หน้าแรก สมาชิก รายการวัตถุมงคล ตะกร้าวัตถุมงคล วิธีชำระวัตถุมงคล วิธีบูชาวัตถุมงคล ประวัติวัด ติดต่อวัด เว็บบอร์ด
สมาชิก Log in
อีเมล์
รหัสผ่าน
สมัครสมาชิกใหม่
ลืมรหัสผ่าน
















ค้นหาวัตถุมงคล
 
 
 
หมวดวัตถุมงคล
  เครื่องราง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง หลวงพ่อสวัสดิ์
  พระเครื่อง หลวงปู่พิมพ์มาลัย
  พระเครื่อง หลวงพ่อสง่า
วัตถุมงคลของคุณ
รหัสวัตถุมงคล ราคา จำนวน
ยังไม่มีวัตถุมงคลอยู่ในตะกร้า
  • ชำระค่าวัตถุมงคล
  • แก้ไขรายการวัตถุมงคล
  • วิธีสั่งบูชาวัตถุมงคล
  •  

    เที่ยวทั่วไทย-วังบางขุนพรหม
    วังบางขุนพรหม

                   ผมเกิดที่ตรอกสารพัดช่าง ต.บางขุนพรหม อำเภอพระนคร แต่ใช้ชีวิตอยู่ในถิ่นกำเนิดไม่นาน เพราะบิดาเป็นนายทหารอากาศ ท่านย้ายเร่ร่อนไปเรื่อย แล้วแต่ผู้บังคับบัญชาจะให้ไป วิงเต้นกับเขาไม่เป็น จากบางบางขุนพรหมจึงไปอยู่ดอนเมือง ไปอยู่โคกกระเทียม กลับมากรุงเทพ ฯ ได้หน่อยบิดาก็ย้ายไปอยู่ลำปาง ไปสงคราม จากลำปางกลับมาดอนเมือง ส่วนผมและน้อง ๆ ก็ต้องเร่ร่อนตามบิดาไป เลยเป็นนิสัยเมื่ออกรับราชการเป็นนายทหารปืนใหญ่ สอบได้เป็นลำดับที่หนึ่งของเหล่าทหารปืนใหญ่ ก็ต้องไปประจำที่ศูนย์การทหารปืนใหญ่ โคกกระเทียม ลพบุรี ซึ่งโคกกระเทียมเมื่อ ๖๐ ปีที่แล้ว ยังมีรถถ่อคนนั่งโดยสารต้องช่วยถ่อ วิ่งมาตามรางจากสถานีรถไฟโคกกระเทียม มายังกองบิน ๔ มีรถเดินไปลพบุรี ไปเช้าเย็นกลับ สิ่งที่เพลิดเพลินเจริญใจไม่มีให้ชม ไม่ว่าหนังหรือลิเก นาน ๆ จึงบจะมีจัดให้ชมสักครั้ง ที.วี.ไม่มีใครรู้จัก เพราะ ที.วี.เพิ่งมาออกอากาศคตรั้งแรกเมื่อ พ.ศ.๒๔๙๘ นี้เอง ผมเลยติดนิสัยบิดาอยู่รับราชการบ้านนอกเสียสามสิบปีพอดิบพอดี พอย้ายเข้ากรุง ฯ กับเขาก็หวิดจะปลดเกษียณอายุราชการแล้ว แถมมาอยู่ในกรุง ฯ ในหน้าที่ที่ต้องออกตระเวนตามจังหวัดชายแดนอีก ตระเวนกันจนปลดเกษียณนั่นแหละ ผลพลอยได้ที่ได้รับคือ กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญถนนหนทางแหล่งเที่ยว แหล่งกิน เอามาเขียนให้ท่านอ่านอยู่จนทุกวันนี้ก็ดีเหมือนกันครับ คนแก่คือ  คนไม่มีงานทำอย่างผมอายุอาจจะมากแล้ว แต่ผมมีงานทำ เดินทางไปทั่วประเทศหรือทั่วโลก ผมจึงเป็นเพียงคนสูงอายุ (ไม่ยอมแก่)
