หน้าแรก สมาชิก รายการวัตถุมงคล ตะกร้าวัตถุมงคล วิธีชำระวัตถุมงคล วิธีบูชาวัตถุมงคล ประวัติวัด ติดต่อวัด เว็บบอร์ด
สมาชิก Log in
อีเมล์
รหัสผ่าน
สมัครสมาชิกใหม่
ลืมรหัสผ่าน
















ค้นหาวัตถุมงคล
 
 
 
หมวดวัตถุมงคล
  เครื่องราง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง หลวงพ่อสวัสดิ์
  พระเครื่อง หลวงปู่พิมพ์มาลัย
  พระเครื่อง หลวงพ่อสง่า
วัตถุมงคลของคุณ
รหัสวัตถุมงคล ราคา จำนวน
ยังไม่มีวัตถุมงคลอยู่ในตะกร้า
  • ชำระค่าวัตถุมงคล
  • แก้ไขรายการวัตถุมงคล
  • วิธีสั่งบูชาวัตถุมงคล
  •  

    พระอภัยมณี/35

    ตอนที่ ๔๘ นางเสาวคนธ์หนี


      จะกลับกล่าวเจ้าพาราการะเวก หวังภิเษกลูกรักเป็นศักดิ์ศรี
    ด้วยเดือนเจ็ดเสร็จพระอภัยมณี มาบุรีเริ่มงานการวิวาห์
                พอถึงเดือนหกก็ตรัสสั่งให้แต่งวัง สำหรับให้เป็นที่ประทับของวงศาไว้สามแห่ง ให้หน่อกษัตริย์หัสไชยไปกำกับงาน
      ฝ่ายนงเยาว์เสาวคนธ์วิมลโฉม เป็นทุกข์โทมนัสในฤทัยถวิล
    แต่ทูตถือหนังสือมาถึงธานินทร์ นางทราบสิ้นศุภสารการวิวาห์
    ฯลฯ
                นางเห็นว่าครั้นจะอยู่สู้ดื้อด้วยถือสัตย์ ก็สุดที่จะขัดพระบิดาได้ นางจึงคิดเตรียมการเป็นความลับ ลอบทำสำเภายาวเก้าเส้น สำหรับแล่นออกทะเลลึกเพื่อฝึกทหารได้ จัดเตรียมผู้คนและเสบียงไว้พร้อม
                ฝ่ายพระอภัยแล่นเรือมาได้เดือนหนึ่ง ก็ถึงเมืองการะเวก เจ้าเมืองการะเวกก็ออกไปรับ
      ฝ่ายปิ่นปักนัคราการะเวก จึงสั่งเอกเสนาอัชฌาสัย
    จัดเกณฑ์แห่แตรสังข์เรือดั้งไว้ เราจะไปรับกษัตริย์ขัตติวงศ์ ฯ
                เมื่อมาถึงแล้ว ก็ให้การต้อนรับตามประเพณีอย่างครบถ้วน แล้วก็ทูลลาแยกย้ายไปยังวังที่จัดเตรียมไว้ให้ประทับ เมื่อตอนใกล้พลบค่ำ
      ฝ่ายนงเยาว์เสาวคนธ์วิมลสมร จะจำจรจากประเทศหนีเชษฐา
    คิดอาลัยในพระอนุชา ทั้งบิดามารดรจะร้อนรน
    ฯลฯ
    จึงตรัสสั่งทั้งหลายฝ่ายข้าหลวง ให้ทั้งปวงปิดความใครถามหา
    บอกว่าเราเข้าบำเพ็ญภาวนา ไม่พูดจาว่าจะเสร็จสักเจ็ดวัน
                แล้งเขียนคำอำลาสมาโทษ กับเพลงยาวครั้งที่อยู่ลังกาไว้บนที่นอน แล้วปิดประตูใส่สลักไว้ พอใกล้พลบค่ำจึงหลบออกจากปราสาทไปลงเรือ แล้วใช้ขับแล่นไปทางทิศพายัพ หมายจะเข้าไปยังอ่าวสินธุ์มิดถิลา
      จะกลับกล่าวเจ้าพาราการะเวก จวนอภิเษกฤกษ์แรมอันแจ่มใส
    แต่บุตรีศรีสวัสด์กับหัสไชย ไปไหนไม่เห็นหายหลายเวลา
    ฯลฯ
