|
|
ทหารไทยในสงครามเกาหลี /2
การเตรียมการส่งกำลังทหารไปร่วมรบ
รัฐบาลไทยตกลงใจที่จะส่งกำลังทหาร ๑ กรมผสม มีกำลังพลประมาณ ๔,๐๐๐ คน ไปร่วมรบกับสหประชาชาติในเกาหลี ตามความเห็นชอบของรัฐสภา เมื่อ ๒๒ กรกฎาคม ๒๔๙๓ โดยได้มอบหมายให้กระทรวงกลาโหมดำเนินการ เสนาธิการกลาโหมได้ออกคำสั่งแต่งตั้งให้ พันเอก บริบูรณ์ จุลละจาริตต์ หัวหน้าแผนกที่ ๓ กรมจเรทหารราบ เป็นผู้บังคับหน่วยทหารที่จะไปปฏิบัติราชการ ณ ประเทศเกาหลี ได้มอบนโยบายในการจัดกำลังของหน่วยเป็นรูปกรมผสม มีส่วนอำนวยการและส่วนกำลังรบ ประกอบด้วยกำลังทหารราบ ๓ กองพัน ทหารปืนใหญ่ ๑ กองพัน พร้อมทั้ง ๑ กองสื่อสาร ๑ กองช่าง และ ๑ กองลาดตระเวณ สำหรับกองพันทหารราบ ให้กองทัพเรือและกองทัพอากาศให้เตรียมกำลังเหล่าทัพละ ๑ กองพัน เพื่อสนธิกำลังกับกองทัพบก ต่อมาได้มีคำสั่งให้กรมผสมนี้ไปขึ้นกองทัพบก
การจัดกรมผสม ยึดถือการจัดหน่วย Regimental Combat Team ของกองทัพบกสหรัฐฯ เป็นหลัก อาวุธใช้ของกองทัพสหรัฐฯ กองบังคับการกรมผสมเปิดทำงาน เมื่อ ๒๒ สิงหาคม ๒๔๙๓ ที่ห้องสมุดกระทรวงกลาโหม (ห้องสุรศักดิ์มนตรี) ต่อมาได้ย้ายไปที่ห้องฉายภาพยนตร์ของโรงเรียนเสนาธิการทหารบก ซึ่งอยู่ที่ระเบียงชั้น ๓ ด้านตะวันออกเฉียงเหนือของศาลาว่าการกระทรวงกลาโหม ต่อมาได้ไปใช้ตึกสร้างใหม่ของกรมทางหลวงถนนพระราม ๖ แล้วย้ายไปอยู่ในบริเวณมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อ ๒๖ กันยายน ๒๔๙๓ ซึ่งเป็นเวลาที่ทางมหาวิทยาลัยปิดภาคการศึกษา จากนั้นได้ย้ายไปอยู่บริเวณกรมทหารราบที่ ๑๑ อยู่ที่สะพานแดง บางซื่อ และสุดท้ายได้ย้ายไปอยู่ที่ค่ายทหารตำบลบางเขน ซึ่งเป็นที่ตั้งของกรมทหารราบที่ ๑๑ รักษาพระองค์ในปัจจุบัน
กระทรวงกลาโหมได้ประกาศรับสมัครทหารอาสาไปราชการช่วยสหประชาชาติ เมื่อ ๒๙ กรกฎาคม ๒๔๙๓ มีผู้มาสมัครทั้งสิ้น ๑๔,๙๙๘ คน
เนื่องจากต้องรับส่งกำลังไปปฏิบัติการให้ทันกับสถานการณ์ กระทรวงกลาโหมจึงสั่งการให้กองทัพบก จัดกำลังกองบังคับการผสม และหน่วยขึ้นตรงกองพันทหารราบ ๑ กองพัน จากอัตราปกติของกองทัพบก จึงได้จัดกำลังจากหน่วยปกติของกองทัพบก โดยจัดจากกรมทหารราบที่ ๒๑ กองพันละ ๑ กองร้อย ส่วนกองร้อยอาวุธหนักได้สนธิกำลังของหน่วยทหารจากกรมจเรทหารราบ และกองพันต่าง ๆ