                จะบอกนิดเดียวว่าผมอยู่แถววังบางขุนพรหมมาตั้งแต่เกิด ซึ่งบริเวณย่านบางขุนพรหมนั้นมีบ้านและวังที่มีชื่อเสียงอยู่สองแห่ง อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาทั้ง ๒ แห่ง หากถือสะพานพระราม ๘ ในปัจจุบันเป็นเส้นแบ่งครึ่ง ทางซ้ายเมื่อหันหน้าลงแม่น้ำคือ บ้านพลเอก เจ้าพระยารามราฆพ ส่วนทางขวาคือ วังบางขุนพรหม สง่างามทั้งสองแห่ง
                บ้านเกิดของผมอยู่ริมคลอง ตรงข้ามกับวัดสามพระยา ซึ่งเป็นพระอารามหลวง และวัดจะหันหน้าเข้าหาคลอง เพราะการไปมาสมัยสร้างวัดคงจะยังไม่มีถนน วัดในปัจจุบันจึงหันหลังพระอุโบสถให้ถนน หันหน้าเข้าคลอง แต่มาภายหลังมีบ้านท่านผู้มีอำนาจท่านอยู่ปากคลองติดแม่น้ำ ท่านดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ท่านจึงถมคลองหน้าวัดสามพระยา จึงเป็นถนนจากถนนสามเสนใน ไปจนจรดริมแม่น้ำเจ้าพระยา ตอนถมคลองสร้างถนนนั้น ครอบครัวบิดาของผม ย้ายจากบางขุนพรหมไปแล้ว และผมยังได้กลับมาอยู่อีกครั้ง โดยอาศัยบ้านคุณป้า ซึ่งเป็นญาติผู้ใหญ่ท่านได้เมตตาให้อาศัยอยู่ จนเรียนหนังสือจบจากโรงเรียนอำนวยศิลป์ และโรงเรียนไพศาลศิลป์ พอเข้าโรงเรียนเตรียมนายร้อยได้ก็ขาดจากการพักอาศัยในตรอกสารพัดช่างบางขุนพรหมตั้งแต่นั้นมา จนเป็นนายทหารแล้วก็เร่ร่อนเรื่อยไป
                วังบางขุนพรหมนั้น เป็นวังที่ประทับของ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต ซึ่งเป็นโอรสองค์ที่ ๓๓ ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสุขุมาลมารศรี
                เมื่อ พ.ศ.๒๔๓๗  พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชประสงค์ที่จะหาซื้อที่ดิน และปลูกวังพระราชทานแก่พระเจ้าลูกยาเธอ และพระเจ้าลูกเธอด้วยเงินพระคลังข้างที่ เป็นการแทนการพระราชทานวังสำเร็จรูป ดังที่เคยพระราชทานมาตั้งแต่ครั้งสมัยรัชกาลที่ ๔ ที่ดินบริเวณวังบางขุนพรหมนั้น อยู่ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา (ปัจจุบันด้านใต้ติดสะพานพระราม ๘ และอีกด้านติดถนนสามเสนใน) ที่ดินบริเวณวังมีหลายเจ้าของ เป็นป่าริมแม่น้ำ เป็นของเอกชนและของวัดคือ วัดอินทาราม และวัดสารพัดช่าง ต้องใช้เวลาสำหรับหาซื้อที่ดินกว่าจะปลูกวังได้ร่วม ๕ ปี และหลังจากสร้างวังแล้ว ก็ต้องใช้เวลาอีกหลายปี กว่าจะรวบรวมซื้อที่ดินได้ เท่าที่มีอยู่ในทุกวันนี้ รัชกาลที่ ๕ พระราชทานที่ดินผืนดังกล่าวให้เป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้าฟ้า กรมพระนครสวรรค์ เมื่อเดือนพฤษภาคม ๒๔๔๒ โดยเน้นว่าใช้ทรัพย์ส่วนพระองค์ซื้อ ไม่เกี่ยวกับเงินของทางราชการ ดังปรากฎในหนังสือพระราชทานว่า "บัดนี้ข้าพเจ้าขอทำหนังสือฉบับนี้เป็นสำคัญ ยกที่ดินซึ่งกล่าวมาแล้วนี้ และตึกเรือนโรงอันใดซึ่งเป็นของเก่าที่อยู่ในที่นี้ และที่จะได้ปลูกสร้างในที่นี้ต่อไป มากน้อยเท่าใด ให้เป็นสิทธิ์เป็นทรัพย์แก่ลูกชาย  เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ กรมขุนมไหยสุริยสงขลา ตามประสงค์ของข้าพเจ้า เพราะเงินรายได้นี้ข้าพเจ้ามิได้ใช้เงินสำหรับแผ่นดินจับจ่ายราชการ ได้ใช้เงินพระคลังข้างที่ ซึ่งรู้อยู่ด้วยกันโดยมากว่าเป็นเงินสำหรับพระองค์ของพระเจ้าแผ่นดินเอง ไม่เกี่ยวข้องด้วยเงินราชการแผ่นดิน...."
                การสร้างวังบางขุนพรหม ใช้เวลากว่าจะเรียบร้อยประมาณ ๕ - ๖ ปี เมื่อได้รับพระราชทานที่ดินเมื่อ พ.ศ.๒๔๔๒ แล้ว สมเด็จพระนางเจ้าสุขุมาลมารศรี ก็ทรงวางแผนสร้างวังทันที (เจ้าฟ้า ฯ ยังทรงศึกษาวิชาทหารอยู่ที่ประเทศเยอรมัน) การก่อสร้างโปรด ฯ ให้พระสถิตย์นิมานการ ตีราคาค่าก่อสร้างและเป็นแม่กองดำเนินการ ประมาณการงบประมาณอย่างคร่าว ๆ ว่าประมาณ ๒๔๙,๕๙๒ บาท (หากให้สร้างในราคาปัจจุบัน ๑๐๐ ล้านบาท ก็สร้างไม่ได้) แยกเป็นตัวตำหนัก ค่าทำถนน ค่าทำเขื่อนริมน้ำเจ้าพระยา ค่าติตตั้งไฟฟ้า ค่ารั้วเหล็กและรั้วไม้ ค่าประตูวัง ค่าถังน้ำและเครื่องกรอง และค่าโรงครัว และก่อสร้างวังใหญ่โปรด ฯ ให้สร้างตำหนักเล็กขึ้นในบริเวณวังอีก ๑ หลัง และโปรด ฯ ให้สร้างให้เสร็จก่อนตำหนักใหญ่ เพื่อให้เป็นที่ประทับได้ทันทีที่เสด็จกลับจากการศึกษาจากต่างประเทศ และต้องทรงใช้เป็นตำหนักหอในปี พ.ศ.๒๔๔๖
                ตำหนักหอนี้ พระสถิตย์ ฯ เขียนแปลนคล้าย ๆ กับพระที่นั่งวิมานเมฆในพระราชวังดุสิต เป็นเรือน ๒ ชั้น ชั้นล่างก่ออิฐถือปูนเป็นผนัง ชั้นบนเป็นไม้สัก ชั้น ๓ ใช้เป็นห้องประทับ หลังคามุงกระเบื้องสามเสน เมื่อมีการสร้างตำหนักหอ และโปรด ฯ ให้สร้างห้องเครื่อง (ห้องครัว) เพิ่มขึ้นอีกจึงเพิ่มวงเงินในการก่อสร้างขึ้นอีก ๕๐,๐๐๐ บาท
