ผลที่ประเทศไทยได้รับจากสงครามเกาหลี
ประเทศไทยได้แสดงให้เป็นที่ประจักษ์แก่ชาวโลกว่า ในฐานะที่เป็นประเทศสมาชิกสหประชาชาติ ไทยได้ปฏิบัติตามความมุ่งหมายของสหประชาชาติ ในการธำรงไว้ซึ่งสันติภาพ และความมั่นคงระหว่างประเทศ และเพื่อปราบปรามการรุกรานหรือการล่วงละเมิดต่อสันติภาพ
ในสงครามครั้งนี้ ทหารไทยทั้งสามเหล่าทัพได้ปฏิบัติหน้าที่ในยุทธภูมิภายใต้ธงสหประชาชาติ ร่วมกับประเทศสมาชิกสหประชาชาติ อย่างสมเกียรติศักดิ์นักรบไทย เป็นที่เลื่องลือในบรรดาพันธมิตรที่ร่วมรบ รัฐบาลสหรัฐฯ และรัฐบาลสาธารณรัฐเกาหลีได้ส่งสาส์น แสดงความยกย่องและสดุดีวีรกรรมต่าง ๆ ในหลายวาระหลายโอกาสด้วยกัน ทหารไทยได้รับความรู้ บทเรียน และประสบการณ์ในการรบในสภาวะการณ์ต่าง ๆ ทั้งในแบบ และนอกแบบ
เจ้าหน้าที่หน่วยบรรเทาทุกข์สภากาชาดไทย หน่วยพยาบาลของทั้งสามเหล่าทัพ ได้รับความรู้ และประสบการณ์เพิ่มเติมอย่างกว้างขวาง และได้นำความรู้และประสบการณ์เหล่านั้น มาปฏิบัติงานให้เกิดคุณประโยชน์ ต่อสาธารณชนของไทย
คณะกรรมการสงบศึกฝ่ายทหารของไทยได้ปฏิบัติงานเป็นผลสำเร็จ ตามที่ได้รับมอบหมาย ทำให้เป็นที่ประจักษ์ในขีดความสามารถของนายทหารไทย
บรรดาผู้ที่ไปราชการสงครามในเกาหลี ได้นำเอาคุณลักษณะที่ดีของความเป็นคนไทย ไม่ว่าจะเป็นลักษณะอุปนิสัยขนบธรรมเนียมประเพณี ศิลปวัฒนธรรมไปเผยแพร่แก่ชาวต่างประเทศ นับว่าเป็นการเผยแพร่ชื่อเสียงเกียรติคุณของประเทศไทยได้เป็นอย่างดี
ในประการสุดท้าย การไปราชการสงครามในครั้งนี้ของไทย เป็นผลให้คณะมนตรี สนธิสัญญา ซีอาโต (SEATO) มาประชุมกันเป็นครั้งแรก ที่กรุงเทพ ฯ และประเทศไทยได้รับเกียรติและความไว้วางใจ คณะมนตรีความมั่นคงฯ ได้ลงมติให้ตั้งสำนักงานเลขาธิการประจำ ณ กรุงเทพ ฯ เป็นการถาวร
คำสดุดี แด่ทหารผู้เสียชีวิตในกรณีสงครามเกาหลี
จำเดิมแต่ประเทศไทยได้เข้าเป็นสมาชิกแห่งองค์การสหประชาชาติมาแต่เบื้องต้น ซึ่งภายในกรอบแห่งกฎบัตรขององค์การนี้ ประเทศไทยมีพันธกรณีที่จะทะนุบำรุง และส่งเสริมสันติสุข ตลอดจนความมั่นคงระหว่างประเทศร่วมกัน โดยดำเนินตามจุดประสงค์และหลักการ เพื่อให้มีประสิทธิภาพในอันที่จะผดุงไว้ซึ่งอิสระเสรี พร้อมด้วยความสงบสุขของโลกเป็นประการสำคัญ ฉะนั้น เมื่อสงคราม ณ ประเทศเกาหลีได้อุบัติขึ้นโดยฝ่ายสหประชาชาติ จึงได้จัดส่งกำลังทหาร ไปร่วมทำการรบขับไล่ผู้รุกราน ณ สมรภูมิดังกล่าวตามคำเรียกร้องขององค์การสหประชาชาติ กำลังผลัดแรกได้เริ่มเดินทางออกจากประเทศไทย เมื่อวันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๔๙๓ และได้ส่งกำลังไปผลัดเปลี่ยนตามกำหนดเวลาเรื่อยมา ผลัดสุดท้ายส่งไปเมื่อวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๔๙๗ รวมกำลังที่ส่งไป ๖ ผลัด มีจำนวนนายทหาร นายสิบ และพลทหารทั้ง ๓ กองทัพ เป็นจำนวน ๑๐,๓๑๕ คน ในการรบแต่ละครั้งคราวนั้น ปรากฎว่าทหารไทยได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเด็ดเดี่ยว เข้มแข็ง ทรหดอดทน ได้ผลดีเด่น จนเป็นที่ระบือลือเลื่องในความกล้าหาญโดยทั่วไป และโดยเกียรติคุณอันนี้ได้ทำให้ทหารไทยและกองทัพไทยได้รับความยกย่อง สรรเสริญจากนานาชาติดังที่ได้ทราบกันอยู่แล้ว ซึ่งนับว่าได้ประกอบกรณียกิจอันเป็นคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติอย่างใหญ่หลวง และก็ตามปกติวิสัยสำหรับการสู้รบ ซึ่งต้องใช้กำลังและอาวุธเข้าประหัตประหารกัน ก็ย่อมจะต้องมีผู้ประสบเคราะห์กรรมถึงบาดเจ็บ และล้มตายลงบ้าง ดังนั้นทหารไทยผู้กล้าหาญของเราจึงต้องมีผู้เสียชีวิตในการนี้ นับแต่เริ่มเข้าทำการรบ จนถึงวาระสุดท้ายที่มีการสงบศึก ได้มีผู้เสียชีวิตรวมทั้งสิ้น ๑๒๗ นาย นอกจากนี้ยังมีทหาร ตำรวจและพลเรือน ที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยความเสียสละและกล้าหาญ เพื่อรักษาความสงบสุขของประเทศชาติ เมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๒ และวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๔๙๔ กับในระหว่างสงครามมหาเอเซียบูรพา จนต้องประสบอันตรายถึงชีวิตอีก ๓๓ นาย
พฤติการณ์ที่ท่านทั้งหลายได้กระทำไปนั้นได้แสดงให้เห็นว่า เป็นผู้มีความเสียสละอย่างสูง มุ่งปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยความองอาจกล้าหาญ เพื่อปรารถนาให้ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ รัฐธรรมนูญ และสันติสุขของประชาชนทั้งชาติได้ดำรงคงสืบไป แม้ตนจะต้องเสียชีวิตก็มิได้ย่นย่อท้อถอย ซึ่งการกระทำนี้ ย่อมจะจารึกอยู่ในประวัติศาสตร์ของชาติไทย และจะตรึงตราอยู่ในความทรงจำของประชาชนชาวไทยทั้งชาติ อย่างไม่รู้ลืม นับเป็นวีรกรรมอันสูงส่งควรแก่การยกย่องสรรเสริญ และเป็นเยี่ยงอย่างที่ดีสำหรับพี่น้องทหารและประชาชนชาวไทย ตลอดจนอนุชนคนรุ่นหลังจะพึงยึดถือเป็นทางปฏิบัติต่อไป