|
|
จิตสำนึกของสังคมไทย/8
อย่าปล่อยสังคมไทยให้พร่ามัวอยู่อย่างนี้
จะเอาอย่างไร ก็ให้จริงสักอย่าง
อาตมภาพต้องขออภัยด้วยที่ไปอ่านเหตุผลในการที่จะบัญญัติพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไว้ในรัฐธรรมนูญ ดังที่ปรากฏในเอกสารการประชุมที่ถวายไปนั้นแล้ว ก็ไม่ค่อยเห็นด้วย ต้องขออภัยท่านผู้ร่างด้วยว่าอย่าถือสากัน จะขอนำมาอ่านไว้หน่อย มีดังนี้
"...ยังมีคนไทยอีกหลายคน รวมทั้งคนไทยที่เป็นชาวพุทธที่มีความรู้และตำแหน่งสูง ไม่ยอมพูดว่า พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ...จึงมีความจำเป็นที่จะต้องบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญให้แน่ชัดว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ"
เรามีเหตุผลแค่นี้หรือ ที่จะเอาพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ เพื่อจะให้คนทุกคนต้องพูดอย่างนี้ หรือแม้แต่ตอนท้ายก็จะพูดในทำนองเดียวกัน ในตอนว่าด้วยผลที่คาดว่าจะได้รับ ก็บอกว่า
"...เป็นการยอมรับทั้งทางพฤตินัยและนิตินัยว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทย จะได้ไม่เกิดความลังเล ความคลางแคลงใจ และการโต้เถียงกันว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทยจริงหรือไม่..."
อาตมภาพว่าแค่นี้มันไม่น่าจะเป็นเหตุผลเลย และไม่น่าจะมาหวังผลเพียงแค่นี้เลย
อย่างที่กล่าวแล้วว่า พระพุทธศาสนาไม่ใช่มีเพื่อตัวเอง ถ้าจะทำ เราไม่ได้ทำเพื่อพระพุทธศาสนานะ เราจะต้องมีความคิดว่า ที่ทำนี้เราทำเพื่อสังคมไทยและเพื่อมนุษยชาติ เราจะเอาพระพุทธศาสนามาใช้เพื่อช่วยแก้ปัญหาสังคมที่มันเสื่อมโทรมอยู่อย่างนี้ และเพื่อสร้างสรรค์สังคมประเทศชาติให้เจริญงอกงามไปในทางที่ถูกที่ดี
และไม่ใช่แค่ประเทศไทยหรือสังคมไทยเท่านั้น แต่เราทำเพื่อจะได้ช่วยแก้ปัญหาของโลก เราจะได้เอาสิ่งที่เรามีอยู่ให้มาช่วยสร้างสรรค์อารยธรรมของมวลมนุษย์ด้วย อันนี้เป็นจุดหมายที่แท้จริง
จุดสำคัญอยู่ที่ว่า ถ้าเราเอาพระพุทธศาสนาขึ้นมาเป็นอุดมการณ์ที่เป็นจุดรวมใจรวมความคิดของคนในชาติ ที่ผู้นับถือพุทธศาสนาเป็นคนส่วนใหญ่อยู่แล้วนี้ หรือเอาพุทธศาสนามาเป็นอุดมธรรมนำจิตสำนึกของสังคมนี้ มันจะช่วยให้เราบรรลุจุดหมายนี้ได้ไหม กล่าวคือจุดหมายในการที่จะแก้ปัญหาสังคมไทย และในการที่จะช่วยแก้ปัญหาของสังคมโลก ทำให้ประเทศไทยนี้มีส่วนสร้างสรรค์อารยธรรมของโลกได้ด้วย
อาตมาอยากให้เบนความสนใจมาสู่จุดนี้
จึงได้ตั้งคำถามอย่างที่กล่าวมาแล้ว
เพราะฉะนั้น จะขอทวนคำถามอีกครั้งหนึ่ง ขอตั้งคำถามเพียง ๒ ข้อเท่านั้น คือ
