หน้าแรก สมาชิก รายการวัตถุมงคล ตะกร้าวัตถุมงคล วิธีชำระวัตถุมงคล วิธีบูชาวัตถุมงคล ประวัติวัด ติดต่อวัด เว็บบอร์ด
สมาชิก Log in
อีเมล์
รหัสผ่าน
สมัครสมาชิกใหม่
ลืมรหัสผ่าน
















ค้นหาวัตถุมงคล
 
 
 
หมวดวัตถุมงคล
  เครื่องราง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง หลวงพ่อสวัสดิ์
  พระเครื่อง หลวงปู่พิมพ์มาลัย
  พระเครื่อง หลวงพ่อสง่า
วัตถุมงคลของคุณ
รหัสวัตถุมงคล ราคา จำนวน
ยังไม่มีวัตถุมงคลอยู่ในตะกร้า
  • ชำระค่าวัตถุมงคล
  • แก้ไขรายการวัตถุมงคล
  • วิธีสั่งบูชาวัตถุมงคล
  •  

    สารานุกรมไทยฉบับย่อ/163
    ๕๑๘๓. หมาจิ้งจอก  เป็นชื่อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ขนาดเล็ก ลำตัวยาว ๖๐ - ๗๕ ซม. น้ำหนักตัวเมื่อโตเต็มที่หนัก ๘ - ๑๐ กก.  เป็นสัตว์กินเนื้อ ขนลำตัวสีเทา มีสีดำ และสีขาวแซม บริเวณไหลขนมีลักษณะยาวปลายสีดำ หางสั้นมีขนยาว เป็นพวง ปลายหางสีดำ
                หมาจิ้งจอก ส่วนมากออกหากินในเวลากลางคืน ยกเว้นในฤดูหนาว หรือวันที่อากาศเย็น อาจเห็นออกมาหากินในเวลากลางวัน ในประเทศไทยมักพบหมาจิ้งจอกอยู่เดี่ยว ๆ หรือเป็นคู่ มักชอบเดินตามเสือโคร่ง เพื่อจะได้กินซากสัตว์ที่เสือโคร่งกินเหลือไว้ บางครั้งออกล่าสัตว์ เช่น เนื้อทราย กวางป่า ร่วมกับฝูงหมาไน
                หมาจิ้งจอก โตเต็มวัยพร้อมผสมพันธุ์ได้เมื่ออายุ ๒ - ๓ ปี การผสมพันธุ์มีได้ตลอดปี ตั้งท้องนานสองเดือน ตกลูกครั้งละ ๔ - ๕ ตัว โดยทั่วไป มักจะจับคู่กันแบบผัวเดียว เมียเดียว หมาจิ้งจอกอายุยืยประมาณ ๑๕ ปี ในประเทศไทย พบหมาจิ้งจอกในภาคเหนือและภาคตะวันตก            ๒๘/๑๘๑๒๓
                ๕๑๘๔. หมาใน  เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม มีขนาดใหญ่กว่าหมาจิ้งจอก ความยาวลำตัว ๘๐ - ๙๐ ซม. น้ำหนักตัว ๑๐ - ๒๐ กก.  ขนลำตัวสีน้ำตาลแดง ขอบหูมนไม่แหลม เหมือนหมาจิ้งจอก ขนหางเป็นพวงสีดำ หรือสีน้ำตาลเข้ม ในฤดูหนาวขนจะขึ้นหนาแน่น
                    หมาใน ชอบอยู่ในป่าค่อนข้างทึบ หลีกเลี่ยงที่จะเผชิญหน้ากับมนุษย์ ชอบออกหากินเป็นฝูงในตอนเช้าตรู่ และใกล้พลบค่ำ แต่ละฝูงจะมีจำนวน ๖ - ๒๐ ตัว
                    หมาใน สามารถผสมพันธุ์กันได้ตลอดปี ตั้งท้องนาน ๖๓ - ๖๕ วัน ตกลูกครั้งละ ๔ - ๖ ตัว และอาจมากถึง ๑๑ ตัว ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ลูก ค่อนข้างยาวนาน แม่จะทิ้งลูกก็ต่อเมื่อลูกแยกตัวออกไปหากินเองได้ ตัวโตที่อยู่ภายในฝูง จะนำอาหารมาเลี้ยงดูลูกในฝูง โดยไม่เลือกว่าเป็นลูกของตัวไหน โดยสำรอกเนื้อออกมาให้ลูกกิน ถ้าตัวเมียตกลูกพร้อมกัน มักจะออกลูกในถ้ำ หรือในโพรงเดียวกัน และจะมีแม่ตัวหนึ่ง คอยดูแลฝูงลูกหมาไว้ ขณะที่ตัวอื่น ๆ ออกไปล่าเหยื่อ แต่เมื่ออดอยาก หมาในจะกินลูกของมันเอง หมาในมีอายุ ๑๐ - ๑๕ ปี             ๒๘/๑๘๑๒๔
