หน้าแรก สมาชิก รายการวัตถุมงคล ตะกร้าวัตถุมงคล วิธีชำระวัตถุมงคล วิธีบูชาวัตถุมงคล ประวัติวัด ติดต่อวัด เว็บบอร์ด
สมาชิก Log in
อีเมล์
รหัสผ่าน
สมัครสมาชิกใหม่
ลืมรหัสผ่าน
















ค้นหาวัตถุมงคล
 
 
 
หมวดวัตถุมงคล
  เครื่องราง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง หลวงพ่อสวัสดิ์
  พระเครื่อง หลวงปู่พิมพ์มาลัย
  พระเครื่อง หลวงพ่อสง่า
วัตถุมงคลของคุณ
รหัสวัตถุมงคล ราคา จำนวน
ยังไม่มีวัตถุมงคลอยู่ในตะกร้า
  • ชำระค่าวัตถุมงคล
  • แก้ไขรายการวัตถุมงคล
  • วิธีสั่งบูชาวัตถุมงคล
  •  

    สารานุกรมไทยฉบับย่อ/17

    เล่ม ๗ แคกสตัน - จรดพระนังคัล       ลำดับที่ ๑๑๔๘ - ๑๒๘๗      ๗/ ๓๘๘๓ - ๔๕๔๖

                ๑๑๔๘. แคกสตัน, วิลเลียม  (พ.ศ.๑๙๖๔ - ๒๐๓๔)  เป็นบุคคลคนแรกที่ดำเนินกิจการพิมพ์ในอังกฤษ เมื่อปี พ.ศ.๒๐๑๙ ขณะนั้นมีเมืองต่าง ๆ ในยุโรปได้มีโรงพิมพ์ขึ้นก่อนแล้วถึง ๗๐ เมือง          ๗/ ๓๘๘๓
                ๑๑๔๙. แคชเมียร์  ดู กัษมีระ (ลำดับที่ ๓๓๖)           ๗/ ๓๘๘๓
                ๑๑๕๐. แคดเมียม  เป็นโลหะมักมีอยู่เป็นจำนวนน้อย ในสินแร่สังกะสี ส่วนมากเป็นผลพลอยได้ ในการถลุงโลหะสังกะสี จากสินแร่ของสังกะสี
                            แคดเมียม เป็นโลหะสีขาวคล้ายเงิน เป็นโลหะอ่อน ถ้าตั้งทิ้งไว้ในอากาศจะรวมกับออกซิเจนอย่างช้า ๆ ตรงผิว ๆ เปลี่ยนเป็นแคดเมียมออกไซด์ ประโยชน์ที่สำคัญของแคดเมียม ได้แก่ การอาบเหล็ก และเหล็กหล้าเพื่อกันสนิม          ๗/ ๓๘๘๔
                ๑๑๕๑. แคทลิยา  ดู คัทลิยา (ลำดับที่ ๑๐๐๖)            ๗/ ๓๘๘๕
                ๑๑๕๒. แคน  แคนในภาษาไทยภาคอีสาน หมายความได้หลายอย่างคือ
                             ๑. ชื่อต้นไม้ ตรงกับภาษาไทยภาคกลางว่า ตะเคียน
                             ๒. หมายความว่า ขาดเขิน ขาดแคลน
                             ๓. หมายความว่า ค่อยยังชั่ว หรือค่อยทุเลาเบาบางลง
                             ๔. เป็นชื่อของเครื่องดนตรีชนิดหนึ่ง ใช้เป่าเป็นเพลง ทำด้วยไม้ชนิดหนึ่งเรียกว่า ไม้คู่แคน เป็นตระกูลไม้ไผ่ เข้าใจว่าเป็นไม้ชนิดเดียวกันกับที่ ภาคกลางเรียกว่า ไม้ซาง
                            แคน ประกอบด้วย ไม้คู่แคน ไม้เต้าแคน หลาบโลหะ ขี้สูด (ชันนะรง)