ข้อ ๑ ถามว่า มีความจำเป็นไหม และถึงเวลาหรือยัง ที่ชาติไทย สังคมไทย จะต้องมีอุดมการณ์ที่เป็นจุดรวมความคิดจิตใจของคนในชาติ และมีจิตสำนึกของชีวิตและสังคมเสียที จำเป็นไหม และถึงเวลาหรือยัง
ข้อ ๒ ถามว่า ถ้าจำเป็นต้องมี และถึงเวลาที่จะต้องมีแล้ว อะไรเหมาะที่สุด ที่จะมาเป็นอุดมการณ์และเป็นเครื่องนำจิตสำนึกนั้น
ต่อจากนั้นมีคำถามย่อยอีก ๒ ข้อ คือ
๑. อุดมการณ์อะไร หรือสิ่งใดที่สังคมไทยยึดถือเป็นอุดมการณ์แล้ว จะทำให้ประเทศไทยเรานี้มีอะไรที่จะให้แก่โลกได้บ้าง และซึ่งจะทำให้สังคมไทยเปลี่ยนภาวะของตนจากความเป็นผู้รับและเป็นผู้ตาม ไปสู่ความเป็นผู้นำและเป็นผู้ให้
๒. อุดมการณ์อะไร ที่ยึดถือแล้วจะได้ผลในการแก้ปัญหาและสร้างสรรค์ โดยที่พร้อมกันนั้นก็ไม่กดขี่บีบคั้นใครอื่น แต่กลับมีผลในทางช่วยเหลือเกื้อกูลด้วย อย่างน้อยก็เป็นอุดมการณ์ที่เปิดช่องให้มีการบีบคั้นเบียดเบียนผู้อื่นได้ยากที่สุดหรือน้อยที่สุด ในโลกนี้มีอุดมการณ์และอุดมธรรมอะไรที่มีลักษณะอย่างนี้
ที่ว่ามานี้เป็นการพูดกันในเชิงปัญญา และเป็นการเชิญชวนให้พูดกันด้วยใจเป็นธรรม ไม่ต้องเอนเอียงเข้าข้างไหน แต่ให้ใช้ปัญญาพิจารณาด้วยใจเป็นกลางว่า คำถามที่ยกขึ้นมาตั้งนี้ เมื่อตอบด้วยความรู้สึกที่แท้บริสุทธิ์ และได้ใช้ปัญญาอย่างสูงสุดแล้ว คำตอบจะออกผลมาเป็นอย่างไร ขอให้ทุกท่านไปคิดพิจารณา
ถ้าจะบัญญัติพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ก็น่าจะทำด้วยเหตุผลนี้ มิใช่ด้วยเหตุผลอย่างอื่น
พูดอีกอย่างหนึ่งว่า ถ้าพิจารณาด้วยปัญญาที่ชัดเจน และด้วยใจเป็นกลางแล้ว คำตอบออกมาว่า สิ่งนั้นคือพระพุทธศาสนา การบัญญัติให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ก็ถึงเวลาที่สมควร
แต่ก็ต้องย้อนกลับมาถามท่านผู้นำชาวพุทธทั้งหลายคือพวกเรากันเองนี้ว่า ชาวพุทธมีความชัดเจนแน่แล้วหรือในอุดมการณ์ของพระพุทธศาสนา และพร้อมแล้วหรือที่จะนำเสนออุดมธรรมของพระพุทธศาสนา ที่จะมาเป็นแกนนำในการแก้ปัญหาของสังคมไทย และสร้างสรรค์อารยธรรมของมนุษยชาติ
อาตมภาพได้พูดมาเป็นเวลาพอสมควรแล้ว ขออนุโมทนาทุกท่าน ซึ่งขอถือว่าเป็นชาวพุทธที่เป็นผู้นำ ซึ่งมีความรับผิดชอบต่อพระพุทธศาสนา และสังคมไทยส่วนรวม ตลอดจนประโยชน์สุขของมนุษยชาติทั้งหมด
อาตมภาพเข้าใจว่าทุกท่านมีเจตนาดี เป็นกุศลเจตนา เพราะฉะนั้น เราคงจะได้มาช่วยกันในการที่จะแก้ปัญหาของสังคมไทย และสร้างสรรค์สังคมนี้ให้เจริญก้าวหน้าไปสู่สันติสุข
และช่วยกันทำให้โลกนี้เป็นโลกแห่งความร่มเย็นเป็นสุขด้วย
ขอให้ทุกท่านที่มีกุศลเจตนานี้ จงประสบแต่จตุรพิธพรชัย ด้วยอานุภาพคุณพระรัตนตรัย จงมีความร่มเย็นเป็นสุข เจริญงอกงามในธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
โดยทั่วกันทุกท่าน ตลอดกาลนาน
