หน้าแรก สมาชิก รายการวัตถุมงคล ตะกร้าวัตถุมงคล วิธีชำระวัตถุมงคล วิธีบูชาวัตถุมงคล ประวัติวัด ติดต่อวัด เว็บบอร์ด
สมาชิก Log in
อีเมล์
รหัสผ่าน
สมัครสมาชิกใหม่
ลืมรหัสผ่าน
















ค้นหาวัตถุมงคล
 
 
 
หมวดวัตถุมงคล
  เครื่องราง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง หลวงพ่อสวัสดิ์
  พระเครื่อง หลวงปู่พิมพ์มาลัย
  พระเครื่อง หลวงพ่อสง่า
วัตถุมงคลของคุณ
รหัสวัตถุมงคล ราคา จำนวน
ยังไม่มีวัตถุมงคลอยู่ในตะกร้า
  • ชำระค่าวัตถุมงคล
  • แก้ไขรายการวัตถุมงคล
  • วิธีสั่งบูชาวัตถุมงคล
  •  

    สารานุกรมไทยฉบับย่อ/93

    เล่ม ๑๙ ปิงคละ - ฝ้าย           ลำดับที่ ๓๕๕๑ - ๓๗๓๓   ๑๙/ ๑๑๘๓๗ - ๑๒๕๐๘

                ๓๕๕๑. ปิงคละ - พระเจ้า  เป็นราชาแห่งชาวกาสี ปกครองแผ่นดินโดยไม่เป็นธรรม ราษฎรเดือดร้อนไปทั่วหน้า ไม่มีความกรุณาปรานี จึงไม่เป็นที่รักของผู้ใดทั้งสิ้น ในครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นราชโอรสของพระองค์ เมื่อพระองค์สวรรคตแล้ว ประชาชนชาวเมืองพาราณสี และบรรดาข้าราชการพร้อมกัน ถวายอภิเษกพระโพธิสัตว์ ในรชสมบัติทรงปกครองบ้านเมือง โดยทศพิธราชธรรมประเพณี ฝนฟ้าก็ตกต้องตามฤดูกาล ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน ก็เจริญมั่งคั่งสมบูรณ์ องค์พระโพธิสัตว์ก็ทรงบำเพ็ญพระราชกุศล จนตราบสิ้นอายุขัย          ๑๙/ ๑๑๘๓๗
                ๓๕๕๒. ปิงปอง  เป็นกีฬาที่เป็นที่นิยมแพร่หลายของประเทศต่าง ๆ เกือบทั่วโลก มีลักษณะและวิธีการเล่นคล้ายกับกีฬาเทนนิสมาก จะต่างกันเพียงแต่กีฬาปิงปองนั้น เล่นบนโต๊ะที่จัดขึ้นมาเท่านั้น จึงมีชื่อเป็นทางการว่า เทเบิลเทนนิส คือ กีฬาเทนนิสที่เล่นบนโต๊ะ คำว่า "ปิงปอง" นี้ เป็นการเรียกชื่อตามเสียงของลูกเซลลูลอยด์ที่เกกิดขึ้นเมื่อกระทบกับไม้ที่ตีเป็น "ปิง" และเมื่อลูกกระทบกับโต๊ะเล่มมีเสียง "ปอง"
                        ลักษณะของการเล่นกีฬาปิงปอง เป็นการเล่นโดยใช้ไม้ตีลูกปิงปองให้ข้ามตาข่าย กลับไปกลับมาบนโต๊ะปิงปองที่กำหนดให้ การเล่นอาจจะเป็นการเล่นประเภทเดี่ยวหรือการเล่นประเภทคู่ก็ได้ ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้คะแนนครบ ๒๐ ก่อน จะเป็นฝ่ายชนะ      ๑๙/ ๑๑๘๓๙
                ๓๕๕๓. ปิณโฑล ภารทวาช  เป็นพระเถระพุทธสาวก ชั้นพระอสีติมหาสาวก ได้รับเอตทัคคะ คือ เลิศในทางบันลือสีหนาท ท่านเกิดในกรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ เป็นบุตรพราหมณ์มหาศาล เมื่อเจริญวัยได้ศึกษาศิลปวิทยาการ ได้ศึกษาไตรเพทเวทวคศาสตร์ จบเป็นอาจารย์บอกมนต์แก่มาณพจำนวนมาก มีผู้เคารพนับถือมาก ถึงนิมนต์ให้รับอาหารบิณฑบาตเหมือนพระภิกษุพุทธสาวก ภารทวาธนาณพ เที่ยวแสวงหาอาหารบิณฑบาตเช่นเดียวกับพระภิกษุ คนทั้งหลายจึงเรียกท่านว่า ปิณโฑล ภารทวาช