                ๕๑๘๕. หมาป่า  เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม ที่มีความสามารถในการวิ่งในระยะทางไกล ๆ ได้ดีกว่าสัตว์กินเนื้อชนิดอื่น ๆ ลำตัวยาว ๓๕ - ๑๓๕ ซม.  น้ำหนักตัว ๑.๕ - ๗๕ กก.  ลำตัวส่วนหน้าจะกว้าง และเรียวมายังท้าย กล้ามเนื้อบริเวณคอ อก และโคนขาแข็งแรง ขายาว อุ้งตีนเล็ก ใบหูมีฐานกว้าง และเรียวไปที่ปลายหู หูตั้งเป็นรูปสามเหลี่ยม หางมีขนคลุม มีลักษณะเป็นพวง
                    หมาป่าบางชนิด ออกหากินตลอดทั้งวัน โดยเฉพาะในขณะที่อากาศร้อน บางชนิดชอบหากินใกล้พลบค่ำ หรือในระหว่างเวลากลางคืน มีความสามารถในการว่ายน้ำ หมาป่ามีระยะการตั้งท้อง ๔๙ - ๗๐ วัน ปีหนึ่งมีลูก ๑ - ๒ ครอก ช่วยกันเลี้ยงลูก แต่ละครอกมี ๒ - ๑๐ ตัว โตเต็มวัย เมื่ออายุ ๑ - ๒ ปี อายุยืน ๑๐ - ๒๒ ปี
                    หมาป่าชนิดที่มีขนาดใหญ่ จะอยู่รวมเป็นฝูง ฝูงหนึ่งอาจมีจำนวน ๖๐ - ๗๐ ตัว การกำหนดอาณาเขต จะใช้วิธีการปัสสาวะ โดยตัวผู้จะปัสสาวะให้ติดกับพื้นดิน เปลือกไม้ หรือใบไม้                ๒๘/๑๘๑๒๕
                ๕๑๘๖. หมาไม้  เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม มีลำตัวยาวประมาณ ๕๐ ซม.  น้ำหนักตัว ๑.๕ - ๓ กก.  รูปร่างคล้ายอีเห็น แต่ขาสั้นกว่า ลำตัวยาวเรียว ใบหูกลมมน ขนยาว หยาบและลู่ไปตามลำตัวจดหาง ขนสีน้ำตาลแถบเหลือง
                    หมาไม้ ชอบอาศัยอยู่ตามป่าดงดิบที่รกทึบ และเป็นป่าสูง ปรกติออกหากินตามลำพังตัวเดียว ในเวลากลางวัน นอกจากในฤดูผสมพันธุ์ จึงจะออกหากินเป็นคู่ บางครั้งอาจพบออกหากินเป็นฝูง ฝูงละ ๔ - ๕ ตัว โดยช่วยกันล่าเหยื่อ โตเต็มวัยเมื่ออายุ ๒ - ๓ ปี ตั้งท้องนาน ๒๐ - ๒๙ ๆ วัน ตกลูกครั้งละ ๑ - ๕ ตัว ทั้งตัวผู้ และตัวเมียอยู่ด้วยกัน จนตกลูก ลูกโตเร็วมาก อายุประมาณสามเดือน จะมีน้ำหนักเท่าพ่อแม่ อายุยืนประมาณ ๑๕ ปี            ๒๘/๑๘๑๒๗
                ๕๑๘๗. หมาร่า  เป็นแมลงหลายชนิด จำพวกต่อหรือแตน แต่ทำรังด้วยดินเหนียว รูปร่างต่างกัน ติดอยู่กิ่งไม้ หรือวัสดุอื่นภายนอกบ้านเรือน หรือตามขื่อ ฝ้า เพดาน ในบ้านเรือน ทั้งนี้แล้วแต่ชนิดของหมาร่า
                    หมาร่า มีรูปร่างลักษณะโดยทั่วไป เหมือนตัวต่อ มีชีวิตแบบโดดเดี่ยว ไม่รวมกลุ่มกัน มีความยาวลำตัวประมาณ ๓ ซม.            ๒๘/๑๘๑๒๘