                เมื่อนางกษัตริย์ไปตามที่ห้องนางได้พบสารอ่านดูรู้ความแล้ว เสียใจจนสลบไป พวกท้าวนางนำความไปทูลเจ้านครการะเกด พระองค์ได้อ่านสารทราบความแล้ว ก็เสียใจสลบไปอีกองค์หนึ่ง พระอภัยพร้อมทั้งพระอนุชา พระมเหสี พระธิดา พระโอรส และหัสไชยพากันไปยังห้องเสาวคนธ์ เจ้าเมืองการะเกดให้อ่านสารของนางให้ทุกองค์ทราบ เมื่อจบแล้วก็ให้อ่านสารของสุดสาคร ที่มีถึงเสาวคนธ์เมื่อครั้งอยู่ลังกา
      พอจบเรื่องเคืองจิตพระปิตุเรศ จึงว่าเหตุนิดหนึ่งมาหึงสา
    หนังสือนี้อีลีวันใช้ปัญญา ประดิษฐแต่งแกล้งว่าสุดสาคร
    ฯลฯ
      พระอภัยให้ระทดกำสรดเศร้า สงสารเสาวคนธ์น้อยละห้อยหา
    ทั้งพระน้องสองนางต่างโศกา เวทนานงเยาว์เสาวคนธ์
    ฯลฯ
                พระอภัยจึงทูลท้าวเจ้าเมืองการะเวกว่า พระองค์กับพระอนุชาจะออกตามหาองค์เสาวคนธ์เอง กษัตริย์สุริโยทัยก็น้อมรับ และทูลว่าเมื่อตามพระธิดามาได้แล้ว ก็จะได้วิวาห์เสกสองให้ครองกัน
      สุดสาครถอนสะอื้นค่อยฝืนพักตร์ ทูลทรงศักดิ์ตามจริงทุกสิ่งสรรพ์
    อันหนังสือคืออีลาลีวัน กระหม่อมฉันมิได้ทรายที่หยาบคาย
    ฯลฯ
                แล้วขอบังคมลาไปตามนางจนกว่าจะพบ แล้วจะไปฆ่าสุลาลีวันเอาศีรษะมาให้นาง สุดสาครคิดแค้นจนสลบไป พระสุริโยทัยจึงไกล่เกลี่ยตรัสว่า อย่าไปโกรธฝรั่งที่ทำหนังสือนี้เพราะว่ามันเป็นกลศึก
    อย่าเพ่อคิดติดตามคอยถามข่าว ได้เรื่องราวมั่นหมายจึงผายผัน
    อันฝรั่งลังกาอย่าฆ่าฟัน เสียสัตย์ธรรมทศพิธผิดโบราณ ฯ
                สุดสาครร้อนอกถึงน้องรักที่ต้องจากไป
    แม้พบปะจะได้ให้ความสัตย์ ศรีสวัสดิ์จะสร่างที่หมางหมอง
    ประการหนึ่งถึงมิอยู่เป็นคู่ครอง เป็นพี่น้องอยู่ด้วยกันจนวันตาย
    ฯลฯ
                พระปิตุราชมาตุรงค์และวงศ์วาน ต่างพากันสงสารจึงให้โหรทำนาย โหรชำระพระชะตาของพระธิดาแล้ว เห็นว่าเป็นคราวเคราะห์วิบัติ แล้วทูลความว่าพระธิดาไปทางทิศพายัพ เมื่อตามไปก็จะพบแต่มีเหตุกลับกลายหลายสถาน ต่อเมื่อสิบสี่ปีแล้ว จึงจะได้กลับมา
                กรุงกษัตริย์ได้ฟังคำทำนาย จึงตรัสให้แต่งกำปั่นไปเที่ยวตามหาพระธิดา สุดสาครบอกว่าตนจะขี่ม้ามังกรออกตามนางเอง แล้วทูลลาท้าวการะเกดออกเดินทางไปโดยไม่รอช้า
      หน่อนรินทรสินสมุทก็สุดเศร้า แต่หมอบเฝ้าฟังรหัสเห็นขัดสน
    หมายว่าน้องสองสมรเขาผ่อนปรน จะพลอยพ้นทุกข์ด้วยก็ป่วยการ
    ฯลฯ
                เมื่อเห็นว่าไม่สมคะเนแล้ว ก็โศกเศร้าจนเป็นลมนิ่งไป สามกษัตริย์แก้ไหขให้ฟื้นขึ้น หน่อกษัตริย์หัสไชยก็ร้องไห้ถึงพี่ยา ทั้งอาลัยในธิดาเจ้าเมืองผลึก ฝ่ายองค์พระอภัยได้ทูลท้าวเจ้ากรุงการะเกดว่า พรุ่งนี้จะลงเรือไป แล้วลากลับมาที่ประทับ ส่วนหัสไชยก็ไปพบสองพระธิดา
    ค่อยสั่งสอนน้องน้อยละห้อยละเหี่ย ต่างสั่งเสียเศร้าหมองไม่ผ่องใส
    นางให้ลูกตุ๊กตากับผ้าสไบ พระหัสไชยให้แหวนทดแทนกัน ฯ