                        เมื่อคราวที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเวฬุวัน ทรงแสดงธรรมโปรดมหาชนอยู่นั้น วันหนึ่งท่านได้ฟังธรรม แล้วเกิดศรัทธาเลื่อมใสในพระศาสนา ทูลขอบรรพชาอุปสมบท หลังจากนั้นก็ได้เรียนพระกรรมฐาน ไม่นานเท่าใดก็ได้บรรลุพระอรหันต์ ในวันที่ท่านได้บรรลุพระอรหันต์ ท่านก็บันลือสีหนาทด้วยวาจาอันองอาจว่า ผู้ใดมีความเคลือบแคลงสงสัยในมรรคก็ดี ในผลก็ดี ผู้นั้นจงมาถามท่านเถิด พระพุทธองค์จึงประกาศยกย่องท่านว่า เป็นยอดของภิกษุผู้บันลือสีหนาท
                        ต่อมาในสมัยหนึ่ง มีเศรษฐีในกรุงราชาคฤห์คนหนึ่งไปได้ปุ่มไม้จันทน์แดงมาปุ่มหนึ่ง จึงให้ช่างกลึงเป็นบาตร แล้วก็คิดต่อไปว่า มีคนพูดกันว่าในโลกนี้ มีพระอรหันต์มาก ยังไม่ประจักษ์แก่ตาเราเลย จึงให้คนเอาลำไม้ไผ่ลำยาว ๆ มาปักต่อกันสูงประมาณ ๖๐ ศอก แล้วให้คนเอาบาตรไม้จันทน์ ไปแขวนไว้บนยอดเสาไม้ไผ่นั้น แล้วให้ประกาศว่า ใครเป็นพระอรหันต์ให้เหาะไปเอาบาตรนี้ มารับบิณฑบาต
                        กาลล่วงไปหกวัน ยังไม่มีใครเหาะเอาไปได้ ในเช้าวันที่เจ็ด พระมหาโมคคัลลาน จึงบอกแก่ท่านว่า คำกล่าวนี้หมายถึง พระพุทธศาสนาด้วย จึงขอให้ท่านเหาะไปเอาบาตรดังกล่าว ท่านจึงเข้าฌานสมาบัติแล้วเหาะไปเอาบาตร เมื่อกลับลงมาแล้วเศรษฐีก็ตักบาตรท่านด้วยจตุมธุรสเต็มบาตร คนทั้งหลายที่ไม่ทันได้เห็นปาฎิหารย์ของท่าน จึงต่างมาขอร้องให้ท่านทำอีก กลายเป็นเสียงอึกทึก พระพุทธองค์ทรงสดับแล้ว จึงโปรดให้ท่านเข้าเฝ้า ตรัสติท่านโดยเอนกปริยายว่า การแสดงอุตริมนุษยธรรมด้วยเหตุเพียงเท่านี้ ไม่เป็นการสมควรเลย แล้วทรงบัญญัติสิกขาบท ห้ามมิให้ภิกษุทั้งหลายทำปาฎิหารย์ ถ้าภิกษุใดทำ ภิกษุนั้นต้องอาบัติทุกกฎ
                ๓๕๕๔. ปิ่น  เป็นเครื่องประดับชนิดหนึ่ง มีลักษณะคล้ายขนเม่นใช้สำหรับปักมุ่นผม ผมจุก หรือผมมวย มิให้ผมรุ่ยหลุด
                         ปิ่น มีทั้งทำด้วยขนเม่น ไม้ เขาสัตว์ งาช้าง และโลหะมีค่าชนิดต่าง ๆ เช่น เงิน นาก และทองคำ          ๑๙/ ๑๑๘๔๕
                ๓๕๕๕. ปิ่นเกล้า  คือ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า ฯ ทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ห้าสิบ ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงเป็นสมเด็จพระอนุชาของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ ประสูติเมื่อปี พ.ศ.๒๓๕๑ ได้ทรงรับสถาปนาเป็น สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ เมื่อปี พ.ศ.๒๓๗๕ ในรัชกาลที่สี่ พระราชทานบวรราชาภิเษก เป็น สมเด็จพระปิ่นเกล้า ฯ สวรรคตเมื่อปี พ.ศ.๒๔๐๘
                        ในรัชกาลที่สี่ พระองค์ทรงดำรงตำแหน่ง กรมพระราชวังบวรสถานมงคล แต่การแต่งตั้งพระองค์ให้ทรงดำรงตำแหน่งนี้ แตกต่างไปจากสามรัชกาลแรก ด้วยเหตุว่า โปรดให้เป็นพระมหาอุปราช เทิดทูนพระเกียรติยศเสมอเหมือนพระเจ้าแผ่นดิน เช่นเดียวกับสมเด็จพระนเรศวร ฯ ทรงยกย่องสมเด็จพระเอกาทศรถ ราชอนุชา จึงโปรดให้แก้ไขประเพณีการฝ่ายกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ให้สมพระเกียรติพระเจ้าแผ่นดินหลายประการ กล่าวโดยย่อเป็นการเติมคำ "บรม" เป็นฝ่ายพระราชวังหลวง และคำ "บวร" เป็น ฝ่ายพระราชวังบวรสถานมงคล คู่กัน