ต่อมาเมื่อ ๑๖ ตุลาคม ๒๔๙๓ กระทรวงกลาโหมได้ออกคำสั่งพิเศษเรื่องการจัดกำลังทหาร เพื่อไปสงครามเกาหลี โดยให้พลตรี หม่อมเจ้าพิสิฐดิษยพงษ์ ดิสกุล เป็นผู้บัญชาการทหารไทย ทำการรบร่วมกับสหประชาชาติในเกาหลี (ผ.บ.ท.ก.) ให้กองทัพบก จัดกองบังคับการกรมผสมที่ ๒๑ และกำลังทหารราบ ๑ กองพัน ให้พร้อมเคลื่อนที่ได้ใน ๑๙ ตุลาคม ๒๔๙๓ เพื่อล่วงหน้าไปปฏิบัติการรบได้ก่อน กองทัพเรือ จัดการลำเลียงทหารและเรือคุ้มกัน โดยเช่าจากบริษัทเอกชน ๑ ลำ เพื่อลำเลียงกำลังทหารส่วนแรกของกรมผสมที่ ๒๑ จัดเรือรบหลวงสีชัง ลำเลียงส่วนหนึ่งของกำลังพลกรมผสมที่ ๒๑ และหน่วยพยาบาลสภากาชาดไทย จัดเรือรบหลวงประแสกับเรือรบหลวงบางปะกง ทำหน้าที่คุ้มกัน เมื่อปฏิบัติหน้าที่เสร็จสิ้นแล้ว ให้เรือรบหลวงทั้งสามลำปฏิบัติการที่ประเทศเกาหลี หรือประเทศญี่ปุ่นต่อไป กองทัพอากาศ เตรียมการในการบินขนส่งตามที่รัฐบาลกำลังเจรจาขอเครื่องบินลำเลียงอยู่
ส่วนล่วงหน้า มีพันตรี สุรกิจ มัยลาภ เป็นหัวหน้า เพื่อไปเตรียมรับอาวุธยุทโธปกรณ์ และเตรียมที่พักออกเดินทางโดยเครื่องบินของ P.O.A.S. (Pacitic Oversea Air Services) เมื่อ ๙ สิงหาคม ๒๔๙๓ กำลังส่วนใหญ่เดินทางโดยทางเรือ ออกจากท่าเรือกรุงเทพ ฯ คลองเตย เมื่อ ๒๒ ตุลาคม ๒๔๙๓ ถึงเกาหลีขึ้นบกที่เมืองปูซาน เมื่อ ๗ พฤศจิกายน ๒๔๙๓ แล้วขึ้นรถไฟไปยังค่ายพักศูนย์รับทหารของสหประชาชาติ ที่เมืองเตกู อยู่ทางเหนือของเมืองปูซาน ๘๐ ไมล์ ส่วนทหารเรือเดินทางไปประจำ ณ เมืองซาเซโบในประเทศญี่ปุ่น
การปฏิบัติการในสมรภูมิเกาหลี
เพื่อปฏิบัติตามนโยบาย ในการส่งกำลังเข้าร่วมปฏิบัติงานกับสหประชาชาติ ผู้บัญชาการทหารของไทย ฯ จึงมอบกำลังในส่วนของกองทัพบกคือ กรมผสมที่ ๒๑ ให้กับกองทัพที่ ๘ สหรัฐฯ ซึ่งเป็นการขึ้นทางยุทธการและทางเทคนิค ส่วนด้านการปกครอง และการดูแลหน่วยยังคงอยู่ในความรับผิดชอบของผู้บัญชาการทหารของไทย ฯ
เนื่องจากทหารยังไม่คุ้นเคยกับอาวุธใหม่ตามแบบทหาร สหรัฐฯ มาก่อน จึงต้องมีการฝึกการใช้อาวุธประจำกาย และอาวุธประจำหน่วยอย่างเร่งด่วนตามแผนการฝึก ไม่น้อยกว่า ๘ สัปดาห์ โดยกำหนดให้นายทหารไปรับการฝึกสอนจากเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ในตอนกลางวัน แล้วนำมาสอนนายสิบในเวลากลางคืน จากนั้นนายสิบก็จะไปฝึกสอนพลทหารต่อ โดยมีนายทหารเป็นผู้อำนวยการฝึก นายสิบเป็นครูฝึก
เมื่อทำการฝึกเบื้องต้นได้ ๑๑ วัน หน่วยทหารไทยก็ได้รับคำสั่งจากกองทัพที่ ๘ ให้เคลื่อนย้ายไปแนวหน้า ณ กรุงเปียงยาง เมืองหลวงของเกาหลีเหนือ ซึ่งอยู่ในความยึดครองของฝ่ายสหประชาชาติ เมื่อไปถึงแล้วให้ขึ้นสมทบกับกรมผสมส่งทางอากาศที่ ๑๘๗ (๑๘๗ Airborne) กองพลที่ ๒ กองทัพน้อยที่ ๙ สหรัฐฯ ทั้งนี้เนื่องจาก พลเอก แมค อาเธอร์ ต้องการจะเผด็จศึกให้เสร็จในสิ้นเดือน ธันวาคม ๒๔๙๓
การวางกำลังรักษาจุดสำคัญ