                ส่วนองค์สุวรรณมาลีเห็นสินสมุทเศร้าโศกเสียใจ จึงไปหาสินสมุทยังเรือกำปั่น แล้วไต่ถามความใน เมื่อทราบความแล้ว จึงแกล้งตรัสเปรียบเปรยว่า
    อันวิสัยใจจริงหญิงมนุษย์ รักบุรุษสุดรักสมัครหมาย
    ซึ่งมารยาพาทีเพราะมีอาย เขาไม่ตายจริงหรอกบอกให้รู้
    ด้วยรุ่นราวสาวแส้แล้วแต่แรก เปรียบเหมือนแขกคิดเดียดด้วยเกลียดหมู
    ต่อเมื่อไรได้เป็นเหมือนเช่นชู้ จึงกลับรู้รักชายถวายตัว
    ฯลฯ
                เมื่อฤกษ์ดีแล้ว ก็พากันออกเดินทางแยกย้ายกันไป พระอนุชาศรีสุวรรณไปเมืองรมจักร พระอภัยก็ไปอีกทางหนึ่ง พบลูกค้าก็ไต่ถามถึงองค์เสาวคนธ์ แต่ก็ไม่ได้ข่าวคราวแต่อย่างใด
                ฝ่ายสินสมุทระหว่างเดินทางมากลางน้ำได้ไปหาองค์อรุณรัศมี เข้ารับขวัญนางแต่ถูกนางบ่ายเบี่ยงตามสัญญา ตอนนนี้องค์เสาวคนธ์หนีไปแล้วเป็นแคล้วกัน
    ยังกลับมาหาสู่ทำจู้จี้ ประเดี๋ยวนี้ก็ได้วุ่นระหุนหัน
    มาทำเทียมเลียมเล่นเหมือนเช่นกัน ผิดก็ฉันเชือดคอให้มรณา ฯ
                สินสมุทก็กล่าวแก้ด้วยเหตุผลว่า จะคอยอยู่ต่อไปคงไม่ได้ เพราะตนได้แต่งงานกับนางแล้ว ตามที่รับสั่งประทานมาให้
    มิเคียงคู่ตามความรับสั่ง เหมือนชิงชังจึงไม่ชมประสมสอง
    จะเคืองขัดอัธยาฝ่าละออง จึงจำต้องตามรับสั่งไม่ฟังกัน ฯ
                นางได้ฟังเห็นว่าสินสมุทตีฝีปากได้ดีขึ้นมากกว่าแต่ก่อน หรือว่าใครสอนมาจึงคิดจะลองดูท่วงที
    ซึ่งโปรดให้ใช่จะสั่งให้สังวาส ให้รับราชกิจการผ่านกรุงศรี
    จึงต้องตามความรับสั่งมาดังนี้ หมายพระพี่คงจะไม่ทำน้อง
    ฯลฯ
    ไม่อ่อนน้อมยอมตามความรับสั่ง พี่ก็ยังมิให้เจ้าไปสวรรค์
    แม้จะใคร่ได้ตายง่ายง่ายนั้น จงผ่อนผันพอได้หว่านเป็นว่านเครือ
    ฯลฯ
    พระกอดเกยเชยปรางถืออย่างยอด เสียงฟอดฟอดเฟ้นซ้ายแล้วย้ายขวา
    ถนอมแนบแอบอรุณอุ่นอุรา เหมือนสายฟ้าแลบรอบขอบทะเล
    ฯลฯ
    เมื่อเดิมทีพี่น้องร่วมห้องหับ แล้วก็กลับได้เสียเป็นเมียผัว
    นางน้องสาวคราวอ่อนวอนฝากตัว ฉันได้ชั่วดีด้วยช่วยเอ็นดู
    ฯลฯ
                ฝ่ายองค์พระอภัยกับศรีสุวรรณ เกณฑ์กำปั่นออกไปติดตามองค์เสาวคนธ์ทุกทิศ แต่ยังไม่พบ


    ตอนที่ ๔๙ นางเสาวคนธ์แปลงเป็นฤาษี

                ฝ่ายนงเยาว์เสาวคนธ์แปลงองค์เป็นพราหมณ์ มีบริวารติดตามไปพันร้อยคน แล่นเรือไปได้เดือนเศษเข้าเขตเมืองวาหุโลม ทางขึ้นโรมวิสัย อันเป็นเมืองใหญ่ของพวกพราหมณ์

    เห็นเกาะเพลิงเริงแรงแสงสว่าง ลุกอยู่กลางเกาะเองน่าเกรงขาม
    ตีนสิงขรล่อนโล่งพลุ่มโพลงพลาม ยาวสักสามสิบเส้นล้วนเป็นไฟ
    ฯลฯ