                จุดเด่นของวังบางขุนพรหม คือตำหนักใหญ่ซึ่งหันหน้าออกสองด้าน ด้านหนึ่งหันออกสู่ถนนสามเสน อีกด้านหนึ่งหันสู่แม่น้ำเจ้าพระยา ตัวตำหนักใกล้แม่น้ำมากกว่าใกล้ถนน ผู้ออกแบบเป็นชาวเยอรมัน ชื่อ นายคาร์ล ดอริง นายช่างประจำกรมรถไฟ นายดอริงผู้นี้ออกแบบวังไว้อีกหลายแห่ง เช่น วังวรดิศที่ถนนหลานหลวง และพระราชวังบ้านปืนที่เพชรบุรี
                ผู้บรรยายได้เน้นให้เห็นว่าทุกย่างก้าวในตำหนักแห่งนี้เหมือนเข้าไปเดินอยู่ในวังในยุโรป มากกว่าวังในประเทศไทย เพราะสถาปัตยกรรมตั้งแต่ประตูวัง เข้ามาจนถึงตัวตึกใหญ่ และการตกแต่งภายในเป็นแบบยุโรปทั้งสิ้น มีลักษณะผสมผสานกันระหว่างศิลปะแบบ RENAISSANCE และศิลปะแบบ ROCOCO
                ตัวตำหนักบางขุนพรหมเป็นตึก ๒ ชั้น ที่ปลายปีกอีกด้านหนึ่งเป็นหอกลม ๓ ชั้น ความงามของตึกจะอยู่ที่ลักษณะเสาชนิดต่าง ๆ ทั้งเสากลม เสาเหลี่ยม เสาแบน เสาบิดเป็นเกลียว ตามหัวเสายังประดับด้วยลวดลายปูนปั้น สิ่งที่ยกย่องว่างามที่สุดกว่าบรรดาวังในเมืองไทยคือ หน้าต่างซึ่งมีหลายแบบ มีหน้าต่างรูปไข่ ล้อมด้วยลายปูนปั้นรูปดอกคัทลียา และหน้าต่างรูปครึ่งวงกลมมีรูปเครือไม้และผลไม้เกาะอยู่ตามที่ต่าง ๆ และที่นับว่าแปลกคือ หน้าต่างชนิดที่ว่ามานี้ใช้กับผนังโค้ง และทำให้หน้าต่างต้องโค้งไปด้วย ตัวเพดานก็เป็นลายแกะสลักรูปเครือเถาต่าง ๆ สีทองตัดกับสีขาว ทำให้ดูเด่นออกมา โดยเฉพาะห้องบรรทม จะมีลวดลายไม้จำหลักประดับเพดาน และฝาเป็นรูปช่อดอกไม้ ความงดงามที่เด่นอีกจุดหนึ่งคือ บันไดหินอ่อนตรงห้องโถงชั้นล่างที่จะขึ้นไปยังชั้นสอง ราวบันไดเป็นเหล็กหล่อลวดลายงดงามยิ่งนัก ที่เชิงบันไดมีตุ๊กตาหญิงสาวถือโคมไฟอยู่ทั้งอสงข้างบันได แยกขึ้นได้เป็น ๒ ทาง
                ประตูทางเข้าวังเป็นอีกจุดหนึ่งซึ่งใช้ปูนแต่งมีลวดลายอ่อนช้อยและสลักซับซ้อนเป็นพิเศษ เป็นประตูวังที่ยกย่องกันว่าสวยที่สุด เท่าที่เหลืออยู่ในประเทศไทยเลยทีเดียว ในลักษณะของสถาปัตยกรรม และประตูใหญ่นี้ หันเฉียงออกมุมถนนพอดี เป็นการเล่นมุมถนน เสียดายที่สมัยผมเป็นเด็กเดินผ่านประตูนี้ทุกวัน เพื่อไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนระพีพัฒน์ที่เทเวศร์ ยังชมความงามของศิลปะไม่เป็น หากชมเป็นได้ยืนชมกันได้อย่างสบาย ตอนนี้เป็นผู้สูงอายุชม เป็นแต่ขืนไปยืนชมอย่างหลงไหลในสถาปัตยกรรมสมัย RENAISSANCE ก็คงโดนรถชนตายอยู่หน้าประตูวังนั่นเอง