                        พระองค์ทรงปฎิบัติราชการในหลายหน้าที่กล่าวคือ กำกับกรมทหารปืนใหญ่ กรมกองแก้วจินดา กรมทหารแม่นปืนหน้า แม่นปืนหลัง ญวนอาสารบ แขกอาสาจาม ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพเรือไปรบญวน เมื่อปี พ.ศ.๒๓๘๔ ทรงแปลตำราปืนใหญ่ฉบับภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย ทรงพยายามแสวงหาความรู้ ในวิทยาการแบบตะวันตกหลายอย่าง          ๑๙/ ๑๑๘๔๗
                ๓๕๕๖.  ปินโต เฟอร์นันโด เมนเดส  ในสมัยที่พวกเติร์ก ยึดครองกรุงคอนแสตนติโนเปิลนั้น ชาวโปร์ตุเกส และสเปน ซึ่งเคยอาศัยเส้นทางนี้เป็นทางผ่าน ไปติดต่อค้าขายกับทวีปเอเชีย จำต้องแสวงหาเส้นทางใหม่ จึงแข่งขันกันแสวงหาเส้นทางเดินเรือไปยังอินเดีย เฟอร์นันโด เมนเดส ปินโต เกิดในปี พ.ศ.๒๐๕๒ ได้เป็นไปกลาสีเรือ ปี พ.ศ.๒๐๖๗ เสปนได้ค้นพบทวีปอเมริกา ปินโตสนใจเรื่องนี้มาก จึงมีความปรารถนาจะเดินทางท่องเที่ยวโดยทางเรือ ไปตามประเทศต่าง ๆ เหตุนี้เขาจึงเดินทางโดยทางเรือเป็นเวลาเกือบ ๒๕ ปี
                        ในปี พ.ศ.๒๐๘๐ ปินโต ตั้งใจจะเดินทางไปยังอินเดียให้ได้ โดยเดินทางมากับกองเรือโปร์ตุเกสจนถึงเมืองดิอุใกล้กับบอมเบย์ แล้วถูกส่งตัวไปสำรวจของเรือรบของเติร์ก ซึ่งขณะนั้นกำลังแผ่ขยายอำนาจเข้ามาสู่อินเดีย เขาผจญภัยอยู่หลายครั้ง หลังจากนั้นสันนิษฐานว่าเขาเดินทางไปประเทศจีน เขาผจญภัยไปตามที่ต่าง ๆ เช่น พม่า มอญ สยาม และชวา พร้อมกับเขียนเล่าเหตุการณ์ และประสบการณ์แปลก ๆ ต่อมาได้เดินทางไปญี่ปุ่นและเดินทางกลับโปร์ตุเกสในปี พ.ศ.๒๑๐๑ หลังจากไปเกือบ ๓๕ ปี เขาเสียชีวิตเมื่อปี พ.ศ.๒๑๒๖ อายุได้ ๗๕ ปี          ๑๙/ ๑๑๘๕๗
                ๓๕๕๗. ปิยทัสสี  เป็นพระนามของพระพุทธเจ้าองค์ที่สิบสามในจำนวนพระพุทธเจ้ายี่สิบห้าพระองค์ นอกจากนี้ยังเป็นพระนามของพระราชาหลายองค์ และเป็นชื่อของบุคคลสำคัญหลายคน          ๑๙/ ๑๑๘๖๐
                ๓๕๕๘. ปิรามิด  เป็นสิ่งก่อสร้างด้วยหินที่มีขนาดใหญ่มหึมา เป็นสถาปัตยกรรมที่เป็นลักษณะเฉพาะของอียิปต์โบราณ สถาปัตยกรรมที่คล้ายคลึงกันนี้ พบบ้างในแมกซิโกและนูเบีย ปิรามิดคือหลุมฝังศพ ซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางสุสานโบราณ
                        ปิรามิดของอียิปต์ทั้งหมด ตั้งเรียงรายอยู่บนฝั่งซ้ายของแม่น้ำไนล์ จากกิเซห์ (ตะวันตกของกรุงไคโร) ลงไปทางใต้เป็นระยะทางประมาณ ๙๖ กม. ปิรามิดมีอยู่ประมาณ ๖๐ ลูก สร้างขึ้นระหว่างศตวรรษที่ ๒๒ - ๑๗ ก่อนพุทธกาล ปิรามิดเหล่านี้อยู่ในสภาพดีอยู่ประมาณ ๓๐ ลูก ที่เหลือเป็นซากปรักหักพัง
