หน้าแรก สมาชิก รายการวัตถุมงคล ตะกร้าวัตถุมงคล วิธีชำระวัตถุมงคล วิธีบูชาวัตถุมงคล ประวัติวัด ติดต่อวัด เว็บบอร์ด
สมาชิก Log in
อีเมล์
รหัสผ่าน
สมัครสมาชิกใหม่
ลืมรหัสผ่าน
















ค้นหาวัตถุมงคล
 
 
 
หมวดวัตถุมงคล
  เครื่องราง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง หลวงพ่อสวัสดิ์
  พระเครื่อง หลวงปู่พิมพ์มาลัย
  พระเครื่อง หลวงพ่อสง่า
วัตถุมงคลของคุณ
รหัสวัตถุมงคล ราคา จำนวน
ยังไม่มีวัตถุมงคลอยู่ในตะกร้า
  • ชำระค่าวัตถุมงคล
  • แก้ไขรายการวัตถุมงคล
  • วิธีสั่งบูชาวัตถุมงคล
  •  

    ธรรมะวันหยุด-ปรองดอง
    ปรองดอง

    ธรรมะวันหยุด
    พระเทพคุณาภรณ์ (โสภณ โสภณจิตฺโต ป.ธ.9) เจ้าอาวาสวัดเทวราชกุญชรวรวิหาร [email protected] 0-2281-2430


    สังคมไทยของเราในปัจจุบันนี้ กำลังประสบปัญหานานาประการ ปัญหาเดิมๆ ก็ยังแก้ไม่หาย ปัญหาใหม่มากมายก็เกิดขึ้นเป็นระยะๆ นำมาซึ่งความไม่สงบเรียบร้อย และความรุ่มร้อนของผู้คนในสังคม

    สาเหตุสำคัญก็คือความขัดแย้งภายในใจ หรือความไม่พอใจในแนวคิด และวิถีปฏิบัติที่เป็นอยู่ ภาวะเช่นนี้เรียกว่า ไม่สมานฉันท์ หรือไม่ปรองดอง เพราะฉะนั้น เราจะต้องพยายามที่จะสร้างความสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นในสังคม ด้วยวิธีการต่างๆ ที่หลากหลาย แต่มีเป้าหมายเดียวกัน คือ เพื่อความสงบสุขร่มเย็นของสังคมไทย

    ในทางพระพุทธศาสนา หลักธรรมที่จะทำให้เกิดความสมานฉันท์มี 6 ประการ คือ

    ประการที่ 1 เมตตากายกรรม หมายถึง การแสดงออกต่อกันทางกายด้วยเมตตา หรือ การกระทำที่เป็นไปด้วยความหวังดีต่อกัน ไม่เบียดเบียนชีวิต ไม่เบียดเบียนทรัพย์สินกรรมสิทธิ์ และไม่ประพฤติผิดในคู่ครองของผู้อื่น ในทางตรงกันข้าม ก็พยายามแสดงออกในทางที่ดีต่อกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกันในยามวิกฤต และนับถือให้เกียรติต่อกันและกันทั้งต่อหน้าและลับหลัง

    ประการที่ 2 เมตตาวจีกรรม หมายถึง การแสดงออกต่อกันทางวาจาด้วยความเมตตาหรือมีวาจาที่ประกอบไปด้วยความหวังดี ไม่พูดโกหกหลอกลวง ไม่พูดคำส่อเสียดเหยียดหยาม ไม่พูดคำหยาบและไม่พูดวาจาไร้สาระ พูดแต่ความจริง คำอ่อนหวาน คำสมานสามัคคี และคำที่มีสารประโยชน์

    ประการที่ 3 เมตตามโนกรรม หมายถึง การมีความรู้สึกนึกคิดที่ประกอบด้วย ความเมตตา หรือมีใจประกอบด้วยความเมตตานั่นเอง ใจที่ประกอบด้วยความเมตตาก็คือ ใจที่ไม่คิดอิจฉาริษยา ปรารถนาอยากได้ของเขา ไม่คิดพยาบาทปองร้ายเขา และไม่หลงผิด เห็นชั่วเป็นดี เห็นดีเป็นชั่ว

    ประการที่ 4 สาธารณโภคี หมายถึง การแบ่งบันกันบริโภคอุปโภคปัจจัยใช้สอยต่างๆ อย่างทั่วถึง กล่าวคือ เมื่อได้สิ่งใดสิ่งหนึ่งมาโดยชอบธรรม ก็ไม่ตระหนี่ถี่เหนียว รู้จักจ่ายแจกแบ่งปันแก่กันและกัน มีน้ำใจเอื้อเฟื้อเอื้ออาทรต่อกันและกัน ตระหนักอยู่เสมอๆ ว่า "น้ำบ่อน้ำคลองยังไม่เป็นรองน้ำใจ กระจกเงาที่ว่าใส ยังเป็นรองน้ำใจ ที่ว่างาม"

    ประการที่ 5 สีลสามัญญตา หมายถึง ความเป็นผู้เสมอกันด้วยศีล หรือ กฎกติกา กฎหมายที่ดีงามในหมู่คณะ กล่าวคือ สมาชิกในสังคมต้องตั้งมั่นอยู่ในกฏกฏิกาที่ดีงาม ทั้งในทางศาสนาคือศีล และทางสังคมคือกฎหมาย มีความเท่าเทียมกันในการแสดง ออกในทางที่สร้างสรรค์ตามกรอบตามกติกาของสังคม รวมไปถึงการสร้างกฎกติกาที่เท่าเทียมกันให้เกิดมีและปฏิบัติตามอย่างจริงจัง

    ประการที่ 6 ทิฏฐิสามัญญตา หมายถึง ความเป็นผู้เสมอกันด้วยความคิดเห็น มีความเห็นที่ดีงามเสมอกัน ข้อนี้เป็นหัวใจสำคัญของหลักความสมานฉันท์ เพราะหากมีความเห็นไม่ตรงกัน ขัดแย้งกันทางความคิดเห็นไม่ยอมลงรอยกันเสียที ก็ยากที่จะมีพฤติกรรมที่เป็นไปเพื่อความสมานฉันท์ได้ ปรับความเห็นให้สอดคล้องกันในทางที่ดี เรียกว่า สมานจุดร่วมสงวนจุดต่าง ร่วมแนวทางที่สร้างสรรค์

    เพราะฉะนั้น บ้านเมืองของเราที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินเดียวกัน แต่หากไม่ตั้งอยู่ในสาราณียธรรม คือ ขาดการแสดงออกที่ดีด้วยทางกาย ทางวาจา ทางใจ รู้จักเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เสมอกันด้วยกฎกติกา และมีความเห็นที่เสมอกัน เป็นไปในทางเดียวกันแล้ว ก็ย่อมยากที่จะสร้างความสมานฉันท์หรือนำมาซึ่งความสามัคคีในหมู่คณะได้ ทุกฝ่ายควรมาคิดกันว่า เราจะสร้างจิตสำนึกแห่งหลักธรรมนี้ให้เกิดขึ้นในสังคมอย่างไร หากสามารถช่วยกันอย่างจริงจัง เชื่อว่าสังคมแห่งความสมานฉันท์ปรอง ดองย่อมมีขึ้นและมั่นคงยั่งยืนอย่างแน่นอน



    • Update : 25/6/2554
    © Copyright 2011 www.watnongmuang.com All rights reserved 999arch