หน้าแรก สมาชิก รายการวัตถุมงคล ตะกร้าวัตถุมงคล วิธีชำระวัตถุมงคล วิธีบูชาวัตถุมงคล ประวัติวัด ติดต่อวัด เว็บบอร์ด
สมาชิก Log in
อีเมล์
รหัสผ่าน
สมัครสมาชิกใหม่
ลืมรหัสผ่าน
















ค้นหาวัตถุมงคล
 
 
 
หมวดวัตถุมงคล
  เครื่องราง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง หลวงพ่อสวัสดิ์
  พระเครื่อง หลวงปู่พิมพ์มาลัย
  พระเครื่อง หลวงพ่อสง่า
วัตถุมงคลของคุณ
รหัสวัตถุมงคล ราคา จำนวน
ยังไม่มีวัตถุมงคลอยู่ในตะกร้า
  • ชำระค่าวัตถุมงคล
  • แก้ไขรายการวัตถุมงคล
  • วิธีสั่งบูชาวัตถุมงคล
  •  

    ทหารไทยในสงครามเกาหลี /2
    การเตรียมการส่งกำลังทหารไปร่วมรบ

               รัฐบาลไทยตกลงใจที่จะส่งกำลังทหาร ๑ กรมผสม มีกำลังพลประมาณ ๔,๐๐๐ คน ไปร่วมรบกับสหประชาชาติในเกาหลี ตามความเห็นชอบของรัฐสภา เมื่อ ๒๒ กรกฎาคม ๒๔๙๓ โดยได้มอบหมายให้กระทรวงกลาโหมดำเนินการ เสนาธิการกลาโหมได้ออกคำสั่งแต่งตั้งให้ พันเอก บริบูรณ์  จุลละจาริตต์ หัวหน้าแผนกที่ ๓ กรมจเรทหารราบ เป็นผู้บังคับหน่วยทหารที่จะไปปฏิบัติราชการ ณ ประเทศเกาหลี ได้มอบนโยบายในการจัดกำลังของหน่วยเป็นรูปกรมผสม มีส่วนอำนวยการและส่วนกำลังรบ ประกอบด้วยกำลังทหารราบ ๓ กองพัน ทหารปืนใหญ่ ๑ กองพัน พร้อมทั้ง ๑ กองสื่อสาร ๑ กองช่าง และ ๑ กองลาดตระเวณ สำหรับกองพันทหารราบ ให้กองทัพเรือและกองทัพอากาศให้เตรียมกำลังเหล่าทัพละ ๑ กองพัน เพื่อสนธิกำลังกับกองทัพบก ต่อมาได้มีคำสั่งให้กรมผสมนี้ไปขึ้นกองทัพบก
                การจัดกรมผสม ยึดถือการจัดหน่วย Regimental Combat Team ของกองทัพบกสหรัฐฯ เป็นหลัก อาวุธใช้ของกองทัพสหรัฐฯ กองบังคับการกรมผสมเปิดทำงาน เมื่อ ๒๒ สิงหาคม ๒๔๙๓ ที่ห้องสมุดกระทรวงกลาโหม (ห้องสุรศักดิ์มนตรี) ต่อมาได้ย้ายไปที่ห้องฉายภาพยนตร์ของโรงเรียนเสนาธิการทหารบก ซึ่งอยู่ที่ระเบียงชั้น ๓ ด้านตะวันออกเฉียงเหนือของศาลาว่าการกระทรวงกลาโหม ต่อมาได้ไปใช้ตึกสร้างใหม่ของกรมทางหลวงถนนพระราม ๖ แล้วย้ายไปอยู่ในบริเวณมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อ ๒๖ กันยายน ๒๔๙๓ ซึ่งเป็นเวลาที่ทางมหาวิทยาลัยปิดภาคการศึกษา จากนั้นได้ย้ายไปอยู่บริเวณกรมทหารราบที่ ๑๑ อยู่ที่สะพานแดง บางซื่อ และสุดท้ายได้ย้ายไปอยู่ที่ค่ายทหารตำบลบางเขน ซึ่งเป็นที่ตั้งของกรมทหารราบที่ ๑๑ รักษาพระองค์ในปัจจุบัน
                กระทรวงกลาโหมได้ประกาศรับสมัครทหารอาสาไปราชการช่วยสหประชาชาติ เมื่อ ๒๙ กรกฎาคม ๒๔๙๓ มีผู้มาสมัครทั้งสิ้น ๑๔,๙๙๘ คน
                เนื่องจากต้องรับส่งกำลังไปปฏิบัติการให้ทันกับสถานการณ์ กระทรวงกลาโหมจึงสั่งการให้กองทัพบก จัดกำลังกองบังคับการผสม และหน่วยขึ้นตรงกองพันทหารราบ ๑ กองพัน จากอัตราปกติของกองทัพบก จึงได้จัดกำลังจากหน่วยปกติของกองทัพบก โดยจัดจากกรมทหารราบที่ ๒๑ กองพันละ ๑ กองร้อย ส่วนกองร้อยอาวุธหนักได้สนธิกำลังของหน่วยทหารจากกรมจเรทหารราบ และกองพันต่าง ๆ