                        ปิรามิดลูกแรกสร้างขึ้นเมื่อศตวรรษที่ ๒๒ ก่อนพุทธกาล เรียกว่าปิรามิดขันบันไดแห่งซักการา ปิรามิดที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือกลุ่มปิรามิดที่กิเซห์ ประกอบด้วยปิรามิดใหญ่สามลูก ลูกใหญ่ที่สุดคือ ปิรามิดของฟาโรห์คีอคุปส์หรือคูฟู มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าปิรามิดใหญ่ เป็นสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุด ในบรรดาสิ่งก่อสร้างทั้งหมดที่มนุษย์เคยสร้างมา ฐานของปิรามิดแต่ละด้านยาว ๒๓๐.๔ เมตร สูงในแนวตั้งฉาก ๑๔๖.๖ เมตร คลุมพื้นที่ประมาณ ๓๒ ไร่ครึ่ง มีผู้กล่าววว่าปิรามิดแห่งนี้ใช้คนสร้างถึงหนึ่งแสนคน ใช้เวลายี่สิบปี จำนวนหินที่ใช้ ๒,๓๐๐,๐๐๐ ก้อน แต่ละก้อนเฉลี่ยหนักสองตันครึ่ง ปริมาตรของหินทั้งหมด ๔๓ ล้านลูกบาศก์เมตร
                        ปิรามิดเป็นที่ฝังศพเฉพาะพระราชวงศ์เท่านั้น ปิรามิดลูกหนึ่งจะบรรจุร่างของผู้ตายแต่เพียงร่างเดียว
                        จากการสำรวจปิรามิดทั้งหมดพบว่าด้านข้างของปิรามิดนั้นหันไปสู่ทิศทั้งสี่ ปิรามิดแต่ละลูกราบยล้อมด้วยกำแพงเตี้ย ๆ อาจจะมีวิหารตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก        ๑๙/ ๑๑๘๖๓
                ๓๕๕๙. ปิรันยา - ปลา  เป็นปลามีฟันที่ดุร้าย กลุ้มรุมกัดกินสัตว์ที่รุกล้ำลงไปในแหล่งน้ำ อันเป็นที่อยู่อาศัยของมัน มีถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปอเมริกาใต้          ๑๙/ ๑๑๘๖๕
                ๓๕๖๐. ปิศาจปกรณัม  เป็นชื่อหนังสือที่รวมนิทานโบราณเล่มหนึ่ง คงจะแปลจากต้นฉบับเดิมในอินเดีย แล้วมาเรียบเรียงตกแต่งเพิ่มเติมใหม่ในภาคไทย เป็นหนังสือที่มีมาแต่ครั้งอยุธยา
                        การแต่งเรื่องปิศาจปกรณัม ก็เป็นแบบเดียวกับปักษีปกรณัม เวตาลปกรณัม นนทกปกรณัม และหิโตปเทศวัตถุปกรณัม กล่าวคือในการดำเนินเรื่องนั้น จะมีการเล่านิยายแทรกเข้าไปเป็นตอน ๆ ทำนองนิทานซ้อนนิทาน
                        ปิศาจปกรณัมในพากย์ภาษาไทย เนื้อเรื่องส่วนใหญ่แต่งเป็นร้อยแก้ว แต่บางตอนแต่งเป็นกลอนสุภาพและกาพย์ฉบัง          ๑๙/ ๑๑๘๖๗
                ๓๕๖๑. ปี  หมายถึง วระยะเวลาที่โลกเดินไปรอบดวงอาทิตย์ครั้งหนึ่งหรือรอบหนึ่ง ซึ่งทางคำนวณกะประมาณกันว่ามีราว ๓๖๕ วัน คิดเป็นมาตรฐานเดือน ปีมี ๑๒ เดือน ตามระบบสุริยคติปีปฏิทิน กำหนดระยะเวลาตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคมไปถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม นับเป็นหนึ่งปี นี้กล่าวความตามเกณฑ์ปรกติ ถ้าจะกล่าวโดยหลักวิชาปีหนึ่งมี ๓๖๕ วันก็มี และมี ๑๓ เดือนก็มีในบางปี อธิบายหลักประกอบคือ
                         ๑. อธิกมาส  เรียกเดือนที่เพิ่มขึ้นในปีนั้นเพิ่มเดือนขึ้นอีก หนึ่งเดือนจากสิบสองเดือนปรกติ เป็นสิบสามเดือน เป็นปีอธิกมาสเรียกว่า ปีมีเดือนแปดสองแปด
                         ๒. อธิกวาร  เรียกวันที่เพิ่มขึ้นทางปีจันทรคติคือ ในปีนั้นเดือนเจ็ดซึ่งตามปรกติมี ๒๙ วัน เป็นเดือนขาด วันแรมสิบสี่ค่ำเป็นวันดับ เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งวันเป็นเดือนมี ๓๐ วัน แรมสิบห้าค่ำเป็นวันดับ เดือนขาดกลับเป็นเดือนถ้วนไป
                         ๓. อธิกสุรทิน  เรียกวันทางสุริยคติที่เพิ่มขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์อีกวันหนึ่ง ซึ่งตามปรกติเดือนกุมภาพันธ์มี ๒๘ วัน เพิ่มขึ้นจาก ๒๘ วันเป็นเดือนมี ๒๙ วัน