การเดินทางทั้งทางรถไฟและทางรถยนต์ เมื่อถึงกรุงเปียงยางก็ได้รับมอบภารกิจให้ป้องกัน และรักษาสถานที่สำคัญต่าง ๆ บริเวณกรุงเปียงยาง แทนหน่วยทหารฟิลิปปินส์ ขณะนั้นอากาศหนาวมากอุณหภูมิ - ๑๒ ํซ กองบังคับการกรมผสมที่ ๒๑ เข้าพักในค่ายทหารแทนทหารตุรกี ซึ่งได้รับคำสั่งให้เข้าประจำแนวรบ สถานที่สำคัญที่ทหารไทยไปรักษาการณ์มี ๑๙ แห่ง มีธนาคาร สถานทูต สหภาพโซเวียต สถานีวิทยุ สถานีเรดาร์ คลังกระสุน โรงพยาบาล สะพาน สนามบิน โดยใช้กำลังแห่งละ ๑ หมู่ ถึง ๑ หมวด
กองทัพจีนแดงได้เปิดฉากการรุกใหญ่ เมื่อ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๔๙๓ เข้าตีแนวรบสหประชาชาติตลอดแนวด้วยกำลังมหาศาล กองทัพที่ ๘ สหรัฐฯ ต้องถอนตัว เมื่อ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๔๙๓ โดยทำการถอนตัวจากแม่น้ำชองชอนมาเป็นขั้น ๆ กำลังที่ถอนผ่านจุดต่าง ๆ ที่ทหารไทยรักษาอยู่ หน่วยทหารไทยที่ต้องทำงานหนัก ได้แก่หน่วยขนส่งที่ไปสนับสนุนการเคลื่อนย้ายของหน่วยต่าง ๆ ในกองทัพที่ ๘
หน่วยทหารไทยได้ปะทะกับข้าศึกเป็นครั้งแรก เมื่อ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๔๙๓ ข้าศึกมีกำลัง ๑ กองร้อย ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของกรุงเปียงยาง ๓๐ กิโลเมตร และมีการปะทะกับข้าศึกทางตะวันออกของเมืองชินเยอีก
การถอนตัวจากกรุงเปียงยาง
กองทัพที่ ๘ สหรัฐฯ ได้กำหนดแผนให้ถอนตัวลงมาทางใต้ทั้งหมด เพราะสถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไป การเข้าตีเพื่อเผด็จศึกของฝ่ายสหประชาชาติ ได้รับการต้านทานอย่างหนักหน่วงด้วยกำลังทหารสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่มีกำลังถึง ๒๐๐,๐๐๐ คน
หน่วยทหารไทยได้รับคำสั่งให้ถอนกำลังรักษาการณ์ตามจุดต่าง ๆ เมื่อ ๔ ธันวาคม ๒๔๙๓ และถอนตัวออกจากกรุงเปียงยาง กรมผสมส่งทางอากาศที่ ๑๘๗ ส่งรถมาสนับสนุนการเคลื่อนย้าย ๓๕ คัน เมื่อเดินทางมาถึงกรุงเปียงยางส่วนใหญ่เดินทางโดยขบวนรถไฟ ๒ ขบวน ยานพาหนะในอัตรา ๘๐ คัน ในระหว่างการเคลื่อนย้ายหน่วยทหารไทยไม่ได้รับคำสั่งให้ปฏิบัติการสื่อสาร กับหน่วยใด ๆ ของสหรัฐฯ แต่ฟังคำสั่งของกองทัพที่ ๘ โดยตรง การเดินทางได้กระทำตลอดคืน มาถึงเมืองซาริวอนในเช้าวันรุ่งขึ้น แล้วเคลื่อนทึ่ต่อไปถึงเมืองเคซองที่เส้นขนาน ๓๘
เมืองเคซองอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงโซล ๓๕ ไมล์ หน่วยทหารไทยได้รับมอบภารกิจให้ จัดกำลังไปรักษาสะพาน และสะพานรถไฟข้ามแม่น้ำอิมจินที่หมู่บ้านมาจองนิ แทนทหารเกาหลีที่ถอนตัวไปปฏิบัติภารกิจอื่น และวางกำลังป้องกันเมืองเคซอง ร่วมกับกองพลน้อยตุรกี และหน่วยทหารสหรัฐฯ
ต่อมาเมื่อได้รับคำสั่งให้ถอนกำลังกลับไปเป็นกองหนุนทั่วไปของกองทัพที่ ๘ สหรัฐฯ ที่เมืองซูวอน เมื่อ ๑๓ ธันวาคม ๒๔๙๓
|
Update : 29/5/2554
|
|