                ๕๑๘๘. หมี  เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม ขนาดใหญ่ เป็นสัตว์กินเนื้อ อาศัยอยู่บนบก ขนาดใหญ่ที่สุดและมีพละกำลังมาก น้ำหนักตัว ๒๗ - ๗๘๐ กก.  ขนบนลำตัวสีดำ น้ำตาล น้ำตาลแดง หรือขาว ตาและใบหู มีขนาดเล็ก ประสาทการเห็น และการได้ยินไม่ดีเท่าสุนัข ประสาทการดมกลิ่นดีมาก
                    หมี มีหลายชนิดในประเทศไทย มีสองชนิดได้แก่ หมีควาย และหมีหมา
                            ๑. หมีควาย  เป็นหมีที่ใหญ่ที่สุดของไทย ลำตัวยาว ๑.๒๐ - ๑.๕๐ เมตร  น้ำหนัก ๘๐ - ๑๘๐ กก.  บริเวณอกมีขนสีขาว เป็นรูปตัววี หัวใหญ่ ตาเล็กโปนสีดำ ปลายปากสีขาว จมูกสีดำ ใบหูขอบกลม มนสีดำ เล็บตีนมีห้านิ้ว เล็บใหญ่โค้งปลายแหลม ไม่หดกลับ
                                หมีควาย  ชอบหากินเดี่ยว ๆ ยกเว้นเมื่อจับคู่กันในฤดูผสมพันธุ์  ชอบอาศัยในป่าทึบบนภูเขา มักออกหากินเวลากลางคืน ปีนต้นไม้เก่ง อาหารมีมากมายหลายชนิด ทั้งเนื้อสัตว์และพืช
                                หมีควาย ตั้งท้องนาน ๗ - ๘ เดือน ตกลูกครั้งละ ๑ - ๒ ตัว ลูกจะติดตามหากินไป พร้อมกับแม่จนอายุ ๒ - ๓ ปี จึงแยกกับแม่ หมีควายโตเต็มวัย พร้อมผสมพันธุ์ได้เมื่ออายุ ๓ ปี  อายุยืน ๒๐ - ๒๕ ปี บางตัวอาจอายุยืนถึง ๓๕ ปี
                            ๒. หมีหมา  เป็นหมีขนาดเล็กของไทย และเล็กที่สุดในโลก ลำตัวยาว ๑.๐ - ๑.๕ เมตร น้ำหนักตัว ๒๗ - ๖๐ กก. ขนสั้นเกรียนสีดำ ปาก จมูก และริมฝีปากล่างสีขาว ปลายจมูกเป็นหนังสีดำ ตาเล็กโปน ใบหูเล็กขอบกลมมน ตรงหน้าอกมีรอยสีขาวเป็นรูปถ้วย หรือรูปดวงอาทิตย์ ออกหากินเวลากลางคืน มักอยู่ร่วมกันหรือหากินกันเป็นคู่ ๆ ชอบอยู่ในป่าทึบ ปีนต้นไม้ได้เก่งและคล่องแคล่ว ชอบกินทั้งพืชและสัตว์
                                หมีหมาผสมพันธุ์ได้ตลอดปี ตั้งท้องนาน ๙๐ - ๙๖ วัน ตกลูกคราวละสองตัวอยู่กับแม่จนอายุ ๑ - ๒ ปี อายุยืนประมาณ ๒๐ ปี
                            ๓. หมีขาว หรือหมีขั้วโลก น้ำหนักตัว ๔๑๐ กก. มีถิ่นกำเนิดในแถบขั้วโลก
                            ๔. หมีสีน้ำตาล น้ำหนักตัว ๗๘๐ กก. มีถิ่นกำเนิดในยุโรป เอเซียตอนกลางและตอนเหนือ และอเมริกาเหนือ
                            ๕. หมีกริซซลี น้ำหนักตัว ๓๒๕ กก. มีถิ่นกำเนิดในอเมริกาเหนือ            ๒๘/๑๘๑๓๑