                                (ดูปฏิทินตอนว่าด้วยปี - ลำดับที่ ๓๒๕๘  ประกอบด้วย)
                         ตามหลักสุริยคติ ชั่วระยะเวลาที่โลกเดินไปรอบดวงอาทิตย์ครั้งหนึ่งหรือรอบหนึ่ง นับระยะเวลานี้ว่าหนึ่งปี ปีหนึ่งมีสิบสองเดือน
                         จักรวาลนี้ในทางยคำนวณ ท่านแบ่งออกตามหมู่ดาวกฤษ์ (นักษัตรฤกษ์) ที่หมุนผ่านอยู่นั้นเป็นสิบสองส่วน แต่ละส่วนเรียกว่าราศื เช่นหมู่ดาวที่เนรียกว่าราษีเมษ กลุ่มดาวกฤษ์นั้นเมื่อโลกเดินหรือหมุนรอบดวงอาทิตย์รอบหนึ่งต้องผ่านราศีหรือกลุ่มดาวทั้งสิบสองหมู่นั้น กินระยะเวลาหนึ่งงปีหรือราวสิบสองเดือนและราว ๓๖๕ วัน วิธีแบ่งจักรวาลออกเป็นสิบสองส่วนหรือสิบสองราศีตามวิถีอาทิตย์ ส่วนละเท่า ๆ กัน เรียกว่าจักรราศี จักรราศีเหล่านี้มีนามบัญญัติและความหมายดังนี้
                        เมษ - แกะ มีน - ปลาสองตัว กุมภ์ - คนกับหม้อน้ำ มังกร - มังกร ธนู - คนถือธนู พิจิก -อแมลงป่อง ตุลย์ - ตราชู กันย์ - หญิงสาว สิงห์ - สีห กรกฎ - ปู เมถุน - ชายกับหญิง พฤกษภ - โค
                       ในทางโหราศาสตร์ท่านกล่าวว่าเวลาอันจำปรารถนาสำหรับดาวเคราะห์ทั้งหลายที่โคจรราศีหนึ่งนั้น เป็นหลักสำคัญในการกำหนดเวลาของโลก ท่านจึงได้คำนสณไว้เป็นอัตรากำหนดทุกพระเคราะห์ ในที่นี้จะกล่าวแต่พระอาทิตย์ เพราะพระอาทิตย์เกี่ยวกับมาตรากำหนดกาลปี พระอาทิตย์โคจรจากราศีหนึ่งไปสู่อีกราศีหนึ่งกินเวลาหนึ่งเดือน พระอาทิตย์จะต้องโคจรกินเวลาสิบสองเดือนจึงจะรอบจักรวาล กำหนดว่าเป็นเวลาหนึ่งปี
                        วัน เดือน ปี ย่อมจัดตามหมู่พระเคราะห์ที่ผ่านไป แต่มีระยะเวลาต่างกัน
                        นามนักษัตริย์ประจำปี ตามลำดับปีคือ ชวด - หนู  ฉลู - วัว  ขาล - เสือ  เถาะ - กระต่าย  มะโรง - งูใหญ ่ มะเส็ง - งูเล็ก  มะเมีย - ม้า  มะแม - แพะ  วอก - ลิง  ระกา - ไก่  จอ - หมา  กุน - หมู
                        ตามหลักนี้ท่านให้นับปีชวดเป็นปีต้นที่หนึ่งไปจนถึงปีกุนอันเป็นปีปลายที่สิบสอง เป็นระยะเวลาสิบสองงปีเรียกว่าหนึ่งรอบ (รอบนักษัตร)                      ๑๙/ ๑๑๘๖๙
                ๓๕๖๒. ปี่  เป็นเครื่องดนตรีประเภทเป่าลมที่ใช้ลิ้นอย่างหนึ่ง ไม่เหมือนขลุ่ย ซึ่งถึงจะเป็นเครื่องเป่าลมเหมือนกัน แต่ก็ไม่ไม่ได้ใช้ลิ้น คือใช้เป่าหรือผิวลมลงไปในตัวขลุ่ยโดยตรงทีเดียว
                        ปี่ที่ใช้ในวงการดนตรีไทยมีอยู่หลายชนิด ถ้าเรียกว่า "ปี่" เฉย ๆ หมายถึง ปี่ไทยที่ใช้กันอยู่ในวงปี่พาทย์อันได้แก่ ปี่นอก ปี่นอกต่ำ ปี่กลาง และปี่ใน นอกจากนั้นยังมีปี่อ้อ ซึ่งเคยใช้อยู่ในวงเครื่องสายไทยมาก่อน แต่ต่อมาได้เลิกใช้ เพราะเอาขลุ่ยเพียงออกับขลุ่ยหลีบเข้ามาใช้แทนอีกด้วย
                        ทางภาคเหนือมีปี่ชนิดหนึ่งเรียกว่า "ปี่ซอ" หรือ "ปี่จุม" หรือ "ปี่พายัพ" ใช้เล่นกับวงดนตรีพื้นเมืองที่เรียกว่าวง "ซอเมือง"
