หน้าแรก สมาชิก รายการวัตถุมงคล ตะกร้าวัตถุมงคล วิธีชำระวัตถุมงคล วิธีบูชาวัตถุมงคล ประวัติวัด ติดต่อวัด เว็บบอร์ด
สมาชิก Log in
อีเมล์
รหัสผ่าน
สมัครสมาชิกใหม่
ลืมรหัสผ่าน
















ค้นหาวัตถุมงคล
 
 
 
หมวดวัตถุมงคล
  เครื่องราง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง หลวงพ่อสวัสดิ์
  พระเครื่อง หลวงปู่พิมพ์มาลัย
  พระเครื่อง หลวงพ่อสง่า
วัตถุมงคลของคุณ
รหัสวัตถุมงคล ราคา จำนวน
ยังไม่มีวัตถุมงคลอยู่ในตะกร้า
  • ชำระค่าวัตถุมงคล
  • แก้ไขรายการวัตถุมงคล
  • วิธีสั่งบูชาวัตถุมงคล
  •  

    เที่ยวทั่วไทย-ทะเลกรุงเทพ
    ทะเลกรุงเทพ ฯ

     

                ผมจะพาไปทะเลกรุงเทพ ฯ  พาไปดูหลักเขต กทม.ฯ  หลักที่ ๒๘ ที่ปักอยู่ในน้ำทะเล  เป็นหลักแบ่งเขตระหว่าง กทม.ฯ กับจังหวัดสมุทรปราการ  ผมเองก็ได้มาเห็นทะเลในเขตกรุงเทพ ฯ เอาเมื่ออายุใกล้จะถึงร้อยเข้าไปแล้ว เดิมนั้นไปนึกว่าที่เรียกว่าทะเลกรุงเทพ ฯ นั้น คือพื้นที่ในเขตบางขุนเทียน ชึ่งน้ำทะเลขึ้นสูงมาท่วมแผ่นดิน และผสมกับน้ำจืดจากลำคลอง ในเขตนี้กลายเป็นน้ำกร่อย พื้นน้ำเว้งว้างแต่สลับด้วยป่าโกงกาง ทำให้พื้นน้ำมีร่มไม้ เป็นป่าชายเลน ผมนึกว่าพื้นที่อย่างนี้ยกย่องให้เป็นทะเลกรุงเทพ ฯ และเมื่อ ๓ ปีมาแล้วผมไปชมทะเลที่ผมวาดภาพนี้ที่ถนนสายบางขุนเทียน - ชายทะเล ชมแล้วก็หาร้านอาหารชิม เวลานั้นตลอดถนนสายนี้ประมาณ ๑๐ กิโลเมตร มีร้านอาหารทะเลอยู่เพียง ๓ ร้าน ร้านไกลสุดริมคลองเชิงตาแพ ร้านคุณน้า ๑ ร้าน ใกล้เข้ามาหน่อยมีทางแยกซ้ายไปวัดลูกวัว มีร้านคุณลุงร้านหนึ่ง ใกล้าเข้ามาอีกหน่อยมีร้านแสวงซีฟู๊ด เป็นร้านใหญ่โตมโหฬารมากในตอนนั้น  แต่คนไม่แน่น วางผังร้านเป็นสี่ทิศ มีเต็มอยู่สัก ๒ ทิศ ไม่เหมือนทุกวันนี้ ผมไปชิมแล้วก็กลับไปเขียน พอมาปีนี้มีคนบอกว่าร้านอาหารย่านนั้นเกิดขึ้นมากมายเกิน ๑๕ ร้าน ร้านใหญ่โตกว่าร้านแสวงซีฟู๊ดก็มี และมีเรือพาเที่ยวทะเลกรุงเทพ ฯ ด้วย เลยต้องไปให้ประจักษ์ว่าทะเลกรุงเทพ ฯ หน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่ ส่วนร้านอาหารนั้นตระเวนแล้วก็ถูกใจที่ร้านเดิมคือแสวงซีฟู๊ด ที่ไม่ได้ไปชิมเขามาร่วม ๓ ปีแล้ว ไปชิมแล้วก็ต้องยกนิ้วให้ทั้งมือว่าเก่ง รักษามาตรฐานดั้งเดิมไว้ได้ดีเยี่ยม ข้อสำคัญตรึงราคาเอาไว้ด้วย