                ๕๑๘๙. หมูหริ่ง  เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมในกลุ่มเดียวกับแผงพอน หมาไม้ และนาก รูปร่างอ้วนสั้น ขาล่ำสัน เล็บยาวโค้งปลายแหลม เหมะในการขุดดิน จมูกยื่นออกมาคล้ายจมูกหมู ลักษณะเป็นหนังหนาใช้ในการดุน ตาและหูเล็ก ปราสาทการเห็น และการได้ยินไม่ดี ลำตัวยาว ๖๕ - ๑๐๔ ซม. น้ำหนักตัว ๗ - ๑๕ กก. ลำตัวมีขนหยาบแข็ง ลำตัวสีเหลืองเทา หรือสีดำ อยู่กับฤดูกาล
                    หมูหริ่ง ออกหากินเวลากลางคืน ชอบกินรากพืช หัวพืชใต้ดิน หน่อพืชอ่อน ไส้เดือน แมลงและสัตว์เล็ก ๆ ใต้ดิน
                    หมูหริ่ง ออกลูกครั้งละ ๒ - ๓ ตัว อายุยืน ๗ - ๑๐ ปี             ๒๘/๑๘๑๓๕
                ๕๑๙๐. หยก  เป็นรัตนชาติที่มีราคาสูง โดยทั่วไปหมายถึง รัตนชาติหรืออัญมณี โปร่งแสงสีเขียว แต่ที่จัดว่าเป็นหยกจริง ๆ คือ หยกชนิดเจไดต์ บางทีเรียกว่า หยกพม่า มีหลายสี และหยกชนิดไฟรต์บางทีเรียก หยกจีน หรือหยกไต้หวัน ซึ่งมีราคาไม่แพง ชาวจีนรู้จักหยกและใช้กันมานานแล้ว นิยมนำมาแกะสลักเป็นงานปฎิมากรรมชิ้นใหญ่ และได้มีการค้นพบว่า หยกใช้เป็นเครื่องประดับตั้งแต่ยุคหินใหม่ มีอายุกว่า ๑๐,๐๐๐ ปีมาแล้ว
                    ทัศนคติเกี่ยวกับหยกของชนชาติต่าง ๆ มีตรงกันบ้างต่างกันบ้าง หยกมีหลายสี แต่ละสีมีสัญญลักษณ์แตกต่างกันออกไป สีที่นิยมกันมากคือ สีเขียวมักนำมาเจียระไน ขัดมันเป็นรูปโค้งหลังเต่า หลังเบี้ย รูปไข่ ลูกปัด เป็นต้น สำหรับทำเป็นเครื่องประดับ หรือนำมาแกะสลักเป็นรูปลักษณะต่าง ๆ หยกแบ่งออกได้เป็นสี่ชนิด ตามชนิดของสี
                            ๑. หยกสีเขียว มีราคาสูง คุณภาพดี และหายาก คือ หยกจักรพรรดิ์ มีสีเขียวเข้มคล้ายมรกต มีความโปร่งใสสูง หรือยอมให้แสงผ่านได้
                            ๒. หยกสีม่วงอ่อน เป็นที่นิยมและมีราคาสูงเช่นกัน ราคาเปลี่ยนแปลงตามความโปร่งใสและสีที่เข้มขึ้น
                            ๓. หยกสีขาว โดยทั่วไปมีราคาค่อนข้างต่ำ หยกที่มีความขาวใสบริสุทธิ์หรืออมเหลืองเล็กน้อย เนื้อละเอียดก็อาจมีราคาสูงได้ และอาจจะได้รับความนิยมรองลงมาจากหยกสีเขียว
                            หยกสีอื่น ๆ เช่น เหลือง ส้มแดง คราม เทา ดำ สีเหล่านี้มักเกิดในเนื้อหยก มากกว่าสองหรือสามสี สีเดียวก็มีแต่พบน้อย ราคาก็ขึ้นอยู่กับความสวยงามของสีที่ปรากฎ รสนิยม และความนิยมแต่ละยุคสมัย            ๒๘/๑๘๑๓๖