                เมื่อดูในแผนที่ก็รู้ว่าเกาะนี้ชื่อชุมเพลิงเชิงไศล มีเรื่องเล่าว่าที่เกาะใหญ่มีพระยานาคอยู่เป็นจำนวนมาก ได้พ่นพิษดังเพลิงเป็นควันฟุ้งฟ้าดิน ถูกเทวดาสารพัดสัตว์ตาย พระนารายณ์รู้เรื่องจึงได้เข้ามาแก้ไข
    มาปิดปล่องช่องชวากที่นาคผุด ถอนพิษภุชงค์ร้ายให้หายสูย
    เหลือเปลวปล่องตรงปล่องเหมือนกองกูณฑ์  เป็นไฟพูนสักเท่าเขาคิริน ฯ
      นางอ่านดูรู้โฉลกโลกเชษฐ์ ที่เขาเขตขวางแดงกระแสสินธุ
    ว่าไหลมาแต่สวรรค์ชั้นพระอินทร์ ผู้ใดกินแก้บาปอาบก็ดี
    ตายจะได้ไปกำเนิดเกิดสวรรค์ ลำน้ำนั้นมาแต่หน้าพาราณสี
    พวกถือไสยในจังหวัดปัถพี เอาซากผีนั้นมาทิ้งทั้งหญิงชาย
    ฯลฯ
                นางอ่านดูรู้เรื่องแล้วจึงแปลงองค์ทรงหนังเสือเป็นฤาษี เปลี่ยนชื่อเป็นพระอัคคี นำพวกข้าไทไพร่พลทั้งหญิงชายแปลงตนเป็นชีพราหมณ์ เปลี่ยนนามตามที่บวชทุกคน บอกว่าพวกตนเป็นชาวกบิลพัสดุ์ เที่ยวโปรดสัตว์ตามกิจของฤาษี แล้วเขียนสำเภาอักขระปลุกเสกเลขยันต์เอาเรือนั้นลอยลงในน้ำ ใครตามมาก็จะเห็นเป็นสำเภาของนาง เพื่อให้สุดสาครเที่ยวหลงทาง แล้วให้นำเรือเข้าอ่าววาหุโลม
    เห็นปากน้ำทำป้อมคร่อมภูเขา จำเพาะเข้าออกเดินเนินไศล
    แลพิลึกตึกกว้านสำราญใจ เข้าจอดใกล้เมืองด่านชานบุรี
    ฯลฯ
                สังเกตเห็นผู้คนบนตลิ่ง ทั้งชายหญิงโพกผมนุ่งห่มด้วยผ้าสี พวกเจ้านายและเสนีแต่งเครื่องขาว พวกไพร่นายฝ่ายทหารใส่เสื้อดำ ส่วนพลเรือนแต่งกายสีหมอก
     
    ล้วนเสื้อกลีบจีบนุ่งคาดพุงทับ ไม่สลับสีไหนก็ให้เหมือน
    เห็นเรือจอดทอดท่าลงมาเยือน ดูเดินเกลื่อนตามตลิ่งทั้งหญิงชาย
    ฯลฯ
                ฝ่ายนางด่านให้ล่ามเข้ามาถามว่าเรือที่มานี้จะมารบหรือมาค้าขาย ฝ่ายขอเฝ้าจึงแจ้งเป็นอุบายไปว่าพวกตนเป็นชาวเมืองกบิลพัสด์ รักษาศีลสัตย์เป็นฤาษีเที่ยวทำประโยชน์โปรดสัตว์ในแผ่นดิน ที่มานี้ก็เพื่อเที่ยวชมโรมวิสัย แล้วถามล่ามว่าเมืองนี้เป็นเมืองใดใครเป็นเจ้าเมือง ล่ามตอบว่าเขตเมืองโรมวิสัยนั้นไกลมาก เดินทางทีนี้ไปเวลาถึงปีเศษ ถึงเมืองวาหุโลมเป็นที่สิ้นเขตแดน
    อันเมืองกลางทางไปทั้งใหญ่น้อย ก็นับร้อยพลโจษนับโกฏิแสน
    นับถือผู้รู้ไตรเพททุกเขตแคว้น บูชาแทนเทวดาเป็นอาจารย์
    ฯลฯ
                แล้วนับถือพระอาทิตย์ซึ่งมีคุณยิ่งนัก แล้วถามว่าฤาษีมีความเชี่ยวชาญในเรื่องใดจึงมาเที่ยวโปรดสัตว์ ฝ่ายฤาษีพี่เลี้ยงจึงบอกกับล่ามว่าคนที่รู้ตามตำรา ไม่ควรสรรเสริญให้เกินการ เป็นเดรัจฉานวิชา พวกตนถือภูมิพุทธ รักษาศีล แก้วแหวนเงินทองนั้นเหมือนดิน มีแล้วก็สิ้นสูญไป อันกุศลเป็นผลให้เป็นสมบัติ ใครถือธรรมจำศีลอภิญญาณ จะถึงนิพพาน
    แม้จะใคร่ได้สดับรับโอวาท ทำธรรมาสน์พุทธเพทเทศนา