                ไปเที่ยวทะเลกันก่อน บ้านผมอยู่ลาดพร้าว ๗๑ ใกล้ทางด่วนเอกมัย - รามอินทรา  ผมก็ขึ้นทางด่วน ๒ ต่อ เสียไป ๓๐ และ ๔๐ บาท ก็จะไปลงที่ดาวคนองเข้าถนนพระราม ๒ เลยทีเดียว  หากไม่มาตามทางด่วนก็คงจะต้องมาทางถนนเจริญนครทางฝั่งธนบุรี มาถึงตรงดาวคนองแล้วเลี้ยวขวาเข้าพระราม ๒ เอาเป็นว่าเข้าพระราม ๒ ให้ได้ก็แล้วกัน  เส้นนี้จะไปเชื่อมกับเพชรเกษมที่ปากท่อ ราชบุรี เพื่อเลี้ยวซ้ายล่องใต้
                เมื่อลงมาจากทางด่วนเข้าพระราม ๒ แล้ว ให้เลี้ยวเข้าถนนคู่ขนานทันที วิ่งในถนนคู่ขนานไปจนผ่านบิ๊กซี (ฝั่งตรงข้ามกำลังจะเปิดเซ็นทรัล พระราม ๒) พอเลยบิ๊กซีไปหน่อยจะมีถนนแยกซ้ายชื่อว่า ถนนบางขุนเทียน - ชายทะเล เป็นชื่อถนน ปากทางตรงหัวมุมมีป้ายบอกว่าไปวัดหัวกระบือ และมีป้ายบอกอีกว่า ร้านแสวงซีฟู๊ด ๙ กิโลเมตร เลี้ยวซ้ายเข้าถนนสายนี้
                ซอยเทียนทะเล ๑๙ เลี้ยวซ้ายเข้าซอยนี้จะไปจบที่วัดหัวกระบือ ที่วัดนี้มีหลวงพ่อโตอยู่ในอุโบสถ มีรถโบราณจอดเรียงรายอยู่ที่ลานวัด เป็นรถที่ท่านเจ้าอาวาสท่านสะสมเอาไว้ให้ชมกัน
                กลับออกมาจากวัดหัวกระบือ วิ่งต่อไปประมาณซอย ๒๑ จะพบเพิงขายปูทะเล ขายปลาทะเล ขายหอย ฯ ขายผลไม้ก็มี ไม่รับรองในคุณภาพและราคาเพราะไม่เคยลงซื้อสักที
                ได้ความรู้มาว่า ถ้าจะกินปูทะเลที่อร่อยที่สุดนั้นจะต้องกินปูทะเลจากเมือง ๓ สมุทร คือ สมุทรสาคร สมุทรปราการ และสมุทรสงคราม จึงจะมีรสและเนื้ออร่อยเลิศ แต่เวลานี้ปูของเมือง ๓ สมุทร นี้กำลังจะสูญพันธุ์ไปแล้วเพราะคนจับกินหมด กินจนเกิดหรือเพาะเลี้ยงไม่ทัน เวลานี้เขาซื้อลูกปูมาจากพม่า ตอนพม่าปิดชายแดนก็ยุ่งหน่อย เพราะไทยเพาะลูกปูสู้พม่าไม่ได้ ข้างพม่าก็เลี้ยงลูกปูให้เติบใหญ่สู้ไทยไม่ได้ อาหารทะเลที่มาทำอาหารจำหน่ายกันในย่านทะเลกรุงเทพ ฯ เวลานี้นั้น ปรากฎว่าส่วนใหญ่จะมาจากภาคใต้ เช่น สุราษฎร์ธานี หรือใต้ลงไปถึงทะเลอันดามันคือจากสตูล การเอามาโดยไม่ให้ตายเสียก่อนเขาใช้วิธีลงถังแล้ววอัดออกซิเจนลงไป