                ๕๑๙๑. หยวน, ราชวงศ์ (พ.ศ.๑๘๒๒ - ๑๙๑๑)  เป็นราชวงศ์ที่ชาวมองโกลตั้งขึ้นปกครองประเทศจีน ในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิ์มองโกล ซึ่งครอบครองทวีปเอเซียจดทวีปยุโรป เจงกิสข่าน (๑๗๑๐ - ๑๗๗๐)  เป็นผู้รวบรวมชนเผ่ามองโกล และชนเผ่าใกล้เคียงทั้งหลายได้ แล้วขยายอำนาจไปในที่ต่าง ๆ ในปี พ.ศ.๑๗๕๘ ได้เข้าครอบครองภาคเหนือของประเทศจีน โอรสของเจงกีสข่านคือ โอโกโด ก็ได้ล้มราชวงศ์ฉิน ซึ่งเคยครองจีนภาคเหนือ และจัดกองทหารไว้ปกครองดินแดนที่ชาวมองโกลตีได้ ต่อมาก็ล้มราชวงศ์ซ้องที่ปกครองจีน ตั้งแต่ปี พ.ศ.๑๕๐๓ - ๑๘๒๒ กุบไลข่าน (พ.ศ.๑๗๕๗ - ๑๘๓๗) ซึ่งสีบทอดตำแหน่งข่าน ต่อมาก็ขยายอำนาจเข้าครอบครองสุดภาคใต้ทั้งประเทศ กุบไลข่านเริ่มใช้ชื่อ ราชวงศ์หยวน บางครั้งก็เรียกว่า ราชวงศ์มองโกล
                    ชาวมองโกลเคยปกครองดินแดนส่วนใหญ่ในส่วนอื่นของโลก เช่น เอเซียกลาง เคยยกทัพไปตีรัสเซียและโปแลนด์ในปีพ.ศ.๑๗๘๓ และยาตราทัพไปจนถึงโบฮิเมีย ฮังการี และลุ่มแม่น้ำดานูบ จึงเป็นที่เกรงขามของชาวยุโรปอยู่มาก ชาวมองโกลได้ครอบครองเส้นทางสายไหม อนุญาตให้พ่อค้านานาชาติใช้เส้นทางนี้ได้อย่างเสรี ยังผลให้การค้านานาชาติในประเทศจีนเจริญขึ้นมาก ได้เริ่มสร้างเส้นทางจากจีนไปเปอร์เซีย และรัสเซียผ่านเอเซียตะวันตก ในปี พ.ศ.๑๗๖๒ และตั้งศูนย์การทหาร คลังเสบียงอาหาร และพื้นที่เพาะปลูก ตลอดจนศูนย์การไปรษณีย์ขึ้นตามเส้นทางเป็นระยะ ๆ ทำให้สะดวกแก่นักเดินทางไปมาจากโรมถึงเอเซีย ชาวตะวันตกที่เดินทางมาจีน เช่น บาทหลวงนิกายฟรานซิสกับที่มาเผยแพร่ ศานาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ชาวยุโรปยุคกลางก็มายังราชสำนักกุบไลข่าน ในปี พ.ศ.๑๘๐๔ สันตะปาปาก็ได้ส่งสมณทูตมายังเมืองเฉินตู และมาร์โคโปโล ก็มารับราชการอยู่ ณ ราชสำนักปักกิ่ง ระหว่างปี พ.ศ.๑๘๑๔ - ๑๘๓๕ เขาได้เขียนเรื่องเกี่ยวกับจีน และเอเซียไว้ หนังสือเล่มนี้แปลออกเป็นหลายภาษาคือ หนังสือการเดินทางของมาร์โคโปโล ซึ่งให้ความรู้เรื่องเกี่ยวกับทวีปเอเซีย และประเทศจีนแก่ชาวโลกมาก
                    ด้วยความเชื่อว่าข่านมองโกลเป็นผู้ปกครองโลก และประเทศทั้งหลายต้องส่งบรรณาการให้จีน กุบไลข่าน จึงต้องส่งกองทัพออกนอกประเทศจีนหลายครั้ง เพื่อไปเรียกร้องบรรณาการ กองทัพมองโกลตีได้เกาหลี ระหว่างปี พ.ศ.๑๗๗๔ - ๑๗๗๕ และโจมตีญี่ปุ่นสองครั้ง ระหว่างปี พ.ศ.๑๘๑๗ - ๑๘๒๔ แต่ไม่สำเร็จ รบชนะทิเบต และยูนนาน เข้ารุกรานพม่าภาคเหนือ เวียดนาม จามปา และยกทัพไปถึงชวา ถึงสองครั้งในปี พ.ศ.๑๘๒๔ - ๑๘๒๕
                    จากการค้าที่รุ่งเรือง และการเดินทางกว้างไกลขึ้น ชาวมองโกลจึงริเริ่มคิดทำธนบัตรขึ้นใช้อย่างแพร่หลาย ทั้งในและนอกประเทศ นอกจากนั้น ยังประดิษฐ์ลูกคิดสำหรับใช้คิดเงินในปี พ.ศ.๑๘๑๗ อีกด้วย