                ต่อมาเมื่อ ๑๖ ตุลาคม ๒๔๙๓ กระทรวงกลาโหมได้ออกคำสั่งพิเศษเรื่องการจัดกำลังทหาร เพื่อไปสงครามเกาหลี โดยให้พลตรี หม่อมเจ้าพิสิฐดิษยพงษ์ ดิสกุล เป็นผู้บัญชาการทหารไทย ทำการรบร่วมกับสหประชาชาติในเกาหลี (ผ.บ.ท.ก.) ให้กองทัพบก จัดกองบังคับการกรมผสมที่ ๒๑ และกำลังทหารราบ ๑ กองพัน ให้พร้อมเคลื่อนที่ได้ใน ๑๙ ตุลาคม ๒๔๙๓ เพื่อล่วงหน้าไปปฏิบัติการรบได้ก่อน กองทัพเรือ จัดการลำเลียงทหารและเรือคุ้มกัน โดยเช่าจากบริษัทเอกชน ๑ ลำ เพื่อลำเลียงกำลังทหารส่วนแรกของกรมผสมที่ ๒๑ จัดเรือรบหลวงสีชัง ลำเลียงส่วนหนึ่งของกำลังพลกรมผสมที่ ๒๑ และหน่วยพยาบาลสภากาชาดไทย จัดเรือรบหลวงประแสกับเรือรบหลวงบางปะกง ทำหน้าที่คุ้มกัน เมื่อปฏิบัติหน้าที่เสร็จสิ้นแล้ว ให้เรือรบหลวงทั้งสามลำปฏิบัติการที่ประเทศเกาหลี หรือประเทศญี่ปุ่นต่อไป กองทัพอากาศ เตรียมการในการบินขนส่งตามที่รัฐบาลกำลังเจรจาขอเครื่องบินลำเลียงอยู่

                ส่วนล่วงหน้า มีพันตรี สุรกิจ  มัยลาภ เป็นหัวหน้า เพื่อไปเตรียมรับอาวุธยุทโธปกรณ์ และเตรียมที่พักออกเดินทางโดยเครื่องบินของ P.O.A.S. (Pacitic Oversea Air Services) เมื่อ ๙ สิงหาคม ๒๔๙๓ กำลังส่วนใหญ่เดินทางโดยทางเรือ ออกจากท่าเรือกรุงเทพ ฯ คลองเตย เมื่อ ๒๒ ตุลาคม ๒๔๙๓ ถึงเกาหลีขึ้นบกที่เมืองปูซาน เมื่อ ๗ พฤศจิกายน ๒๔๙๓ แล้วขึ้นรถไฟไปยังค่ายพักศูนย์รับทหารของสหประชาชาติ ที่เมืองเตกู อยู่ทางเหนือของเมืองปูซาน ๘๐ ไมล์ ส่วนทหารเรือเดินทางไปประจำ ณ เมืองซาเซโบในประเทศญี่ปุ่น

    การปฏิบัติการในสมรภูมิเกาหลี

                เพื่อปฏิบัติตามนโยบาย ในการส่งกำลังเข้าร่วมปฏิบัติงานกับสหประชาชาติ ผู้บัญชาการทหารของไทย ฯ จึงมอบกำลังในส่วนของกองทัพบกคือ กรมผสมที่ ๒๑ ให้กับกองทัพที่ ๘ สหรัฐฯ ซึ่งเป็นการขึ้นทางยุทธการและทางเทคนิค ส่วนด้านการปกครอง และการดูแลหน่วยยังคงอยู่ในความรับผิดชอบของผู้บัญชาการทหารของไทย ฯ
                เนื่องจากทหารยังไม่คุ้นเคยกับอาวุธใหม่ตามแบบทหาร สหรัฐฯ มาก่อน จึงต้องมีการฝึกการใช้อาวุธประจำกาย และอาวุธประจำหน่วยอย่างเร่งด่วนตามแผนการฝึก ไม่น้อยกว่า ๘ สัปดาห์ โดยกำหนดให้นายทหารไปรับการฝึกสอนจากเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ในตอนกลางวัน แล้วนำมาสอนนายสิบในเวลากลางคืน จากนั้นนายสิบก็จะไปฝึกสอนพลทหารต่อ โดยมีนายทหารเป็นผู้อำนวยการฝึก นายสิบเป็นครูฝึก
                เมื่อทำการฝึกเบื้องต้นได้ ๑๑ วัน หน่วยทหารไทยก็ได้รับคำสั่งจากกองทัพที่ ๘ ให้เคลื่อนย้ายไปแนวหน้า ณ กรุงเปียงยาง เมืองหลวงของเกาหลีเหนือ ซึ่งอยู่ในความยึดครองของฝ่ายสหประชาชาติ เมื่อไปถึงแล้วให้ขึ้นสมทบกับกรมผสมส่งทางอากาศที่ ๑๘๗ (๑๘๗ Airborne) กองพลที่ ๒ กองทัพน้อยที่ ๙ สหรัฐฯ ทั้งนี้เนื่องจาก พลเอก แมค อาเธอร์ ต้องการจะเผด็จศึกให้เสร็จในสิ้นเดือน ธันวาคม ๒๔๙๓
    การวางกำลังรักษาจุดสำคัญ