                        นอกจากปี่ที่เป็นของไทยดังกล่าวแล้ว ยังมีปี่ที่ได้แบบอย่างมาจากประเทศเพื่อบ้านเช่น ปี่ไฉน ปี่ชวา และปี่มอญ เป็นต้น
                        ปี่ทุกชนิดที่กล่าวมามีลักษณะเหมือนกันหมด เพียงแต่มีขนาดสั้นยาวผิดกัน และตั้งเสียงไว้ต่างกันเท่านั้น ปรกติแล้วจะทำตัวปี่ด้วยไม้แก่น มีไม้ชิงชันและไม้พยุง เป็นต้น ที่ทำด้วยงาและทำด้วยหินทั้งเลาก็มี ตัวปี่หรือเลาปี่นั้น กลึงให้เป็นรูปป่องตรงกลาง และบานหัวท้ายออกข้างละเล็กน้อยพองาม ภายในเลาปี่เจาะรูกลวงตลอด ตั้งแต่หัวถึงท้าย โดยตอนหัวเจาะกว้างเล็กน้อย พอให้เอากำพวดปี่ปักลงไปแน่นพอดี โดยทั่วไปถ้าเป็นปี่ใน ก็เจาะกว้างราว ๗ มม. ตอนกลางปี่จะเจาะรูไว้หกรูด้วยกัน มีไว้สำหรับใช้นิ้วปิดลงไปเป็นเสียงต่าง ๆ กว่ายี่สิบเสียงด้วยกัน          ๑๙/ ๑๑๘๗๔
                ๓๕๖๓. ปีก - ปลา  เป็นชื่อปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์เดียวกันกับปลาตะเพียน มีรูปร่างคล้ายปลาตะเพียนขาว มีลำตัวกว้างมาก และแบนข้างมากด้วย มีอยู่ทั่วไปทางลุ่มแม่น้ำภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง          ๑๙/ ๑๑๘๙๘
                ๓๕๖๔. ปีกแดง - ปลา  ชาวบ้านเรียกว่า ปลาสร้อย หรือปลาดอกงิ้ว เป็นปลาน้ำจืด มีอยู่ด้วยกันประมาณ ๑๕ ชนิด ตามรายงานที่พบในประเทศไทยและเรียกกันว่า ปลาสร้อย เกือบทั้งนั้น รูปร่างลำตัวค่อนข้างยาว ลำตัวกว้างไม่มาก พบอยู่ทั่วไปในลุ่มน้ำ และอ่างเก็บน้ำในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง           ๑๙/ ๑๑๙๐๐
                ๓๕๖๕. ปี่แก้ว - งู  มีอยู่หลายชนิดในประเทศไทยพบถึง ๑๒ ชนิด งูในสกุลนี้ไม่มีพิษ แต่มีนิสัยดุ จะกัดเมื่อไปถูกตัวเข้า          ๑๙/ ๑๑๙๐๑
                ๓๕๖๖. ปีเตอร์ - นักบุญ  ชาวไทยคริสต์ฝ่ายคาทอลิกเรียกว่า นักบุญเปโตร ส่วนฝ่ายโปรเตสแตนต์เรียกว่า ท่านเปโตร
                        ปีเตอร์ เป็นชาวยิว เกิด ณ ตำบลเบทโซดา ริมทะเลสาป กาลิเล ทางตอนเหนือของประเทศปาเลสไตน์ ในขณะนั้น ปีเตอร์ประกอบอาชีพ เป็นเจ้าของการประมงขนาดกลาง ออกจับปลาเป็นประจำในทะเลสาบกาลีเล ทั้งปีเตอร์และน้องชายมีความใฝ่ฝันเหมือนชาวยิวจำนวนมาก ในขณะนั้นว่า จะได้มีส่วนร่วมมือกับทูตของพระเจ้า ในการกอบกู้อิสรภาพจากอำนาจปกครองของชาวโรมัน ทั้งสองจึงสมัครเป็นศิษย์ของท่านโยฮัน นักพรตแห่งแม่น้ำจอร์แดน ครั้นท่านโยฮันชี้แจงว่า พระเยซูเป็นทูตของพระเจ้าทั้งสองก็หันมาสนใจพระเยซู จนกลายเป็นสาวกของพระเยซูในที่สุด และปีเตอร์ได้รับแต่งตั้งเป็นหัวหน้าของสาวกทั้งหลาย เมื่อพระเยซูล่วงลับไปแล้ว ปีเตอร์ก็ออกเผยแพร่ศาสนาคริสต์ ในที่ต่าง ๆ ในอาณาจักรโรมัน และถูกประหารชีวิตในกรุงโรม ตามพระราชกฤษฎีกาห้ามนับถือคริสต์ศาสนาของจักรพรรดิ์เนโร เมื่อประมาณปี พ.ศ.๖๐๗ ตำนานเล่าว่าถูกประหารโดยตรึงกางเขน แต่ปีเตอร์ขอร้องเพชรฆาตให้เอาศีรษะลง เพื่อมิให้เหมือนพระเยซู