                    จักรพรรดิ์ราชวงศ์หยวน สองเมืองคือ เมืองหลวงในฤดูหนาวอยู่ที่เมืองต้าตู และเมืองหลวงในฤดูร้อน คือ เมืองเฉินตู อยู่ในมองโกเลียใน เมื่อจักรพรรดิ์กุบไลข่าน ย้ายเมืองหลวงจากคอราคอรัม มายังเมืองต้าตู เมื่อปี พ.ศ.๑๘๐๓ ก็ได้ให้สร้าพระราชวังพร้อมอุทยาน ประกอบด้วยภูเขา และทะเลสาบ จำลองไว้งดงาม สร้างที่บูชาธรรมชาติที่หอเทียนดาน ทรงปฎิรูปการปกครอง เศรษฐกิจ และสังคมจีน ในหลาย ๆ ด้าน โปรดให้ขุดคลองสำคัญสองคลองคือ คลองฉีโฉว และคลองหวยถุง เชื่อมจากปักกิ่ง ลงสู่ตอนล่างของแม่น้ำแยงซี ในจีนภาคใต้ ได้จัดตั้งคอมมูน ซึ่งประกอบด้วย คน ๕๐ - ๑๐๐ ครอบครัว ร่วมมือช่วยเหลือกันในด้านการเพาะปลูก สวัสดิการต่าง ๆ สะสมเสบียงอาหารไว้ในยามขาดแคลน สร้างโรงเรียน โรงพยาบาล ฯลฯ
                    กุบไลข่าน  รับเอาพิธีการหลายอย่างตามประเพณีจีนโบราณมาใช้ ตลอดสมัยราชวงศ์หยวน ใช้ภาษามองโกเลียเป็นภาษาราชการ ให้มีล่ามแปลในหน่วยงานทุกระดับ
                    จักรพรรดิ์และชาวมองโกลส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศาสนานิกายลามะ แบบทิเบต ผู้นับถือนิกายลามะ และชาวมองโกล ได้รับสิทธิพิเศษหลายประการ ในปี พ.ศ.๑๘๓๕ มีวัดในพระพุทธศาสนาถึง ๔๒,๓๑๘ วัด มีพระสงฆ์และแม่ชีกว่า ๒๐๐,๐๐๐  คน นอกจากนั้น ราชวงศ์หยวนก็สนับสนุนศาสนาอื่น ๆ เช่น ศาสนาคริสต์ นิกายเนสทอเรียน ศาสนาอิสลาม ศาสนายิว ขณะที่ศาสนาเต๋า และศาสนาขงจื๊อ ก็ยังคงอยู่ การแสดงงิ้ว จัดว่าเป็นศิลปะที่เด่นของจีนสมัยราชวงศ์หยวน และนิยมแพร่หลายทั่วไปถึงทุกวันนี้
                    ความเจริญที่เด่นในด้านวิทยาศาสตร์ของราชวงศ์หยวน มีอยู่เป็นอันมาก เช่น ประดิษฐ์ประทัดแบบแปลก ๆ ขึ้นใช้ ต่อมาเป็นต้นแบบดินปืนของยุโรป รู้จักประดิษฐ์เครื่องมือดาราศาสตร์ แบบอิสลามอีกหลายชนิด สร้างหอดูดาวที่เมืองต้าตู ในปี พ.ศ.๑๘๒๒ นำช่างตะวันออกกลางมาสร้างเขื่อนกันน้ำ ประดิษฐ์กระดาษขึ้นใช้
                    จักรพรรดิ์กุบไลข่าน สวรรคตในปี พ.ศ.๑๘๓๗ ราชวงศ์หยวนก็เริ่มเสื่อมลง การทหารก็เสื่อมลง ส่วนหนึ่งเพราะการสืบทอดตำแหน่งในตระกูล กองทัพมองโกลไม่อาจปราบกบฎพื้นเมือง เช่น กบฎดอกบัวขาว เมื่อปี พ.ศ.๑๘๙๔ ได้ ในช่วงปี พ.ศ.๑๘๙๓ - ๑๙๐๓ ได้เกิดกบฎต่อต้านชนชั้นสูงหลายครั้ง และลุกลามเป็นการขับไล่ชาวมองโกลออกไปจากจีน ในที่สุด ซื่อหงวนจัง หัวหน้ากบฎชาวนา ก็ล้มราชวงศ์หยวนได้เมื่อปี พ.ศ.๑๙๑๑ และตั้งราชวงศ์หมิงขึ้นแทน             ๒๘/๑๘๑๔๖