                การเดินทางทั้งทางรถไฟและทางรถยนต์ เมื่อถึงกรุงเปียงยางก็ได้รับมอบภารกิจให้ป้องกัน และรักษาสถานที่สำคัญต่าง ๆ บริเวณกรุงเปียงยาง แทนหน่วยทหารฟิลิปปินส์ ขณะนั้นอากาศหนาวมากอุณหภูมิ - ๑๒ ํซ กองบังคับการกรมผสมที่ ๒๑ เข้าพักในค่ายทหารแทนทหารตุรกี ซึ่งได้รับคำสั่งให้เข้าประจำแนวรบ สถานที่สำคัญที่ทหารไทยไปรักษาการณ์มี ๑๙ แห่ง มีธนาคาร สถานทูต สหภาพโซเวียต สถานีวิทยุ สถานีเรดาร์ คลังกระสุน โรงพยาบาล สะพาน สนามบิน โดยใช้กำลังแห่งละ ๑ หมู่ ถึง ๑ หมวด
                กองทัพจีนแดงได้เปิดฉากการรุกใหญ่ เมื่อ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๔๙๓ เข้าตีแนวรบสหประชาชาติตลอดแนวด้วยกำลังมหาศาล กองทัพที่ ๘ สหรัฐฯ ต้องถอนตัว เมื่อ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๔๙๓ โดยทำการถอนตัวจากแม่น้ำชองชอนมาเป็นขั้น ๆ กำลังที่ถอนผ่านจุดต่าง ๆ ที่ทหารไทยรักษาอยู่ หน่วยทหารไทยที่ต้องทำงานหนัก ได้แก่หน่วยขนส่งที่ไปสนับสนุนการเคลื่อนย้ายของหน่วยต่าง ๆ ในกองทัพที่ ๘
                หน่วยทหารไทยได้ปะทะกับข้าศึกเป็นครั้งแรก เมื่อ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๔๙๓ ข้าศึกมีกำลัง ๑ กองร้อย ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของกรุงเปียงยาง ๓๐ กิโลเมตร และมีการปะทะกับข้าศึกทางตะวันออกของเมืองชินเยอีก
    การถอนตัวจากกรุงเปียงยาง

                กองทัพที่ ๘ สหรัฐฯ ได้กำหนดแผนให้ถอนตัวลงมาทางใต้ทั้งหมด เพราะสถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไป การเข้าตีเพื่อเผด็จศึกของฝ่ายสหประชาชาติ ได้รับการต้านทานอย่างหนักหน่วงด้วยกำลังทหารสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่มีกำลังถึง ๒๐๐,๐๐๐ คน
                หน่วยทหารไทยได้รับคำสั่งให้ถอนกำลังรักษาการณ์ตามจุดต่าง ๆ เมื่อ ๔ ธันวาคม ๒๔๙๓ และถอนตัวออกจากกรุงเปียงยาง กรมผสมส่งทางอากาศที่ ๑๘๗  ส่งรถมาสนับสนุนการเคลื่อนย้าย ๓๕ คัน เมื่อเดินทางมาถึงกรุงเปียงยางส่วนใหญ่เดินทางโดยขบวนรถไฟ ๒ ขบวน ยานพาหนะในอัตรา ๘๐ คัน ในระหว่างการเคลื่อนย้ายหน่วยทหารไทยไม่ได้รับคำสั่งให้ปฏิบัติการสื่อสาร กับหน่วยใด ๆ ของสหรัฐฯ แต่ฟังคำสั่งของกองทัพที่ ๘ โดยตรง การเดินทางได้กระทำตลอดคืน มาถึงเมืองซาริวอนในเช้าวันรุ่งขึ้น แล้วเคลื่อนทึ่ต่อไปถึงเมืองเคซองที่เส้นขนาน ๓๘
                เมืองเคซองอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงโซล ๓๕ ไมล์ หน่วยทหารไทยได้รับมอบภารกิจให้ จัดกำลังไปรักษาสะพาน และสะพานรถไฟข้ามแม่น้ำอิมจินที่หมู่บ้านมาจองนิ แทนทหารเกาหลีที่ถอนตัวไปปฏิบัติภารกิจอื่น และวางกำลังป้องกันเมืองเคซอง ร่วมกับกองพลน้อยตุรกี และหน่วยทหารสหรัฐฯ
                ต่อมาเมื่อได้รับคำสั่งให้ถอนกำลังกลับไปเป็นกองหนุนทั่วไปของกองทัพที่ ๘ สหรัฐฯ ที่เมืองซูวอน เมื่อ ๑๓ ธันวาคม ๒๔๙๓


    • Update : 29/5/2554
    © Copyright 2011 www.watnongmuang.com All rights reserved 999arch