    หรือพอจับได้ก็น๊อคด้วยน้ำแข็งแห้งให้มาฟื้นเอาเมื่อถึงร้านอาหารแล้ว พอถึงร้านอาหารเขาก็จัดการนำลงถังให้แหวกว่ายกันอยู่ในนั้นทั้ง ปู กั้ง ปลา กุ้ง พอได้เวลาที่จะเอาไปทำอาหารก็จัดการจับขึ้นมาทั้งที่ยังเป็น ๆ อยู่ แล้วเอาไปทำอาหาร ดังนั้นอาหารทะเลย่านนี้ เช่นที่ร้านจะพาไปชิมคือ แสวงซีฟู๊ด อาหารทะเลจะสดจริง ๆ เรียกว่าตายเมื่อสั่งทำนองนั้น ดังนั้น ราคาอาหารบางอย่างจึงดูเหมือนแพง แตกต่างกันเพราะความสดนี่เอง เช่นกั้งทะเลผมเคยถามราคาที่จังหวัดตราด เขาบอกว่ากั้งตายแล้ว กิโลกรัมละไม่เกิน ๓๐๐ บาท แต่หากเป็น ๆ เอามาทำอาหาร กก.ละ ๘๐๐ บาท ส่วนกั้งที่เอามาจากสตูลนี้ราคาที่ร้านตก กิโลกรัมละ ๑,๐๐๐ บาท กุ้งแม่น้ำ หากไปกินที่กุ่ยหมง อำเภอบางปลาม้า ตกกิโลกรัมละ ๘๐๐ บาท แต่กุ้งแม่น้ำย่านนี้ตก กิโลกรัมละ ๑,๐๐๐ บาท ปูทะเลตัวโต ๆ กิโลกรัมละ ๔๐๐ - ๖๐๐ บาท ปูม้าก็มาจากสตูล ทั้ง ๆ ที่ปูม้ามหาชัย เมื่อก่อนนี้มีมากมาย ตอนนี้โตไม่ทัน สมัยเมื่อผมยังหนุ่ม ๆ อยู่นั้น ปูม้าที่มหาชัยขายเข่งละ ๑๐ บาท ไม่มีปัญญาจะซื้อกลับไปเพราะไม่ได้มีรถส่วนตัวมากัน  สมันนั้นมารถไฟสนุกดี
                ซอยเทียนทะเล ๒๖ ที่ปากซอยคือศาลา หรือตำหนักของพลเรือเอก กรมหลวงชุมพร เขตต์อุดมศักดิ์ ของมูลนิธิปทีปพลีผล สร้างตำหนักไว้บนเรือหลวงพระร่วง ๑๙ สร้างเสียสวยทีเดียว
                เลยไปอีกจนเห็นป้ายทะเลกรุงเทพ ฯ ทางซ้าย แล้วต่อไปอีกหน่อยก็คือร้านอาหารชื่อแสวงซีฟู๊ด ซึ่งไปเที่ยวทะเลแล้วจะย้อนกลับมาชิมอาหารอร่อยที่ร้านนี้  ตอนนี้เลยไปก่อนไปกันจนสุดเส้นทาง เดิมก็จะมีสะพานที่เพิ่งสร้างข้ามลำคลองเชิงตาแพ  เมื่อข้ามไปแล้วก็ลงถนนลูกรังที่กำลังสร้าง ซึ่งป้ายบอกว่าจะสร้างไปจนจรดคลองพิทยาลงกรณ์ เพื่อเป็นทางท่องเที่ยวด้วยการเดินและรถจักรยานด้วยระยะทางที่ก่อสร้างนี้ยาว ๓.๖ กิโลเมตร ไม่ทันได้อ่านว่าจะแล้วเสร็จเมื่อใด เมื่อเสร็จแล้วก็คงเป็นอีกเส้นทางหนึ่งที่จะไปเที่ยวทะเลกรุงเทพ ฯ ได้
                เมื่อเลยร้านแสวงซีฟู๊ดมาแล้ว ไม่ไกลนักก็จะถึงทางแยกซ้ายปากซอยบอกว่าไปร้านลุงแถม (ถ้าจำชื่อไม่ผิด) บอกว่าเป็นร้านอาหารร้านแรกของย่านนี้ เลี้ยวผ่านร้านลุงไปก็จะถึงวัด "ลูกวัว" หรือประชาบำรุง ให้เลี้ยวเข้าไปในวัด ในอุโบสถมีหลวงพ่อทองดำ และหลวงพ่อไตรลักษณ์ ที่ศาลาตรงท่าเรีอมีป้ายนำเที่ยวสถานที่ต่าง ๆ เขียนบอกไว้ มีเรือหางยาวที่จะพาไปเที่ยวทะเลกรุงเทพ ฯ แต่ลำไม่โตนัก คิดค่าโดยสารคนละ ๖๐ บาท มีเฉพาะเสาร์ - อาทิตย์หรือวันหยุด แต่วันที่ท่านอ่านนี้อาจจะมีทุกวันแล้วก็ได้ ที่ป้ายนำเที่ยวได้เขียนบอกแหล่งท่องเที่ยวไว้คือ.-