                ๕๑๙๒. หยี, ต้น  เป็นไม้ยืนต้น สูงถึง ๓๐ เมตร ใบประกอบแบบขนนก ปลายคี่ มีใบย่อย ๕ - ๙ ใบ ออกสลับกันบนแกนใบ ดอกเล็ก ออกเป็นช่อแยกแขนงที่ปลายกิ่ง และตามง่ามใบใกล้ปลายกิ่ง สีขาว สมบูรณ์เพศ ผลรูปไข่มีขนคลุม ยาวประมาณ ๑๕ มม. มี ๑ - ๒ เมล็ด เมื่อสุกสีดำ เนื้อในผลมีรสเปรี้ยวอมหวาน บริโภคได้
                    เนื้อไม้หยี แข็งเหนียวและทนทานมาก ใช้ทำเสา เพลาเกวียน เสากระโดงเรือ และงานก่อสร้างทั่วไป            ๒๘/๑๘๑๕๒
                ๕๑๙๓. หรดาล  เป็นชื่อแร่ชนิดหนึ่ง มีบทนิยามว่า "แร่ชนิดหนึ่ง ประกอบด้วยธาตุสารหนู และกำมะถัน มีปรากฎในธรรมชาติสองชนิดคือ หรดาลแดง กับ หรดาลกลีบทอง"  สำหรับหรดาลกลีบทอง เป็นวัสถุสำคัญในการนำมาย่อยให้ละเอียด แล้วผสมน้ำกาวเขียนลายรดน้ำ ซึ่งเป็นงานวิจิตรศิลป์อย่างหนึ่ง ในศิลปะไทย ส่วนหรดาลแดง นั้นนำไปใช้อย่างอื่น
                    ประโยชน์ของหรดาล หรือน้ำยาหรดาล คือ ใช้เขียนลายบนแผ่นที่มีพื้นเป็นรัก เพื่อทำการปิดทองรดน้ำต่อไป จึงเรียกกันว่า ลายรดน้ำ เป็นกรรมวิธีทางศิลปะของไทย ที่สืบเนื่องกันมาช้านานไม่ต่ำกว่าสมัยอยุธยาตอนต้น หรือมากกว่านั้น             ๒๘/๑๘๑๕๓
                ๕๑๙๔. หรรษวรรธนะ  เรียกสั้น ๆ ว่า หรรษะ เป็นจักรพรรดิ์อินเดีย ครองจักรวรรดิ์ในอินเดียภาคเหนือ ระหว่างปี พ.ศ.๑๑๔๙ - ๑๑๙๐  มีอาณาเขตกว้างใหญ่จากแคว้นกาธยาวาร ทางตะวันตกไปถึงแคว้นเบงกอลตะวันออก มีโครงสร้างแบบระบบฟิวดัล คือ พระองค์ทรงปล่อยให้ราชาที่ยอมอ่อนน้อมครองต่อไป พระองค์กุมอำนาจในจักรวรรดิ์ ด้วยการเสด็จประพาสตรวจตราดินแดนของพระองค์อยู่ตลอดเวลา การสดับตรับฟังทุกข์สุขของราษฎร และพระราชทานความช่วยเหลืออย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย ทรงให้ความอุปถัมภ์ทั้งศาสนาพราหมณ์ (ฮินดู)  และศาสนาพุทธ โปรดเรื่องปรัชญาและวรรณกรรม เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์โดยไม่มีรัชทายาท จักรวรรดิ์ของพระองค์ก็แตกออกเป็นรัฐเล็ก ๆ             ๒๘/๑๘๑๕๕
                ๕๑๙๕. หริภุญชัย  เป็นชื่อหนึ่งของเมืองลำพูน แผนผังเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มุมบน กว้าง ๔๕๐ เมตร ยาว ๘๒๕ เมตร มีคูน้ำและคันดินล้อมรอบ ด้านทิศตะวันออกของตัวเมือง ติดกับลำน้ำกวง เคยเป็นแคว้นอิสระ นับตั้งแต่ก่อสร้างเมืองจนสิ้นสุดอำนาจลง เมื่อพญามังราย แห่งแคว้นเชียงราย เข้ายึดครองเมืองปี พ.ศ.๑๘๓๕ แล้วถูกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรล้านนา ในเวลาต่อมา