                เครื่องประดับและเครื่องใช้ภายในวัง สมเด็จเจ้าฟ้า ฯ ทรงบรรจงคัดเลือกหามาจากยุโรป ส่วนพระนางเจ้า ฯ ก็ทรงเตรียมการสร้างของใช้สำหรับวังพระราชโอรส เช่น จานกระเบื้องเคลือบ จะมีตราประจำพระองค์สมเด็จเจ้าฟ้า ฯ ประทับไว้ทุกใบ
                บริเวณวังบางขุนพรหม มีบริเวณกว้างใหญ่กว่า ๓๓ ไร่ จากประตูใหญ่ทางเข้าจนถึงตัวตำหนักนั้น ทางซ้ายมือเคยเป็นบริเวณวัดสารพัดช่าง (วัดนี้ยุบแล้ว น่าจะไปรวมกับวัดอินทาราม เพราะอยู่ใกล้กัน คงเหลือแต่ชื่อมาตั้งเป็นชื่อตรอกที่ผมเกิด คือ ตรอกสารพัดช่าง) เขตวัดเก่านี้มีแท่นลำใย มีเรือนไม้ เรือนกล้วยไม้ ซึ่งนำสมัยที่สุดเพราะสมัยนั้นแทบจะไม่รู้จักกล้วยไม้หรือเล่นกล้วยไม้ ทางด้านขวาของถนนจากประตูมีสนามหญ้า มีต้นมะฮอกกานีขอบสนาม มีสวนผลไม้เรียกว่าสวนตาลาว ไม่มีใครทราบเหตุผลว่าทำไมเรียกว่าสวนตาลาว เพราะทำสวนร่วมสิบคนสมัยสมเด็จเจ้าฟ้านั้นล้วนแต่เป็นคนจีน ซึ่งจะปลูก ฝรั่ง แมงเม่า มะยม มะม่วง กระท้อน ฯ ด้านหลังสวนคือเรือน "จางวางวงศ์" และเรือนคนงาน ลึกเข้าไปเลยสระน้ำเป็นที่อยู่ของทหารเฝ้าวัง ต่อไปจึงเป็นห้องเครื่องและตำหนักหอ
                ด้านริมแม่น้ำนั้นมีเป็นอู่เรือใช้เก็บเรือพระที่นั่ง ซึ่งโปรดมากเพราะเป็นทหารเรือ เป็นจอมพลเรือ เป็นเรือที่ใช้ประพาสลำน้ำ
                มีศาลาวงกลม สร้างแบบยุโรปเรียกกันว่า "กระโจมแตร" ใช้เป็นที่ตั้งวงดนตรี "แตรวง" ของทหารเรือ ทหารบก เมื่อมีการเลี้ยงต้อนรับแขก จึงให้ชื่อว่า "ศาลาแตร" และใกล้กันยังมีสนามกอล์ฟเล็กและสนามเทนนิส
              ตำหนักน้ำ เป็นตำหนักไม้ อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เดิมเป็นเรือนชั้นเดียว ต่อมาได้โปรดให้สร้างขึ้นอีกชั้นหนึ่ง ใช้เป็นที่ทรงพระอักษร ห้องบรรทม และเป็นที่เสด็จลงเรือเมื่อครั้งยังทรงดำรงตำแหน่งอยู่กระทรวงทหารเรือ