                        มีปัญหาถกเถียงกัน ระหว่างนิกายโรมันคาทอลิกฝ่ายหนึ่งกับ นิกายออร์โทดอกซ์ และนิกายโปเตสแต้นต์ฝ่ายหนึ่งว่า ตำแหน่งของปีเตอร์ ในฐานะของประธานของคณะสาวก และประมุขของคริสตจักร มีการถ่ายทอดสืบตำแหน่งได้หรือไม่ ฝ่ายแรกยืนยันว่า ตำแหน่งบิชอป แห่งกรุงโรม เป็นตำแหน่งสืบต่อจากปีเตอร์ จึงสืบตำแหน่งประมุขของคริสต์จักรด้วย  ซึ่งต่อมาเรียกตำแหน่งนี้ว่า สันตะปาปา ฝ่ายหลังอ้างว่า ไม่เคยมีหลักฐานการมอบหมายตำแหน่งดังกล่าว ตำแหน่งประมุขของคริสต์จักร จึงสิ้นสุดลงพร้อมกับมรณกรรมของปีเตอร์
                        ปีเตอร์ นิพนธ์จดหมายไว้สองฉบับที่เป็นส่วนหนึ่งของคัมภีร์ไบเบิล ภาคพันธสัญญาใหม่ เป็นจดหมายถึงลูกศิษย์ เพื่อตักเตือนให้ยึดมั่นในศรัทธาต่อพระเยซู            ๑๙/๑๑๙๐๒
                ๓๕๖๗. ปีโตรเลียม ปิโตรเลียม คือ น้ำมันดิบ แก๊สธรรมชาติ แก๊สธรรมชาติเหลว สารพลอยได้ และสารประกอบไฮโครคาร์บอนอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ และอยู่ในสภาพเป็นอิสระ แต่ไมีรวมถึงถ่านหิน หินน้ำมัน หรือหินอื่น ที่สามารถนำมากลั่นเพื่อแยกเอาน้ำมัน ด้วยการใช้ความร้อนหรือกรรมวิธีทางเคมี
                        ปีโตรเลียม เป็นสารจำพวกเชื้อเพลิงชนิดหนึ่ง ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติถูกกักเก็บอยู่ในชั้นหิน ใต้พื้นดินในสภาพ ก๊าส ของเหลว ของหนึด หรือของแข็ง ในทางเคมีถือว่าปีโตรเลียมเป็นสารประกอบ พวกไฮโดรคาร์บอน ที่มีไนโตรเจน ออกซิเจน และกำมะถัน เป็นสิ่งเจือปนอยู่บ้างเรียก ปีโตรเลียมเหลวว่า น้ำมันดิบ ส่วนที่เป็นแก๊สเรียก แก๊สธรรมชาติ ที่เป็นของหนึด ได้แก่ สารจากแอสฟัลต์
                        มนุษย์รู้จักปีโตรเลียมครั้งแรกในรูปของแอสฟัลต์ ที่ไหลขึ้นมาสู่ผิวดิน ซึ่งนำมาใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง ต่อมาการใช้ประโยชน์ของปีโตรเลียม ได้แพร่หลายไปเรื่อย ๆ จนถึงเริ่มต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๕ ได้มีการประดิษฐ์เครื่องยนต์เผาไหม้ภายในขึ้น จึงทำให้อุตสาหกรรมปีโตรเลียมเจริญก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว
                          การกำเนิดปีโตรเลียม  ปีโตรเลียมมีกำเนิดจากสารอินทรีย์ ที่สะสมรวมกับตะกอนในอดีต เป็นเวลาหลายๆ ล้านปี
                          ประโยชน์และผลิตภัณฑ์จากปีโตรเลียม  แหล่งผลิตปีโตรเลียมที่สำคัญของโลก มีอยู่สี่แห่งด้วยกันคือ สหรัฐอเมริกา ตะวันออกกลาง กลุ่มประเทศแถบทะเลแคริบเบียน และสหภาพโซเวียต
                          ปีโตรเลียม ที่ขุดขึ้นมาจากบ่อ จะต้องนำไปกลั่นแยกเสียก่อน เพื่อนำไปใช้ประโยชน์นานาชนิด          ๑๙/ ๑๑๙๐๓
                ๓๕๖๘. ปีทากอรัส  (ประมาณ ๓๗ ปี ก่อน พ.ศ.- พ.ศ.๔๓)  เป็นปรัชญาเมธีและนักคณิตศาสตร์ของกรีก คำสอนของท่านมีอิทธิพลมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในวิชาคณิตศาสตร์ ยิ่งกว่านั้นท่านยังได้เป็นผู้ค้นพบหลักสำคัญ ๆ อีกเป็นจำนวนมาก ในสาขาวิชาดนตรี ซึ่งต่อมาได้วางรากฐานเป็นหลักทฤษฎีของวิชาศิลปะ ปรัชญา วิทยาศาสตร์ ศีลธรรม และการประพันธ์