    จะให้ศีลภิญโญในโลกา ที่คิดสารพัดได้ดังใจปอง ฯ
                ฝ่ายล่ามได้ฟังดังนั้นก็อยากใคร่จะได้ฟังจึงมาปรึกษากัน จะลองดูให้เห็นจริง จึงจัดแจงแต่งธรรมาสน์ แล้วบอกพวกพ้องให้ไปฟังผู้วิเศษจะเทศน์ธรรม ศีลฤาษีผู้ใดได้รับแล้วดีกว่าทรัพย์สินทุกอย่าง บรรดาชาวเมืองต่างสำคัญว่าเป็นของที่ต้องการ
    บ้างแบกกระบุงถุงได้ไปใส่ศีล มาพร้อมสิ้นซ้ายขวาแน่นหน้าฉาน
    แล้วล่ามตรงลงเภตราว่าอาจารย์ นิมนต์ท่านเทศน์ธรรมเหมือนสัญญา ฯ
      ฝ่ายนงลักษณ์อัคคีฤาษีเอก อดิเรกรู้ธรรมคำสิกขา
    คิดประโยชน์โปรดทมิฬดังจินดา จึงครองผ้าผูกคาดราดประคต
    ฯลฯ
                ฝ่ายพวกทมิฬไม่นับถือพระฤาษี ต่างมองดูไม่เห็นมีของที่ต้องการ จึงถามกันว่าศีลที่ฤาษีเอามาว่าจะให้นั้นไม่เห็นมี องค์ฤาษีบอกอานิสงส์ศีลห้าว่าผู้ใดฟังทั้งหมดเมื่อตายแล้วบุญจะส่งไปสวรรค์ชั้นวิมาน ได้เสวยอาหารทิพย์ ถ้าอุตสาห์สร้างกุศลผลทานก็จะถึงนิพพานมีความสุขทุกวัน พอจบคำ พวกทมิฬ ก็หัวเราะเยาะเย้ยหยันว่าศีล มีขี้ปดหมดทั้งนั้น ลวงให้ตนเอากระบุงถุงย่ามมาใส่เป็นการล่อลวง แล้วพากันขับไล่
    ขุนด่านไล่ไพร่พลที่บนป้อม ลงพรักพร้อมนายไพร่ไล่ฤาษี
    ฝ่ายโฉมยงนงลักษณ์พระอัคคี เห็นเสียทีถอยมาริมสายชล ฯ
                พวกในสำเภาเห็นชาวด่านไล่รบมาก็ฉวยอาวุธวิ่งขึ้นบกมาช่วยรุกรบ
    พวกฤาษีชีพราหมณ์คุกคามขู่ ใครรบสู้ขืนขัดจะตัดหัว
    แม้ไม่สู้กูไม่ฆ่าดอกอย่ากลัว แล้วหามตัวนายด่านขึ้นศาลกลาง ฯ
                พวกเหลือตายนายมูลหมื่นขุนนาง บ้างก็หลบหนีบ้างก็เข้ามาหาเป็นข้าไท พอจวนเย็นเห็นแต่พวกแก่เฒ่ามาขอพบพระฤาษีอัคคี นางก็ออกไปต้อนรับ พวกเฒ่าแก่ทูลว่า เห็นทหารของท่านฆ่าตีชาวเมือง
    จึงอุตสาห์มาห้ามตามขนบ ธรรมเนียมรบเมืองได้เหมือนใจหมาย
    แม้ครองแคว้นแดนด้าวเป็นเจ้านาย คนทั้งหลายก็จะมาเป็นข้าไท
    ฯลฯ
                พระฤาษีอัคคีจึงตอบว่า ที่มาหานี้นั้นดีนักให้ช่วยไปบอกว่า ผู้ใดไม่ต่อสู้ฆ่าฟันทำอันตรายแล้ว ก็ให้กลับมาทำมาหากินตามถิ่นฐานดังเดิม ส่วนพวกตนเมื่อพักผ่อนพอสบายแล้วก็จะลาไป
    ประการหนึ่งซึ่งเราถือเป็นฤาษี ใครเห็นดีโดยจริงจงทิ้งไสย
    มาถือพุทธสดุดีไม่มีภัย อาวุธไม่ต้องตนเป็นมลทิน
    ฯลฯ
                พอเวลากลางคืนมีเด็กชายหญิงสองคน มาที่ศาลากลางบอกว่าพ่อของตนถูกฆ่า พวกตนจะขอตายตามแต่ขอพบศพบิดาก่อน พระอัคคีได้ฟังแล้วมีใจสงสารเห็นรูปร่างหน้าตาแปลกกว่าทมิฬทั้งหลาย จึงเรียกมาไต่ถามได้ความว่าเป็นบุตรของนายด่าน พี่สาวอายุสิบเอ็ด น้องชายอายุได้เจ็ดปี จึงคิดใคร่ได้เป็นลูก จึงกล่าวกับเด็กทั้งสองว่า