                ในวังบางขุนพรหมสมัยที่เจ้าฟ้าประทับอยู่นั้นมีชื่อเสียงในเรื่องต่าง ๆ หลายเรื่องด้วยกันเช่น เป็นสถานที่เลี้ยงรับรอง เพราะมีกุ๊ก และมีอาหารที่ลือชื่อทั้งอาหารไทย และอาหารยุโรป และเป็นที่เจ้านายในราชวงศ์จักรีทรงใช้เป็นสถานที่ที่มาพบปะสังสรรค์กันตลอดมา การเลี้ยงดินเนอร์รับรองแขกต่างประเทศครั้งสำคัญ (ขณะที่ดำรงตำแหน่งเสนาธิการทหารบก) เช่นเลี้ยง ดยุคโยฮันอัลเบรชต์ ผู้สำเร็จราชการบรันสวิก เมื่อ ๒๘ มกราคม ๒๔๕๒ เลี้ยงรับรองปรินซ์เอกเซล แห่งกรุงเดนมาร์กกับชายา และเลี้ยงแม่ทัพฝ่ายสัมพันธมิตรสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๑ ที่เข้ามาเยี่ยมเสนาธิการทหารบก อาหารวังบางขุนพรหมนั้นเลื่องลือมาก โดยมีหม่อมเจ้าหญิงจงจิตรถนอม ผู้มีฝีมือลือเลื่องในการปรุงอาหารทรงรับควบคุมคนเครื่องและการทำอาหารเลี้ยงด้วยพระองค์เอง อาหารที่ลือเลื่องเช่น " ขนมจีนวังบางขุนพรหม" หรืออาหารฝรั่งนั้น สมเด็จเจ้าฟ้าทรงแปลตำรับอาหารเอง ให้กุ๊กและพ่อครัวของทางราชการ กรมพัสดุทหารเรือไปศึกษาและช่วยกันหัดทำอาหารฝรั่ง อาจจะเป็นต้นกำเนิดที่ทหารเรือทำอาหารเก่ง จัดเลี้ยงเก่งมาจนทุกวันนี้
              ดนตรีวังบางขุนพรหม  สมเด็จเจ้าฟ้า ฯ ทรงสนพระทัย และโปรดดนตรีมาก ทรงเล่นเครื่องดนตรีไทยได้แทบทุกสิ่ง เล่นเปียโนได้ เจ้านายในสมัยนั้นที่ทรงกรม มักจะตั้งวงดนตรีขึ้น (หากใครชมภาพยนตร์เรื่องโหมโรง คงได้เห็นวงดนตรีในวัง) วงดนตรีประจำวังจึงมีหลายวงและแข่งขันกัน วงดนตรีของวังดัง ๆ เช่น วังท่าพระ วังบูรพา วังบางขุนพรหม วังแดงหรือวังลดาวัลย์ เป็นต้น นอกจากสมเด็จเจ้าฟ้าจะทรงเล่นดนตรีไทยเก่งแล้ว ยังได้นิพนธ์เพลงไว้อีกมากทั้งเพลงไทย เพลงฝรั่ง เพลงที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือ "เพลง... แขกมอญบางขุนพรหม"
                เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตย วังบางขุนพรหมได้เป็นสถานที่สำคัญของทางราชการคือ
                ที่ตั้งของกรมยุวชนทหาร ซึ่งเคยมีกรมนี้เพียงกรมเดียว เมื่อยุบแล้วก็ไม่ได้ตั้งขึ้นมาอีก
                สภาวัฒนธรรมแห่งชาติ
                พ.ศ.๒๔๘๘ กรมธนารักษ์ได้ให้ธนาคารแห่งประเทศไทย เช่าวังบางขุนพรหมเป็นที่ทำการของธนาคาร มีสัญญาเช่า ๘ ปี นับจากวันที่ ๑ มีนาคม ๒๔๘๘ ไปจนถึง ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๖ โดยจ่ายค่าเช่า ๔ ปีแรก ปีละ ๑๒,๐๐ บาท ๔ ปีหลังปีละ ๑๔,๔๐๐ บาท ทั้งนี้ผู้เช่าต้องจ่ายค่าประกันไฟ ๒๐๐,๐๐๐ บาท และกรมคลังเป็นผู้รับผลประโยชน์