                    ประวัติการก่อตั้งเมืองหริภุญชัย มีอธิบายในตำนานประเภทอธิบายเหตุ โดยใช้ศาสนาภูมิประเทศเป็นองค์ประกอบ คาดว่าเมืองแห่งนี้สร้างขึ้นตอนต้นพุทธศตวรรษที่สิบสี่ ตำนานสำคัญที่กล่าวถึงเมืองหริภุญชัย ได้แก่ จามเทวีวงศ์ ชินกาลบาลีปกรณ์ มูลศาสนาและศาสนวงศ์ แต่งเป็นภาษาบาลี
                    เมื่อสร้างเมืองแล้วได้ทูลเชิญ พระนางจามเทวี ธิดาเจ้าเมืองลพบุรี ซึ่งขณะนั้นเป็นชายาเจ้าเมืองรามปุระ และทรงครรภ์อยู่ด้วยมาเป็นเจ้าเมือง พระนางครองเมืองไม่นาน ก็ประสูติโอรสแฝดสององค์ คือ มหันตยดิ และอนันตยศ ต่อมาเกิดการสู้รบกับกลุ่มคนพื้นเมืองชาวลัวะ ชาวลัวะแพ้ต้องถอยหนีไป
                    ประมาณปี พ.ศ.๑๕๐๐ พวกมิลักขะ จากเมืองยศมาลา ยกทัพมาตีเมืองหริภุญชัย สามารถยึดครองเมืองได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ
                    ประมาณปี พ.ศ.๑๕๕๐ - ๑๕๐๐  พญาอัตราสตกราช กษัตริย์เมืองหริภุญชัย ยกทัพไปตีเมืองลพบุรี แต่กองทัพเมืองนครศรีธรรมราช ได้ยกมาเพื่อจะยึดเมืองลพบุรี กองทัพเมืองลพบุรี กับกองทัพเมืองหริภุญชับ ถอยหนีไปทางเหนือ กองทัพเมืองลพบุรี เข้ายึดเมืองหริภุญชัยได้ก่อน กองทัพเมืองหริภุญชัยต้องถอยลงมาทางใต้ เกิดเหตุการณ์ระหว่างเมืองหริภุญชัย กับลพบุรี และอื่น ๆ อีกหลายครั้ง ก่อนที่พญามังราย เจ้าเมืองเชียงราย ยึดครองและผนวกเข้ากับอาณาจักรล้านนา
                    ต่อมาในปี พ.ศ.๑๘๐๐ ไทยอำมาตย์จากเมืองลำปาง ยกทัพมายึดเมืองหริภุญชัยได้ ต่อมาเมืองหริภุญชัยกลับมายึดเมืองคืนได้ ในที่สุดพญามังราย ได้ยกกองทัพเข้ามายึดเมืองหริภุญชัยได้ เมื่อปี พ.ศ.๑๘๓๕ พญาญีบา เจ้าเมืองลำพูน องค์สุดท้าย ต้องหนีไปอยู่เมืองลำปาง เป็นการสิ้นสุดความเป็นอิสระของเมืองหริภุญชัย ในปีนั้น            ๒๘/๑๘๑๕๙
                ๕๑๙๖. หริศจันทร์  เป็นพระราชาเชื้อสายราชวงศ์อิกษวากุ ได้ชื่อว่าเป็นผู้ยึดมั่นในคำสัตย์สัญญา             ๒๘/๑๘๑๖๔
                ๕๑๙๗. หลวิชัย  เป็นชื่อลูกเสือ ที่ฤาษีชุบขึ้นมาเป็นคนเรื่องคาวี ซึ่งเป็นนิทานพื้นบ้านโบราณ ปรากฎในรูปของวรรณคดี เรื่อง เสือโคคำฉันท์ สันนิษฐานว่าแต่งในสมัยอยุธยาตอนต้น ต่อมาพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงพระราชนิพนธ์เป็นบทละครนอก เรื่อง คาวี มีอยู่สี่ตอนคือ ตอนที่หนึ่ง ท้าวสันนุราช หานางผมหอม ตอนที่สอง ท้าวสันนุราชชุบตัว ตอนที่สาม นางคันธมาลีขึ้นเฝ้า ตอนที่สี่ คาวีรบกับไวยทัต            ๒๘/๑๘๒๖๗

    • Update : 27/5/2554
    © Copyright 2011 www.watnongmuang.com All rights reserved 999arch