    มาตามศพพบพ่อจะขอม้วย เราจะช่วยชุบชีวิตเหมือนคิดหมาย
    ให้พ่อฟื้นคืนรอดไม่วอดวาย จะถือฝ่ายพุทธหรือจะดื้อดึง ฯ
                เด็กทั้งสองได้ฟังจึงตอบว่า ถ้าแม้พ่อของตนฟื้นขึ้นมาได้ แม้เลือดเนื้อของตนก็จะเถือให้ได้
    จะนับถือฤาษีผู้วิเศษ จะฟังเทศน์ถือพุทธไม่มุสา
    ถ้าชุบขึ้นคืนชีวิตให้บิดา จะเป็นข้าพระฤาษีทั้งพี่น้อง ฯ
                พระอัคคีดีใจที่จะได้ลูก จึงแก้ไขนายด่านที่ต้องศรสลบไปให้ฟื้นคืนมา นายด่านเห็นลูกทั้งสองมานั่งอยู่ด้วย ในพวกพ้องข้าศึกก็นึกสงสัย จึงเรียกลูกมาไต่ถามครั้นรู้แจ้งแล้วก็คิดคุณ หมอบคำนับพระฤาษีที่มีน้ำใจดี ช่วยชุบชีวิตให้ตน แล้วให้คำมั่นสัญญาว่า
    จะทิ้งชาติศาสนาข้างวาหุ ขอสาธุถือศีลพระชินสีห์
    อันพี่น้องสองราบุตรข้านี้ แม่ไม่มีอุปถัมภ์เหมือนกำพร้า
    ถวายไว้ในพระองค์จงช่วยบวช ให้รู้สวดศักราชพระศาสนา
    ทั้งข้านี้มิได้ขัดอัธยา พระสิทธาสั่งสอนจะผ่อนตาม ฯ
                พระอัคคีรับคำนายด่านแล้ว จึงไต่ถามถึงประเทศขอบเขตคัน
      นายด่านเล่าว่าเจ้าวาหุโลมราช กษัตริย์ชาติเชื้อยักษ์มักกะสัน
    เลี้ยงนกไก่ไว้กินสิ้นทั้งนั้น สารพันสัตว์ที่มีปีกบิน
    ฯลฯ
                แล้วเอาขนมาทำเป็นเครื่องประดับแต่งกาย มีเครื่องยกเหมือนนก เมื่อเอามาสวมองค์ก็บินได้ไกลร้อยเส้นเศษ ได้ปราบประเทศทั้งร้อยเอ็ด มีอาณาเขตจรดเขตประเทศพราหมณ์
    ข้าอยู่ด่านชานสมุทเป็นสุดถิ่น คุมทมิฬหมื่นเศษเฝ้าเขตขัณฑ์
    ขึ้นไปนี้มีเมืองเนื่องเนื่องกัน ยี่สิบวันถึงพาราวาหุโลม
                แล้วทูลว่า เจ้าเมืองมีบุตร รู้พระเวทชื่อ วาโหม บิดาใช้ให้ไปยอมอ่อนน้อมถึงเมืองโรมวิสัย จึงได้วิชามาอายุได้สิบสี่ปี ตัวอ้วนเป็นพ้อม จะได้เป็นเจ้าเมืององค์ต่อไป สำหรับทางไปเมืองโรมวิสัยนั้นไกลมาก
    จะบอกกล่าวราวเรื่องไปเมืองหลวง ตามกระทรวงทูลเหตุแจ้งเขตขัณฑ์
    ขอเบิกด่านท่านให้เสร็จทั้งเจ็ดชั้น ได้ผายผันไปตามความสบาย ฯ
                พระอัคคีได้ฟังแล้ว ก็ตอบขอบใจนายด่าน เมื่อเห็นว่าดึกแล้ว จึงพาบุตรทั้งสองพี่น้อง ไปสั่งเมื่อคิดถึงจึงไปที่เรือ
      ฝ่ายทหารด่านแตกเมื่อแรกพบ ที่หลีกหลบเหล่าชายพลัดพรายหนี
    เที่ยวบอกเล่าเจ้าเมือง เอกโทตรี ว่าโจรตีด่านได้นายใหญ่ตาย
                บรรดาด่านต่างก็บอกข่าวไปยังเมืองหลวง จะยกทัพไปจับโจร พอพวกนายด่านถือหนังสือมา อ่านดูรู้ความเป็นที่ประจักษ์ใจ จึงรีบส่งม้าใช้ถือหนังสือไปเฝ้าเจ้าเมือง