                        ปีทากอรัส ได้นำหลักวิทยาศาสตร์ และความลี้ลับของศาสนาเข้ามาเชื่อมโยงกัน ท่านเป็นผู้ที่มีอิทธิพลต่อพลาโต และโพลตินุสมาก ท่านได้ท่องเที่ยวไปอย่างกว้างขวาง ในกลุ่มประเทศตะวันออกคือ อาระเบีย ซีเรีย ฟินิเซีย คาลเดีย อินเดีย และกอล และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในอียิปต์
                        ปีทากอรัส ได้ตั้งสำนักขึ้น เพื่อสอนลัทธิความเชื่อของท่านเอง เกี่ยวกับเรื่องอมฤตภาพและการเกิดใหม่ เพราะท่านระลึกชาติได้ ท่านจึงเชื่อว่า หลังจากที่คนเราตายไปแล้ว ดวงวิญญาณแต่ละดวง จะเข้าไปสิงสถิตอยู่ในร่างคนอื่น หรือบางครั้งเข้าไปอยู่ในสัตว์ได้
                        นอกจากลัทธิว่าด้วยการเกิดใหม่ ซึ่งเป็นวิธีศึกษาแบบวิทยาศาสตร์ที่เน้นถึงการทำใจให้บริสุทธิ์ หรือปลดปล่อยจิตใจให้เป็นอิสระจากเครื่องเศร้าหมองทั้งหลายแล้ว เราก็ไม่สามารถเข้าใจหลักเกณฑ์สำคัญในลัทธิของท่านได้ละเอียดนัก
                        ปีทากอรัส เป็นผู้หนึ่งในบุคคลกลุ่มแรกที่เชื่อกันว่า โลกและจักรวาลมีสัณฐานกลม ท่านเชื่อว่าโลก ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และดาวพระเคราะห์อื่น ๆ ต่างก็โคจรไปตามจักรราศี และต่างก็เป็นอิสระในตัวเอง
                        หลักคำสอนในสำนักปิทากอรัส ประกอบด้วยคำสอนที่สำคัญเจ็ดข้อได้แก่
                        ๑. ความเป็นจริงพื้นฐานของโลก มีโครงสร้างแน่นอนตายตัว และคำนวณได้ตามสูตรคณิตศาสตร์
                        ๒. โครงสร้างเหล่านี้ มิเป็นเพียงพื้นฐานที่ดีกว่าโครงสร้างอื่น ๆ เท่านั้น หากยังมีความงามทางด้านสุนทรียะมากกว่า แสดงให้เห็นง่าย ๆ ความมีระเบียบ และความสอดคล้องตามอัตราส่วน ทางด้านคณิตศาสตร์ดีกว่าอีกด้วย
                        ๓. โครงสร้างที่มีรายละเอียดต่างกันอย่างผิวเผิน อาจมีพื้นฐานอย่างเดียวกันก็ได้ ความจริงในระหว่างสิ่งที่มีชีวิต กับสิ่งที่ไม่มีชีวิตและระหว่างจิตของมนุษย์กับเอกภพทั้งมวลนั้น จะมีสัมพรรคภาพ หรือความรู้สึกร่วมกันอยู่อย่างหนึ่ง ที่แพร่คลุมซึมซาบทั่วไปหมด
                        ๔. ความรู้สึกร่วมกันทั่วเอกภพนี้ ได้เปิดโอกาสให้สามารถปรับปรุงศีลธรรมให้มีขึ้น โดยการปรับจิตแต่ละดวง ให้ดำเนินไปตามระเบียบของเอกภาพได้
                        ๕. ความรู้สึกร่วมกันทั่วเอกภาพ ยังบันดาลให้มนุษย์เรามีความหวัง ที่จะก้าวหน้าไปสู่ชีวิตระดับอภิมนุษย์ และแม้แต่อมฤตภาพ ก็อาจบรรลุถึงได้ โดยอาศัยกรรมวิธีในการชำระจิตใจให้บริสุทธิ์ ในทำนองเดียวกันมนุษย์ก็อาจตกสู่ระดับชีวิตที่ต่ำกว่ามนุษย์ได้
                        ๖. เราจะบรรลุถึงความรู้หรือความเข้าใจได้ ก็โดยอาศัยการเข้าสมาธิเท่านั้น
                        ๗. การศึกษาคณิตศาสตร์เป็นพื้นฐานที่จำเป็นต่อความเจริญก้าวหน้า ทั้งด้านสติปัญญาและจิตใจ         ๑๙/ ๑๑๙๑๐


    • Update : 27/5/2554
    © Copyright 2011 www.watnongmuang.com All rights reserved 999arch