                เมื่อสิ้นสุดสัญญาเช่าในปี พ.ศ.๒๔๙๖ แล้ว ทางธนาคารแห่งประเทศไทยก็เช่าต่อจากกรมธนารักษ์จนถึง พ.ศ.๒๕๐๒ จึงพิจารณาเห็นว่าสมควรเป็นของธนาคารเองจะได้ทัดเทียมกับต่างประเทศ จึงขอแลกเปลี่ยนกับบ้านมนังคศิลาโดยเสนอต่อรัฐบาล และส่วนเงินที่แตกต่างกันนั้นทางธนาคารยินดีชำระด้วยเงินสด
                กระทรวงการคลังจึงแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาการแลกเปลี่ยนในครั้งนี้มี ๒ ท่านด้วยกัน คณะกรรมการดังกล่าวได้ประเมินราคาที่ดินของวังบางขุนพรหมรวม ๓๓ ไร่เศษ เป็นเงิน ๒๔.๕๙๔ ล้านบาทเศษ ราคาอาคารในบริเวณวัง ๑๔.๕๙๑ ล้านบาทเศษ รวมราคาวังบางขุนพรหมและที่ดิน ๓๙.๑๘๕ ล้านบาทเศษ โดยไม่รวมอาคารของบริษัทไทยโทรทัศน์ (ที.วี.ออกอากาศครั้งแรกที่นี่เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๘) และอาคารของกระทรวงกลาโหม
                ส่วนอาคารและที่ดินบ้านมนังคศิลา ตีราคา ๒๒.๓๔๒ ล้านบาทเศษ ราคาจึงแตกต่างกันอยู่ ๑๖.๘๔๓ ล้านบาทเศษ และผลสุดท้ายของการต่อรองเพิ่มราคาบ้านมนังคศิลา ลดราคาวังบางขุนพรหม เป็นผลให้ธนาคารแห่งประเทศไทยจ่ายเงินเพิ่มเพียง ๖.๔๑ ล้านบาทเศษ ให้แก่กระทรวงการคลัง และ บ.ไทยโทรทัศน์ ได้เปลี่ยนมาเช่าพื้นที่กับธนาคารจนถึง พ.ศ.๒๕๑๘ จึงได้ย้ายออกไป
                ผมไม่สามารถบรรยายความงดงามของวังบางขุนพรหมได้ละเอียด บอกได้ว่าสวย พูดเป็นอยู่แค่นั้น จึงขอแนะนำว่าหากท่านประสงค์จะไปชมให้ติดต่อดังนี้
                เปิดให้ชม วันเสาร์ (ยกเว้นวันนักขัตฤกษ์) เปิดสำหรับประชาชนทั่วไป
                วันจันทร์-ศุกร์ สำหรับผู้เข้าชมเป็นหมู่คณะ ต้องติดต่อล่วงหน้า เพื่อเข้าชมพิพิธภัณฑ์
                ธนาคารแห่งประเทศไทย โทร ๐ ๒๒๘๓ ๕๒๘๖, ๒๘๓ ๕๒๖๕, ๒๘๓ ๖๗๒๓ และ WWW. bot. or. th
                ที่นี้ไปชิมอาหาร หากใกล้ธนาคารฝั่งตรงข้ามก็มี ข้าวเหนียวรสค่อนข้างหวาน ตึกแถวตรงข้ามรั้วของธนาคาร กับข้าวซอยร้านฝั่งเดียวกับธนาคารมาทางวังเทเวศน์ และร้านเป็ดย่าง ร้านเป็ดย่างร้านนี้เมื่อก่อนอยู่ตรงหลีกรถรางเทเวศน์ แต่ไม่ได้ไปชิมนานแล้วไม่รับรองว่ายังอยู่ดีหรือไม่
