|
|
วิธีจับพระสึก (2)
วิธีจับพระสึก (2)
คอลัมน์ ศาลาวัด
จากบทความ 'วิธีจับพระสึก' ในหนังสือ "มุมมองใหม่ในกฎหมายอาญา" ของ ดร.ทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์วิญญูชน ต่อจากครั้งที่แล้ว...
ส่วนการขาดจากความเป็นพระภิกษุ อีกทางหนึ่งนั้น ได้แก่ การลาสิกขา หรือ สละสมณเพศ ซึ่งได้มีการกำหนดไว้ในพระธรรมวินัย (สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส วินัยมุข เล่ม 3 กัณฑ์ ที่ 33 มหามกุฏราชวิทยาลัย 2538 น.210-215) ความโดยสรุปว่า
ภิกษุผู้เบื่อหน่ายแต่การประพฤติพรหมจรรย์ปรารถนาจะกลับคืนไปสู่ความเป็นคฤหัสถ์ ย่อมทำได้โดยการลาสิกขา คือ ปฏิญญาตนเป็นคฤหัสถ์ต่อคณะสงฆ์ หรือต่อหน้าบุคคลอื่นที่มิใช่ภิกษุก็ได้ แต่ต้องเป็นผู้มีสติสมบูรณ์เข้าใจถึงปฏิญญาด้วย
วิธีการปฏิญญา (ตามอรรถกถา) กำหนดไว้ให้ ตั้งนโม 3 จบ แล้วกล่าวคำว่า "สิกขัง ปัจจักขามิ คิหีติ มัง ธาเรถ ข้าพเจ้าขอลาสิกขา ขอให้ท่านทั้งหลายจงจำข้าพเจ้าไว้ว่าเป็นคฤหัสถ์แล้ว" ว่าอย่างนี้ 3 จบ ต่อจากนั้นพึงเปลื้องผ้าครอง สวมเสื้อผ้า และรับศีล 5 ต่อไป พร้อมรับพรจากพระเพื่อความเป็นสิริมงคล หากลาสิกขากับคฤหัสถ์ไม่ต้องรับศีล 5 และรับพร หรือกล่าวด้วยถ้อยคำอย่างอื่นทำนองเดียวกัน
(จากหนังสือคู่มือการเรียนการสอนนักธรรมและธรรมศึกษาชั้นเอก สำนักพิมพ์เลี่ยงเซียง 2543 น.347-348)
ดังนี้จะเห็นได้ว่า หากเป็นกรณีขาดจากความเป็นพระภิกษุเมื่อต้องอาบัติปาราชิกนั้นเป็นไป เพราะภิกษุผู้นั้นได้กระทำความผิดขึ้นเอง จึงไม่จำต้องสมัครใจหรือบอกลาสิกขาก็ถือว่าขาดจากความเป็นสมณะแล้ว เปรียบเสมือนเป็นการตายจากการเป็นพระ ถึงไม่ลาออกก็ขาดคุณสมบัติ
ส่วนการลาสิกขาหรือสละสมณเพศนั้นเป็นเรื่องที่พระภิกษุผู้ใดเบื่อหน่ายต่อการประพฤติพรหมจรรย์ พระธรรมวินัยจึงถือเอาความสมัครใจเป็นที่ตั้ง เพียงแต่ขอให้มีพยานรู้เห็นการสละสมณเพศนั้นก็เพียงพอแล้ว ไม่จำต้องมีพิธีการเป็นพิเศษแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม การดำเนินการให้สละสมณเพศ จะต้องทำอย่างไรนั้น ตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ มาตรา 27 บัญญัติ "ให้เป็นไปตามกฎมหาเถรสมาคม" ซึ่งยังมิได้มีการบัญญัติขึ้นแต่อย่างใด ดังนี้ พนักงานสอบสวนจะต้องทำอย่างไร จึงจะถือว่าได้ดำเนินการให้สละสมณเพศแล้ว
ประเด็นแรก เมื่อพิจารณาจากกรอบของการลาสิกขาบท ตามวินัยมุข ดังที่อ้างไว้ข้างต้นแล้ว จะพบว่าสาระของเรื่อง คือ ต้องมีการเปล่งวาจาลาสิกขา ต่อหน้าพระภิกษุหรือหากไม่มีก็ให้กระทำต่อหน้าคฤหัสถ์ที่มีสติสมบูรณ์เข้าใจการปฏิญญานั้น คือ ให้มีพยานรับรู้นั่นเอง
|
Update : 25/6/2554
|
|