                วัดหัวกระบือ ที่ซอยเทียนทะเล ๑๙ ศาลกรมหลวงชุมพร ซอย ๒๖
                ชุมนุมมอญวัดบางกระดี่  สร้างเมื่อสมัย ร.๔ พ.ศ.๒๔๒๐ ศิลปะมอญ เป็นศูนย์รวมชาวไทยเชื้อสาญมอญ มีพระพุทธรูปยืนซึ่งแกะจากไม้ซุงทั้งต้น มีพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านแสดงเครื่องมือ เครื่องใช้ เครื่องดนตรี คัมภีร์อักษรมอญ แหล่งลิงแสม บริเวณริมคลองหัวกระบือ คลองสามชัย ล่องเรือชมลิงและให้อาหารลิง
                เลยวัดลูกวัวไปจะข้ามสะพานจะเป็นมหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าธนบุรี วิทยาเขตบางขุนเทียน สร้างเสร็จแล้วแต่คงจะไม่หยุดการก่อสร้างเพียงแค่นี้ เพราะสร้างใหญ่โตมโหฬารเหลือเกิน เลยมหาวิทยาลัยเข้าไปอีกจะไปตันที่หมู่บ้าน ซึ่งผมไม่ได้เลยเข้าไปถึงหมู่บ้าน
                ทีนี้กลับมาลงเรือ ผมได้ติดต่อกับทางร้านแสวงซีฟู๊ดให้เขาช่วยเรียกเรือจากชาวบ้านให้ เพราะเมื่อไปเที่ยวแล้วผมจะมาชิมอาหารที่ร้านของเขา โทรร้านแสวง ฯ ๐ ๒๘๔๙ ๓๑๙๑ - ๓ ท่านที่จะไปติดต่อทางร้านตามหมายเลขนี้ ร้านจะบริการเรียกเรือจากชาวบ้านให้  ซึ่งจะลงเรือกันที่ท่าเรือร้านแสวง แต่เราจะต้องไปให้ตรงเวลา เพราะท่าเรือเขาแคบ เรือจอดได้ทีละลำเท่านั้น เรือที่ทางร้านเรียกให้ลำจะโตกว่าที่หน้าวัดลูกวัว และมีชูชีพให้ ก็เลยแนะนำทางร้านเขาไว้ว่า ต่อไปก็จัดนักเรียนมาเป็นไกด์เสียเลย เพราะร้านแสวง ฯ นั้นส่งเสริมเด็กนักเรียนใให้มีอาชีพ มีรายได้ด้วยการให้เด็กนักเรียนมาเสริฟอาหารในวันหยุดหรือตอนปิดเทอม แต่งเครื่องแบบนักเรียนเสริฟกันเลย เด็กจะได้ทั้งค่าแรงและค่าทิป ประมาณถึงวันละ ๗๐๐ บาท เพียงพอที่จะใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการเรียนไม่ต้องรบกวนผู้ปกครอง และยังมีพวกสาวโรงงานที่มีวันหยุดอีก เขาก็จ้างมาทำงานในร้าน คนงานในร้านอาหารนี้ประมาณ ๔๐๐ คนขึ้นไป ดังนั้นหากร้านแสวง ฯ รวมเรือจากชาวบ้านได้ ฝึกเด็กให้เป็นไกด์นำเที่ยวในคลองและทะเลกรุงเทพ ฯ ได้ เด็กที่มีความรู้ก็จะเป็นไกด์ได้อีกอาชีพหนึ่ง และอาจจะรับรองชาวต่างประเทศได้ เพราะเด็กนักเรียนที่มีความรู้ดี ๆ อยู่ชั้นสูงพอจะพูดภาษาต่างประเทศได้