                ร้านกุนเชียงราชาหมูแผ่น ร้านนี้ขายกุนเชียงอร่อยนัก ร้านเก่าแก่แถมเจ้าของร้านทั้งผัว ทั้งเมีย ขายกุนเชียงไป เรียนหนังสือไป จนฝ่ายชายจบปริญญาโทแล้ว แต่กุนเชียงยังอร่อยเหมือนเดิม มีกุนเชียงหมูแผ่น หมูหยอง หมูหวาน ซีอิ๊วชั้นเยี่ยมคือ แป๊ะ อิ้ว อ้วง,หยั่ย หว่อหยุ่น อย่าให้ขาดครัว นึกอะไรไม่ออกเอามาผัดข้าว ทอดไข่ดาวโป๊ะหน้าก็อร่อยแล้ว เส้นทาง หากมาจากบางกระบือ พอถึงสี่แยกศรีย่าน ให้เลี้ยวซ้ายเข้าถนนนครชัยศรีเข้ามาสัก ๓๐ เมตร มีซอยเพื่อจะเข้าไปยังโรงหนังโบราณ "จันทิมา"  ร้านกุนเชียงอยู่ปากซอยโรงหนัง เข้าไปจอดรถหน้าโรงหนังได้ หน้าร้านมีกล้วยแขกรถเข็นทอดขายอร่อย และเลยไปนิดหนึ่งลูกชิ้นศรีย่านเก่าแก่ ลูกชิ้นเนื้อ
                อาหารไทย - เวียดนาม
                รีบสั่งอาหารที่เป็นพระเอกของร้านเสียก่อน คือ ปลาทอดตะไคร้ ทำเก่ง อร่อยมาก เอาปลาตาเดียวมาทำ แล่เอาเนื้อ ๆ แล่ออกเป็นชิ้น เอาเนื้อปลาไปทอด กรอบนอก นุ่มใน ส่วนตัวปลาที่แล่เอาเนื้อไปทอดแล้วนั้น เขาจะเอาไปทอดในกะทะน้ำมันมาก คงจะต้องใช้ไฟแรงด้วย ตัวปลาที่มีเนื้อติดบ้างจะงอเป็นลำเรือเลยทีเดียว ทอดเสร็จแล้วตัวปลางอเหมือนจาน เอาชิ้นปลาที่ทอดแล้วใส่ในกระทง ตัวปลาที่เหมือนเรือโรยด้วยตะไคร้หอมฟุ้ง มีน้ำจิ้มรสจัด เป็นน้ำจิ้ม ๓ รส อย่าโดดข้ามไป ต้องสั่ง
                เต้าหู้หม้อดิน  แทนสั่งแกงจืดมาซด สั่งเต้าหู้ทรงเครื่องมาซดแทน ร้อนอร่อย
                เวียตนาม อร่อยทุกรายการ เช่น แหนมเนือง ข้าเกรียบปากหม้อ ปอเปี๊ยะสด แหนมซี่โครงหมูทอด และอีกหลายอย่าง อีกรายการน่าสั่งคือ ผัดไทยกุ้งสด มีต้นหอม ถั่วงอกขาวออบเคียงจาน รสชาติแจ่มแจ๋ว อย่าเติมก่อนชิมเป็นอันขาด ไปร้านทีไรมัวอร่อยอยู่กับปลาทอดตะไคร้ กับผัดไทย และแหนมเนือง
                ของหวาน ต้องไม่ลืมอีกเช่นกันคือ กาแฟเย็น, ชาเย็น ชงเด็ดนัก หรือบัวลอยน้ำขิง ก็ซดชื่นใจดี

    ........................................................................


    • Update : 10/6/2554
    © Copyright 2011 www.watnongmuang.com All rights reserved 999arch