                ฝ่ายท้าวเจ้าวาหุโลม เป็นกษัตริย์ชาติเชื้อยักษ์ มีชันษาได้ห้าสิบ มีโอรสชื่อ วาโหม ครั้นรุ่งเช้าเสนาได้ทูลความตามหนังสือสองฉบับ มีความไม่เหมือนกัน ฉบับแรกบอกว่าฤาษีเข้าตีด่าน ฉบับต่อมาบอกว่าฤาษีมีเวทมนต์ ชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นได้ มีคนนับถือไปทั่ว จะเดินทางไปเมืองโรมวิสัย
      พระทราบเรื่องเคืองขัดตรัสประภาษ มันสามารถมีหนังสือรับฤาษี
    สรรเสริญเกินสังเกตอันเหตุนี้ เห็นท่วงทีถ่ายเททำเล่ห์กล
    ฯลฯ
                แล้วสั่งให้เสนาในบอกเมืองตะวัน ด่านชั้นสามไปปราบปรามด่านมหาชลาไหล ฆ่านายด่านสองหน้าเสียให้สิ้นโคตร รวมทั้งฤาษีด้วยอย่าให้มีเหลือจะเป็นเชื้อต่อไป เสนาจึงมาสั่งเสมียนให้เขียนข้อรับสั่ง ให้ม้าใช้ถือไปส่งทุกเมืองแจ้งเรื่องความ
      ฝ่ายเสนาราหูคนผู้เฒ่า ซึ่งเป็นเจ้าเมืองตะวันด่านชั้นสาม
    รู้เวทมนตร์ทนคงเคยสงคราม ครั้นทราบความตามรับสั่งไม่รั้งรา
    ฯลฯ
                ให้เกณฑ์ทหารสิบสี่หมื่น ยกออกไปจากเมืองด่านไปตามลำดับ
                ฝ่ายองค์อัคคีพักอยู่ในด่าน คอยท่าผู้ถือหนังสือไปขอเบิกด่าน โดยมีบุตรนายด่านสองคนอยู่ปรนนิบัติ นางให้นามคนพี่ว่า ธิดา คนน้องว่า โอรส รอฟังข่าวเจ้าประเทศอยู่สองเดือนเศษ นายด่านก็ลนลานมาบอกว่า ม้าใช้ที่ถือหนังสือไปขอเบิกด่าน ถูกท่านว่าเป็นขบถ ให้ยกทัพลงมา
    ว่าราหูผู้เฒ่าจะเอาโทษ ให้สิ้นโคตรคนที่ถือพระฤาษี
    เป็นเคราะห์กรรมจำตายวายชีวี พระมุนีจะคิดอ่านประการใด ฯ
      ฝ่ายนงเยาว์เสาวคนธ์รู้กลศึก ฉลาดลึกแหลมปัญญาอัชฌาสัย
    จึงเสแสร้งแกล้งตอบว่าขอบใจ ที่รักใคร่เจ้านายสู้วายปราณ
    แต่ตัวดีมิได้ผิดเขาคิดโกรธ จะฆ่าโคตรพลอยถูกทั้งลูกหลาน
    ไม่ไต่ถามความสัตย์ปฎิญาณ ผิดโบราณเรื่องราวท้าวพระยา
                แล้วบอกว่า ตนเป็นฤาษีไม่ฆ่าตีชีวิต จะต่อสู้ดูฝีมือให้ปรากฎ คิดรักษาครอบครัวอย่าไปกลัวมัน
    ทำไมกับทัพทมิฬเหมือนริ้นล่อง มาเข้ากองไฟฟ้าจะอาสัญ
    นายด่านนั่งฟังยุพลอยดุดัน จริงกระนั้นคุณว่าไม่น่าตาย
                แล้วว่าน่าน้อยใจที่หาว่าเป็นขบถ จึงขอสู้ตายร่วมกับเท้าของฤาษี แล้วลามาเที่ยวตรวจดูทหารเตรียมป้องกันระวังภัย
      ฝ่ายราหูแม่ทัพกับทหาร มาถึงด่านแดนมหาชลาไหล
    ให้ตั้งค่ายรายเรียงเคียงกันไป ปักธงชัยเมืองตะวันเป็นสัญญา
    ฯลฯ
                แล้วขี่กิเลนมาหน้าป้อมปืนร้องเรียกให้นายด่านออกไปพูดจากัน บอกว่าตนถือรับสั่งมาจะไกล่เกลี่ยให้ค่อยหายผิด และเร่งเปิดประตูรับทัพของตนเข้าเมือง จะพ้นโทษไม่ตาย นายด่านได้ออกไปเจรจาบอกว่า ถ้าราหูจะช่วยทูลเรื่องให้เจ้าเมือง หายขัดเคืองตนก็จะไปเฝ้า ราหูก็ตอบว่า ถ้าจะเข้าเฝ้าตนก็จะช่วยส่งไปให้ นายด่านพาซื่อบอกว่าราหูปรานีตนเหมือนพี่น้อง ตนของตรึกตรองดูก่อนสักเวลา แล้วไปถ้าดาบสส่งความให้ฟัง แล้วบอกว่าตนจะไปเฝ้าเจ้าเมืองหลวง ถึงตนจะถูกฆ่าก็ตายคนเดียว