                ผมลงเรือที่ท่าเรือร้านแสวงซีฟู๊ด  เรือพาไปตามร่องน้ำซึ่งอยู่บนบกเราจะดูไม่ออก เห็นแต่น้ำท่วมเจิ่งไปทั่ว ลงเรือแล้วจึงเห็นว่าเรือแล่นไปตามคันคลอง ที่เป็นเขื่อนคอนกรีตบ้าง เขื่อนดินบ้าง เหนือคันคลองเป็นบ้าน ก็เพราะมีบ้านบางหลังเขายังออกถนนซอยที่น้ำยังไม่ท่วมได้  บางบ้านก็อยู่กันเป็นเกาะ ไปไหนได้แต่ทางเรือเท่านั้น บ้านที่โชคดีเขามีทั้งอู่เรือและโรงรถ แต่ก็เป็นเกาะเช่นกัน สองฝั่งคลองร่มรื่นไปด้วยต้นโกงกาง ที่เขาบอกว่าเหลือน้อยลงไปแล้ว เพราะการโค่นล้มทั้งด้วยลมพายุ และการโค่นเอาไปทำฟืน ไปเผาถ่านขายเสียหมดเป็นการทำลายแหล่งทรัพยากรสำคัญ สัตว์ทะเลนั้นจะอาศัยหาอาหารอยู่ตามป่าชายเลน หรือป่าโกงกางเหล่านี้ อาหารของสัตว์ทะเลจะมีมากและเป็นน้ำกร่อย
                เรือวิ่งในคลองโอ่งประทุนประมาณ ๓๐ นาที ก็ไปโผล่คลองที่ใหญ่กว่ามาก คราวนี้คลองไม่คดเคี้ยวเหมือนตอนวิ่งในคลองโอ่งประทุนแล้ว เป็นคลองใหญ่ขุดตรงลงสู่ทะเล สองฝั่งคลองคงเหมือนกันคือ มีป่าโกงกางบ้าง แต่มีบ้าน มีแหล่งชุมชนมากกว่าคลองซอย ซึ่งคลองซอยที่จะมาออกคลองใหญ่นี้มีมากกว่า ๓๐ คลอง ที่น่าขำคือบ้านบางหลังเขาไม่ยอมทิ้งถิ่น เขาปลูกอยู่บนดินพอน้ำท่วมดินมากเข้ากลายเป็นคลอง บ้านก็ตั้งโด่เด่อยู่กลางน้ำไปไหนไปด้วยเรือ และถือโอกาสนั้นโพงพางหาปลาเสียเลย
                อาชีพหนึ่งของชาวสองฝั่งคลองรวมทั้งในคลองซอยด้วย คือการกั้นบ่อเลี้ยงกุ้งและเลี้ยงปูทะเล เขาบอกว่าเลี้ยงปูทะเลที่ซื้อลูกปู ที่เพาะในพม่านั้นเลี้ยงไม่ยากนัก แต่ยากตรงที่จะอาบน้ำ กินข้าว อะไรต้องผลัดกันเฝ้าบ่อตลอดเวลา เพราะขโมยชุมและฝีมือยยอดเยี่ยมมาก วิธีขโมยปูเลี้ยงเขาจะแอบเอากรงดักไปโยนไว้ในบ่อ ในกรงดักก็ใส่อาหารของปูเอาไว้ด้วย พอเจ้าของบ่อเผลอเมื่อไร เขาก็ไปชักลากเอากรงดักปูทะเลขึ้นมา ใช้เวลาไม่นานเลยในการลากกรง แต่ละกรงก็จะได้ปูรวมแล้ววันหนึ่งสัก ๒ กิโลกรัมก็รวยแล้ว เพราะเอาไปขายตามร้านอาหารได้ กิโลกรัมละประมาณ ๓๐๐ บาท ทางร้านก็ไม่รู้ว่าบ่อเอามาขายเอง หรือหัวขโมยเอามาขาย ส่วนกุ้งนั้นไม่ขโมยกัน สู้ขโมยปูทะเลไม่ได้