เมื่อ ๓๐๐ กว่าปีก่อนโน้น บาทหลวงฝรั่งเศสชื่อว่า ฌอง เดอบูร์ เข้ามาเมืองไทยสมัยอยุธยา ในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เห็นอัธยาศัยไมตรีของพุทธศาสนิกชนคนไทย ที่แสดงออกต่อคนต่างชาติต่างศาสนาแล้ว เกิดความประทับใจ ได้เขียนจดหมายเหตุยืนยันไว้หนักแน่น ซึ่งกลายเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ว่า ไม่มีประเทศไหนอีกแล้วในโลก ที่คนมีเสรีภาพทางศาสนาเท่ากับในประเทศสยาม
(ในเมืองฝรั่งเศสของเขาเอง ตลอดแผ่นดินยุโรปจนแทบทั่วเอเชีย เวลานั้น มีแต่การรบราฆ่าฟันห้ำหั่นบีฑาบีบคั้นกันด้วยเรื่องศาสนา)
แม้ถึงบัดนี้ ในยุครัตนโกสินทร์ แผ่นดินรัชกาลที่ ๙ คำพูดของบาทหลวง ฌอง เดอบูร์ ก็ยังเป็นความจริงอยู่เหมือนเดิม
คำพูดของบาทหลวง ฌอง เดอบูร์ ที่บันทึกไว้ใน จดหมายเหตุการเดินทางของพระสังฆราชแห่งเบริต ว่าดังนี้
"ข้าพเจ้าไม่เชื่อว่าจะมีประเทศใดในโลก ที่มีศาสนาอยู่มากมาย และแต่ละศาสนาสามารถปฏิบัติพิธีการของตนได้อย่างเสรีเท่ากับประเทศสยาม"
ความจริงที่ว่านี้ คนไทยในปัจจุบันมองเห็นหรือไม่ และจะรู้เข้าใจว่าเป็นจริงอย่างไร ก็อยู่ที่ว่า คนไทยเหล่านั้นรู้จักสังคมของตนเอง และรู้จักสังคมอื่นในโลกหรือไม่
สภาพที่เป็นจริงอย่างนี้ ไม่ควรจำกัดอยู่แค่ประเทศสยามเท่านั้น แต่ควรแผ่ขยายไปให้มีเป็นสากลทั่วทั้งโลก
อย่างไรก็ตาม ตามสภาพที่ปรากฏในปัจจุบัน ภาวะแห่งสันติภาพอย่างนั้นมิได้ขยายออกไป มีแต่ทำท่าว่าจะหดตัวแคบเข้าทุกทีแม้แต่ในประเทศสยามนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะรักษาความดีงามที่เป็นจุดเด่นนี้ไว้ให้ยืนยาวต่อไปในอนาคตได้นานเท่าใด
ถ้าต้องการให้ดินแดนสยามยังมีความดีงาม อย่างที่บาทหลวงฝรั่งเศสชื่นชมด้วยความแปลกประหลาดอัศจรรย์ใจตั้งแต่ครั้งก่อนโน้นสืบต่อไป และถ้าปรารถนาจะให้โลกนี้มีสันติสุข โดยการที่มนุษย์ทุกชาติศาสนามีไมตรีเป็นมิตรต่อกัน . . .
คนไทยแห่งแดนสยามที่เคยได้รับความชื่นชมว่าดีเด่นในทางมีเสรีภาพที่เกื้อกูลแก่กันนี้ นอกจากมีเมตตาแล้ว จะต้องมีปัญญารู้เข้าใจ ทั้งรู้จักตัวเองและรู้จักคนชาติศาสนาอื่นๆ ให้ตรงตามความเป็นจริงด้วย จึงจะสามารถใช้เมตตานั้นสร้างสรรค์โลกแห่งความร่มเย็น ที่คนอยู่ร่วมกันเป็นสุขสันต์ขึ้นมาได้
เฉพาะอย่างยิ่งในโลกบัดนี้ ที่เต็มไปด้วยการแบ่งแยกและความรุนแรง เหมือนรอการแก้ไข คนไทยสมควรอย่างยิ่ง ที่จะคิดกันให้จริงจัง ในการสืบค้นคุณสมบัติพิเศษแห่งชาติวัฒนธรรมของตนขึ้นมาอนุวัตรพัฒนา ทำเมืองไทยสยามนี้ให้เป็นแผ่นดินแบบอย่างที่มนุษย์ทุกชาติเชื้อหมู่เหล่า
อยู่ร่วมกันด้วยน้ำใจไมตรีมีสันติสุข
>>>>> จบ >>>>>
|
Update : 15/6/2554
|
|