หน้าแรก สมาชิก รายการวัตถุมงคล ตะกร้าวัตถุมงคล วิธีชำระวัตถุมงคล วิธีบูชาวัตถุมงคล ประวัติวัด ติดต่อวัด เว็บบอร์ด
สมาชิก Log in
อีเมล์
รหัสผ่าน
สมัครสมาชิกใหม่
ลืมรหัสผ่าน
















ค้นหาวัตถุมงคล
 
 
 
หมวดวัตถุมงคล
  เครื่องราง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง หลวงพ่อสวัสดิ์
  พระเครื่อง หลวงปู่พิมพ์มาลัย
  พระเครื่อง หลวงพ่อสง่า
วัตถุมงคลของคุณ
รหัสวัตถุมงคล ราคา จำนวน
ยังไม่มีวัตถุมงคลอยู่ในตะกร้า
  • ชำระค่าวัตถุมงคล
  • แก้ไขรายการวัตถุมงคล
  • วิธีสั่งบูชาวัตถุมงคล
  •  

    ทำงานด้วยศรัทธา

    มนุษย์ทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้ ย่อมมีความเป็นอยู่ควบคู่ไปกับการทำงาน เนื่องจากธรรมชาติสร้างมาให้เป็นเช่นนั้น ทุกคนต้องทำงาน ไม่เห็นมีใครสามารถที่จะดำรงชีพอยู่ได้โดยไม่ต้องทำอะไรเลย อาจจะมีคนบางคนพอเกิดมา ก็ได้รับมรดกตกทอดจากพ่อแม่ มีทรัพย์สมบัติมากมาย แต่อย่างน้อยก็ต้องทำงานไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง

    การทำงาน จัดว่าเป็นเครื่องมืออันสำคัญในการก้าวไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองของชีวิตและทำให้ชีวิตมีคุณค่า สามารถชักนำให้มนุษย์รู้จักสภาพอันแท้จริงของสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ในโลกสามารถทำให้มนุษย์ดำเนินไปสู่ความโชคดีและร้าย และการทำงานเท่านั้นที่สามารถพัฒนาโลกให้เจริญก้าวหน้าไปได้ไกล หากมนุษย์ไม่ทำงานป่านนี้โลกก็คงรก ร้างว่างเปล่า ถ้าจะมองดูสภาพความเป็นไปของบ้านเมืองโดยรอบด้านแล้ว ก็เป็นอันสรุปได้ว่า มนุษย์มีความเป็นอยู่คู่กับการทำงาน

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเน้นหลักธรรมอันสำคัญ ในอันที่จะก่อให้เกิดความเชื่อมั่นในการทำงาน มีการตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ไม่ต้องมัวหวาดหวั่นระแวงสงสัย และให้เกิดความกล้าหาญในการกระทำได้ทันท่วงที จึงยกเอาความมีศรัทธา ว่าเป็นหลักอันสำคัญ

    ศรัทธา แปลว่า ความเชื่อ เป็นสิ่งสำคัญยิ่งของทุกๆ คน ถ้าไม่มีความเชื่ออยู่ในใจแล้ว ความตั้งใจที่จะทำก็ไม่มี หรือถึงจะมีก็ไม่หนักแน่นมั่นคง เพราะไม่เชื่อว่าสิ่งที่ทำนั้นจะมีผลประโยชน์แก่ตนและคนอื่นอย่าง ไร เมื่อขาดความตั้งใจเสียแล้ว เวลาจะทำอะไรก็ไม่สามารถให้สำเร็จลุล่วงไปได้ พอพบอุปสรรค ก็เกิดความท้อถอยและเบื่อ หน่าย พลอยทำให้เกิดความเกียจคร้านไม่คิดที่จะทำต่อไป แต่ถ้ามีความเชื่ออยู่ในใจแล้ว ก็จะทำให้เกิดความองอาจหาญกล้า ตั้งหน้าทำงานไปจนงานนั้นสำเร็จผล

    แต่ความเชื่อนั้น ต้องเชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ คือต้องเชื่ออย่างมีเหตุมีผล จะเชื่อตามๆ กันนั้นไม่สมควร เพราะอาจนำความเดือดร้อนเสียหายมาสู่ตนและคนอื่นได้

    หลักที่ควรเชื่อนั้นมี 4 อย่าง คือ 1. เชื่อการกระทำ 2. เชื่อผลของการกระทำ 3. เชื่อว่าทุกคนมีการกระทำเป็นของตนเองเสมอ ใครทำดีต้องได้รับผลดี ใครทำชั่วต้องได้รับผลชั่ว 4. เชื่อในความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า คือเชื่อความรู้ของพระพุทธเจ้าเท่านั้น เพราะพระองค์ทรงทราบในสิ่งเหล่านี้ได้อย่างดีแล้ว จึงนำมาชี้แจงแสดงให้รู้ ให้เห็นตามความเป็นจริง

    ตามความเป็นจริงแล้ว ทุกสิ่งในโลกนี้ล้วนแล้วแต่มีเหตุมีผล มีต้นมีปลาย ต้น เรียกว่าเหตุ ปลาย เรียกว่าผล เหตุได้แก่ สิ่งที่ทำขึ้นก่อนหรือเกิดขึ้นก่อน ปลายได้แก่สิ่งที่ตามมาทีหลัง เมื่อมีเหตุแล้วผลก็มี มีเหตุดี ผลก็ดี มีเหตุชั่ว ผลก็ชั่ว เหตุกับผลหรือผลกับเหตุต้องตรงกันเสมอ เช่นเดียวกับการปลูกต้นไม้ เมื่อปลูกต้นไม้ชนิดใดลงไป ผลก็ต้องเป็นของต้นไม้นั้นแน่นอน จะกลับกลายเป็นผลของต้นไม้อื่นหรือเป็นสิ่งอื่นไปไม่ได้ เหตุนั้นท่านจึงสอนให้มีความสำคัญในเหตุผล และให้เชื่อแต่ในสิ่งที่มีเหตุมีผล ไม่ให้เชื่อตามๆ กันไปในสิ่งที่ไร้เหตุไร้ผล ความเชื่อแต่ในสิ่งที่มีเหตุผล เรียกว่าเชื่อสิ่งที่ควรเชื่อ

    เหตุดังนั้น ถ้าทุกคนในสังคมมีความตั้งใจทำงาน ทำงานตามหน้าที่ของตนด้วยศรัทธา ประกอบกับมีศีลคือการรักษากายวาจาให้เรียบร้อย เป็นผู้มีกิริยามารยาทอันงดงาม สังคมนั้นย่อมจะเจริญรุ่งเรือง มีแต่ความร่มเย็นเป็นสุขกันถ้วนหน้า

    พระเทพคุณาภรณ์ (โสภณ โสภณจิตฺโต ป.ธ.9)
    เจ้าอาวาสวัดเทวราชกุญชรวรวิหาร


    • Update : 8/6/2554
    © Copyright 2011 www.watnongmuang.com All rights reserved 999arch