    อันลูกหลานว่านเครือในเชื้อสาย ขอถวายไว้ธุระพระฤาษี
    ช่วยรักษาอย่าให้ตายวายชีวี วันพรุ่งนี้ข้าจะลาพระคลาไคล
                พระอัคคีเห็นอาเพศสมสังเกตก็ยินดียิ่งนัก จึงจับยามก็เห็นว่าไม่เป็นไร จึงว่าจะไปเฝ้าก็ไม่ห้าม แต่ให้มีแยบคาย คิดรายคนเข้าปลอมอยู่ในเมืองสักยี่สิบคน คอยสังเกตดูเหตุผล แล้วบอกให้นายด่านรู้การกล เมื่ออับจนจะได้แก้ไขกัน
    นายด่านว่าสาธุสะพระคุณช่วย จะรอดด้วยกลเม็ดไม่เข็ดขาม
    แล้วเรียกบ่าวเหล่าสนิทมาคิดความ ให้ปลอมตามไปอยู่ทุกบูรี ฯ
                ฝ่ายพระอัคคีเขียนบาลีให้กระเทยที่เคยใช้ปลอมไปด้วย เมื่อมีทุกข์ร้อนให้เอาอักษรมาดูเพื่อแก้ไข ทหารดีที่กำกับไปนางก็สอนให้รู้ทั่วทุกตัวคน แล้วจัดแจงแปลงกายตามนายด่าน กับพวกทหารร้อยเศษ พอรุ่งสายนายด่าน ก็นำไพร่พลตรงไปค่ายนายทัพ แล้วพูดกับราหูว่า ตนเป็นคนถือมั่นกตัญญู ไม่สู้รบจะไม่เฝ้าเจ้าชีวิต
    ทูลให้ทราบบาปบุญที่คุณโทษ ท่านช่วยโปรดผ่อนปรนให้พ้นผิด
    แม้ปลดปล่อยรอดตายไม่วายคิด พระคุณติดก็จะต้องสนองคุณ ฯ
      ฝ่ายราหูผู้เฒ่าคนเจ้าเล่ห์ สมคะเนหน่วงเหนี่ยวไม่เฉียวฉุน
    จะยกไว้ไม่ฆ่าด้วยการุณ ช่วยทำคุณขังกรงบอกส่งไป
    ฯลฯ
    ยี่สิบวันบรรลุถึงเมืองหลวง ส่งกระทรวงกรมท่าเจ้าภาษี
    กราบทูลท้าวเจ้าจังหวัดปถพี เหมือนคำที่นายด่านให้การมา
    ฯลฯ
    จอมกษัตริย์ตรัสว่าข้านอกเจ้า ชาติโฉดเขลาชาวทะเลเดรัจฉาน
    ช่างเชื่อถือฤาษีพวกชีพาล มาให้การสรรเสริญจนเกินดี
    ฯลฯ
    นี่แกล้งบอกหลอกเจ้าข้าวนอกหม้อ กูไม่ขอคบฆ่าให้อาสัญ
    ตระเวณไปให้รอบขอบเขตคัน อย่าให้มันดูเยี่ยงทั้งเวียงชัย
    ให้ราหูผู้เป็นฝ่ายนายทหาร จับชาวด่านแดนมหาชลาไหล
    ที่นับถือฤาษีมีเท่าไร ฆ่าเสียให้สิ้นเสร็จสำเร็จการ ฯ
      มนตรีรับอภิวาทมาบาตรหมาย ตำแหน่งนายเพชรฆาตอันอาจหาญ
    ถือดาบแดงแซงสลอนนครบาล เอานายด่านปากน้ำมาจำจอง
    ติดคาข้อมือใส่ขื่อเล็ก สายโซ่เหล็กล่ามรั้งไว้ทั้งสอง
    พวกตรวจตรัดพัศดีเดินตีฆ้อง สอนให้ร้องโทษทัณฑ์ที่พันพัว
    ฯลฯ
      ฝ่ายมาลามาลัยไพร่ชาวด่าน เห็นเกินการแก้ไขก็ใจหาย
    ฉีกหนังสือฤาษีออกคลี่คลาย ได้แยบคายเข้าไปอยู่แทรกผู้คุม
    ฯลฯ
                แล้วบอกอุบายนายด่านเป็นการลับ นายด่านจึงแกล้งร้องไห้ผู้คนที่มาดูให้รู้ว่า เดิมให้ตนมาเฝ้าแล้วกลับมาเอาโทษ ไม่มีโจทก์แล้วจะจับตนฆ่าเสีย แล้วกล่าวท้าทายเจ้า

    • Update : 13/6/2554
    © Copyright 2011 www.watnongmuang.com All rights reserved 999arch