                เรือวิ่งในคลองใหญ่อีกประมาณ ๑๐ นาที ก็ถึงปากคลองหรือปากอ่าว ซึ่งจะเห็นว่าน้ำทะเลคลื่นลมกำลังทำลายปากอ่าวให้กว้างออกไป และกินอาณาเขตลึกเข้าไปในคลองอีก อาณาจักรทะเลจะขยายเข้ามาในแผ่นดินมากขึ้น เขตบางขุนเทียนจึงกลายเป็นเขตที่มีชายอาณาเขตที่ติดต่อกับสมุทรปราการเป็น "ทะเล" ซากของเสาบ้านเรือนยังมีเหลืออยู่ ที่ดินที่จมทะเลไปนี้ล้วนแต่มีเอกสารสิทธิ์ แต่ใครจะไปอยู่ได้ในเมื่อแผ่นดินถูกทำลายเข้าไปเรื่อย ๆ ไม่เหมือนชาวเกาะปันหยี ที่ จังหวัดพังงา นั่นเขาอยู่ในน้ำ แต่มีเกาะบังคลื่นบังลม มีพื้นดินพอสร้างโรงเรียนได้เกาะคอยบังไว้ไม่ให้น้ำทะเลทำลายแผ่นดิน ชาวเกาะปันหยีอยู่ในน้ำจึงมีแผ่นดินให้เดินบ้าง  แต่ปากคลองบางขุนเทียนนี้หมดสิทธิ์เหยียบแผ่นดิน  ดังนั้นหลักเขตที่ ๒๘ ของกรุงเทพ ฯ ที่เดิมก็ปักอยู่บนแผ่นดินแบ่งเขตกับสมุทรปราการ  เวลานี้หลักเขต ๒๘ ก็ปักเด่อยู่กลางน้ำทะเลที่เป็นสีขุ่น ไกลออกไปจึงจะเป็นสีคราม และมีหลักอีกจำนวนมากเสาบ้านเดิมบ้าง ชาวประมงมาปักเพิ่มบ้าง ก็จะเป็นหลักดักหอยแมลงภู่ให้มาเกาะตามหลัก และพื้นน้ำแถวนี้ไม่ลึก คนยืนได้ก็จะมีเรือเล็ก ๆ ของชาวประมงออกมาคราดจับหอยกระพง หอยกระพงนั้นชักจะหากินยากแล้วตัวนิดเดียว เนื้อน้อยก็จริงแต่หากเอามาผัดกับใบโหระพาหรือที่เรียกว่าตีน้ำมัน ใส่น้ำมากหน่อยซดร้อน ๆ เวลากินข้าวกับน้ำพริกปลาทูจะวิเศษนัก หรือเอาดองน้ำปลาแล้วไว้กินกับข้าวต้มก็จะอร่อยไปอีกแบบ พื้นทะเลแถวนี้มีหอยกระพงแยะ
                ที่สำคัญคือแถวหลักเขตนี่แหละ เขาบอกว่าหากเป็นฤดูหนาว "ปลาโลมา" หนีหนาวมาว่ายเล่นน้ำอยู่แถวนี้ แต่ต้องมาชมตอนเช้าสักหน่อย เช้ากี่โมงลืมถามนายท้ายไป เอาเป็นว่าเช้าก็แล้วกัน ดูโลมาแล้วก็ไปฉันเพลได้เลย ลูกค้าที่ร้านอาหารจะได้ไม่แน่น จบรายการชมทะเลกรุงเทพ ฯ
                กลับมาขึ้นจากเรือที่ท่าเรือร้านแสวงซีฟู๊ด ผมไปกันหลายคน เรือที่ไปนั่งได้ประมาณ ๑๒ คน นั่งอย่างสะบายปลอดภัยแน่นอน และได้จองโต๊ะไว้ก่อนแล้ว เขาบอกว่าไม่งั้นเวลาเทศกาลวันหยุดยาวโดยเฉพาะวันแม่หรือวันพ่อ ถนนที่เข้ามาระยะทาง ๙ กิโลเมตร นั้นบางทีใช้เวลากันถึง ๒ - ๓ ชั่วโมง เพราะรถติดและบางทีเข้ามาแล้วก็ยังผิดหวังไม่ได้ชิม หรือต้องรอเพราะโต๊ะเต็ม จองไว้จะดีหากมาในรายการสำคัญที่นัดแนะกันมา
