ว่า การทำฟาร์มนกกระจอกเทศนั้นเริ่มต้นเกิดขึ้นในประเทศแถบทวีปแอฟริกา ต่อมาการทำ
    ฟาร์มเลี้ยงนกกระจอกเทศแพร่หลายเพิ่มขึ้นในทวีปต่าง ๆ ทั้งในสหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส อังกฤษ อิสราเอล
    ออสเตรเลีย และจีน เป็นต้น นับได้ว่าปัจจุบันมีฟาร์มเลี้ยงนกกระจอกเทศไม่น้อยกว่า 5,000 ฟาร์มทั่วโลก


    นกกระจอกเทศจัดเป็นสัตว์ในตระกูล Ratites ซึ่งเป็นสัตว์ปีกที่บินไม่ได้ มีด้วยกัน 5 ชนิด แบ่งแยกอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของโลก คือ

    1.
    นกกีวี (Kiwi) มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศนิวซีแลนด์ และเป็นสัญลักษณ์ของประเทศด้วย ขนาดตัวไม่ใหญ่ โตเต็มที่จะมีน้ำหนักเพียง 3-4 กิโลกรัม เท่านั้น
    2. นกเรีย (Rhea) มีถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปอเมริกาใต้ ขนาดตัวใหญ่กว่านกกีวี มีน้ำหนักประมาณ 20-30 กิโลกรัม สูง 1.20-1.50 เมตร
    3. นกแคสโซวารี (Cassowary) มีถิ่นกำเนิดอยู่ทางภาคเหนือของประเทศออสเตรเลีย และในประเทศปาปัวนิวกินี (Papua New Guinea) สูงประมาณ 1.3-1.5 เมตร มีน้ำหนัก 50-60 กิโลกรัม ขนสีดำเป็นมันตลอดลำตัวที่ใบหน้าจะมีหนังเป็นสีต่าง ๆ สวยงามมาก
    4. นกอีมู (Emu) มีถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปออสเตรเลีย ขนสีน้ำตาลปนดำ ตัวเมียใหญ่กว่าตัวผู้ สูงประมาณ 1.3-1.6 เมตร มีน้ำหนัก 40-60 กิโลกรัม นิยมเลี้ยงเพื่อใช้น้ำมันมาทำเครื่องสำอาง เนื้อสามารถบริโภคได้
    5. นกกระจอกเทศ (Ostrich) มีถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปแอฟริกา เป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในตระกูลนี้ ตัวผู้จะมีน้ำหนักประมาณ 100-165 กิโลกรัม ส่วนตัวเมียมีน้ำหนักประมาณ 90-125 กิโลกรัม สูงประมาณ 1.50-2.50 เมตร มีลักษณะเป็นสัตว์เศรษฐกิจที่สำคัญ คือ ให้ผลผลิตที่มีมูลค่ามากนับตั้งแต่หนัง เนื้อ ขน ไข่ และน้ำมัน

    ....ในปัจจุบันได้มีการนำนกกระจอกเทศมาปรับปรุงพันธุ์และเลี้ยงเป็นการค้ากันทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นในยุโรป เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมันนี เนเธอแลนด์ และในทวีปออสเตรเลีย ในอเมริกานั้นเลี้ยงนกกระจอกเทศมากกว่า 3,000 ฟาร์ม หรือแม้แต่ในเอเชียก็มีการเลี้ยงที่ประเทศจีน มาเลเซีย อินโดนีเซีย ส่วนประเทศไทยก็มีการเลี้ยงบ้างแล้วแต่ไม่มากนัก


    นักวิทยาศาสตร์ (Smith, 1963) จำแนกนกกระจอกเทศออกเป็น 4 ประเภท คือ

    1. Struthio camelus (Linnaeus) มีถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบแอฟริกาเหนือ (North Africa)
    2. Struthio molybdophanes (Reichennow) มีถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบโซมาเลีย (Somalia)
    3. Struthio massaicus (Neumann) มีถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบแอฟริกาตะวันออก (East Africa)
    4. Struthio australis (Gurney) มีถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบแอฟริกาใต้ (South Africa) ซิมบับเว นามิเบีย และบอสวานา


    สำหรับนกกระจอกเทศที่ปรับปรุงพันธุ์ขึ้นมาเลี้ยงเป็นการค้าในปัจจุบันนี้ แบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ


    1.พันธุ์คอแดง (Red Neck)
    ซึ่งพัฒนามาจากพันธุ์ S.camelus และ S.massaicus นกกระจอกเทศพันธุ์นี้จะมีลักษณะผิวหนังสีชมพูเข้ม ตัวผู้จะมีขนสีดำตลอดลำตัว ยกเว้นขนปลายหาง และขนปลายปีกจะมีสีขาว ส่วนตัวเมียจะมีสีน้ำตาลเทา มีขนาดตัวใหญ่มาก สูง 2.00-2.75 เมตร มีน้ำหนัก 105-165 กิโลกรัม ให้ผลผลิตเนื้อมาก แต่ไข่น้อย ตัวผู้ค่อนข้างดุ โดยเฉพาะในฤดูผสมพันธุ์

    2.พันธุ์คอน้ำเงิน (Blue Neck)
    พัฒนามาจากพันธุ์ S.molybdophanes และ S.australis พันธุ์นี้จะมีลักษณะผิวหนังสีฟ้าอมเทา สีขนจะเหมือนกับพันธุ์คอแดง แต่ตัวจะเล็กกว่าเล็กน้อย ให้เนื้อน้อยกว่าพันธุ์คอแดง แต่ให้ไข่มากกว่า

    3.พันธุ์คอดำ (Black Neck African Black)
    พัฒนามาจากพันธุ์ S.camelus และ S.australis ลักษณะผิวหนังจะมีสีเทาดำ เท้าและปากสีดำ ตัวเล็ก ให้ผลผลิตเนื้อน้อย แต่ให้ไข่มากกว่าพันธุ์อื่น ๆ และให้ผลผลิตขนที่มีคุณภาพดี นอกจากนี้ยังมีนิสัยเชื่อง ไม่ดุร้าย จึงเป็นที่นิยมเลี้ยงกันโดยทั่วไป


    • Update : 6/7/2554
    © Copyright 2011 www.watnongmuang.com All rights reserved 999arch