                ร้านนี้หลังคาจากเย็นสบายมาก หากร้อนมากเขาจะพ่นน้ำขึ้นไปบนหลังคารอบร้านคือ "น้ำ" และทางร้านยังปลูกไม้เลื้อยคือ จันทร์กระจ่างฟ้า และอมรเบิกฟ้าออกดอกสีเหลืองกับสีแดงไว้รอบ ๆ สยาบตาดีเลื้อยเต็มที่เมื่อไรคงสวยกว่านี้ ร้านกว้างขวางมาก มีโต๊ะกว่าร้อยโต๊ะ ห้องสุขาสะอาด ไปดูครัวของเวขา พ่อครัวแม่ครัวแน่นตรึม ถามเขาว่าทำไมแยะนัก เขาบอกว่าพ่อครัวแม่ครัวของเขาจะทำอาหารที่สำคัญเพียงอย่างเดียวเท่านั้น รสจะคงที่ไม่ต้องชิม เช่นคนนี้เก่งปลาเผา คนนี้เก่งต้มยำกุ้ง คนนี้เก่งปูผลัดพริกไทยดำ คนนี้เก่งนึ่งปู ก็ทำกันเพียงอย่างเดียวนั่นแหละ
                ปลากะพงเผา ตัวโตตัวเบ้อเริ่ม ยังกับเด็กเกิดใหม่ ใส่จานแกะหนังออกแล้ว เนื้อขาวจั๊วะ เนื้อแน่นนุ่ม น้ำจิ้มของเขามีทั้งแบบน้ำส้ม และซีอิ้วญี่ปุ่นใส่กระเทียม พริกชี้ฟ้า เคี้ยวสนุกดีพิลึก
                จานเด็ดอันดับแรกคือ ปูทะเลไข่ผัดพริกไทยดำ มากินอาหารย่านนี้ต้องยอมเสียสตางค์ เพราะเป็นอาหารทะเลสด ๆ และร้านนี้เขาตรึงราคาไว้ ๓ ปี ราคาของเขาไม่เปลี่ยนแปลงเลย รวมทั้งรสอาหารด้วย ก้ามปูน่ากินนัก
                จานเด็ดลำดับที่ ๒ คือ "กั้ง"  ทอดกระเทียมพริกไทย กลิ่นหอมฟุ้งมาแต่ไกล ทอดกระเทียมเก่งมาก หอม มีรส
                กุ้งหอดเกลือ  ทอดไปคนละแบบกับร้านกุ่ยหมงที่บางปลาม้า แต่ก็อร่อยคนละแบบเช่นกัน
                สลัดกุ้งใหญ่  น้ำสลัดสีครีม กุ้งตัวโต ผักสดกรอบ รสหวามของผักชวนชิม
                ปลาเก๋าจากปลาเป็น ๆ  กลายมาเป็นปลาเก๋านึ่งซีอิ้ว ยกมาร้อน ๆ น้ำนึ่งมีแยะด้วย ซดได้ชื่นใจนัก
                ปูทะเลหลน  จัดผักเต็มจาน มะเขือลูกน้อยที่เขาเรียกว่ามะเขือตอแหล กรอบนัก เอามะเขือทั้งลูกวางบนข้าวแล้วราดด้วยปูหลน ส่งเข้าปากแล้วซดต้มยำตาม
                ต้มยำกุ้งกับยอดมะพร้าว หรือเม็งมะพร้าว  รสแซ็บ  สังเกตอาหารร้านนี้รสแซ็บถึงใจทุกอย่าง แต่ไม่ได้หมายถึงเผ็ดจัด ไม่เผ็ดหรือเผ็ดนิดเดียว แต่สวยด้วยพริกที่โรยมาให้เห็น กลัวเผ็ดก็อย่าตักพริกไปเคี้ยว
                ปิดท้ายด้วยกาแฟ  ซึ่งร้านนี้มีกาแฟ คาปรูซิโน่ ลาเต้ บราซิล เอสเพรสโซ ฯ ซึ่งก่อนลงเรือซดกาแฟไปรอบหนึ่งแล้ว บางคนสั่งลอดช่องน้ำกะทิรสหวานมัน หรือบัวลอยน้ำขิง ไอศกรีมของเขาก็มีไม่ค่อยกล้าสั่ง กลัวโดนเสียดสีว่ากินเป็นแต่ไอศกรีมอย่างเดียว

     

    ----------------------------------


    • Update : 29/6/2554
    © Copyright 2011 www.watnongmuang.com All rights reserved 999arch