                            ประเภทของแคน  เมื่อจัดเป็นประเภทตามจำนวนของไม้คู่แคน ที่ประกอบขึ้นเป็นแคน จะมีอยู่สี่ชนิด เรียกตามจำนวนลูกแคน คือ
                             แคนหก  ทำด้วยไม้ลูกแคนหกลำ ข้างละสามลำ แคนชนิดนี้สำหรับเด็กเป่าเล่น และใช้เป่าเพลงง่าย ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพลงตับเต่า
                             แคนเจ็ด  ทำด้วยไม้ลูกแคนเจ็ดคู่ คือ  ๑๔ ลำข้างละ ๗ ลำ ใช้ได้ทั้งเป็นแคนเดี่ยว และแคนวง
                             แคนแปด  ทำด้วยไม้ลูกแคนแปดคู่ คือ ๑๖ ลำ ข้างละ ๘ ลำ
                             แคนเก้า  ทำด้วยไม้ลูกแคนเก้าลูก คือ ๑๘ ลำ ข้างละ ๙ ลำ
                             แคนแปด  และแคนเก้า ใช้เป็นแคนเดี่ยว สำหรับเป่าประสานเสียงกับการขับร้อง ที่เรียกว่า "ลำ" เท่านั้น จะใช้เป็นแคนวงไม่ได้
                            วิธีเป่าแคนและชื่อเพลงแคน วิธีเป่าแคนใช้ริมฝีปากจดกับปากเต้า แล้วพ่นลมลงไปในรูเต้าแคน และใช้นิ้วมือปิดรูนับของลูกแคน เพื่อให้เกิดเสียงตามที่ต้องการ และเป่าให้เป็นเพลงต่าง ๆ เพลงหลักของแคนมีห้าเพลงคือ สุดคะแนน โป้ซ้าย ส้อยใหญ่ ส้อยน้อย ลายยาว ส่วนเพลงอื่น ๆ ก็แยกจากเพลงเหล่านี้           ๗/ ๓๘๘๕
                ๑๑๕๓. แคนซัส  เป็นมลรัฐหนึ่งในประเทศสหรัฐอเมริกา จัดเป็นศูนย์กลางประเทศทางภูมิศาสตร์ ทางเหนือเป็นรัฐเนบราสกา ทางตะวันออกเป็นรัฐมิสซูรี ทางใต้เป็นรัฐโอกลาโฮมา และทางตะวันตกเป็นรัฐโคโลราโด เมืองหลวงคือ โตปิกา
                           ดินแดนรัฐแคนซัส มีพวกผิวขาวเข้ามาเป็นครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ.๒๐๘๔ เป็นนักสำรวจชาวสเปน ต่อมาในปี พ.ศ.๒๒๖๒  พ่อค้าฝรั่งเศสเข้ามาค้าขายขนสัตว์กับพวกอินเดียนแดง ฝรั่งเศสจึงถือว่าดินแดนนี้เป็นของตน ต่อมาในปี พ.ศ.๒๓๔๖ สหรัฐอเมริกาได้ครอบครองดินแดนนี้ และได้เป็นมลรัฐหนึ่ง เมื่อปี พ.ศ.๒๔๐๔ นับเป็นรัฐที่ ๓๔          ๗/ ๓๙๐๙
                ๑๑๕๔. แคนเตอร์เบอรี่  เป็นวิหารนครแห่งหนึ่ง และอาร์คบิชอฟ ในวิหารนครนี้เป็นผู้นำทางศาสนานิกาย เชิร์ต ออฟ อิงแลนด์ อันเป็นศาสนาประจำชาติของอังกฤษ
                           ที่แคนเตอร์เบอรี่ นี้ได้มีผู้คนมาตั้งถิ่นฐานอยู่แล้วหลายร้อยปีก่อนคริสตกาล เมื่อชาวโรมันเข้ามาก็ได้มาสร้างเมืองขึ้น เมื่อชาวโรมันละทิ้งหมู่เกาะบริเตนไปแล้ว ในพุทธศตวรรษที่ ๑ แคนเตอร์เบอรี่ก็กลายเป็นนครหลวงแห่งอาณาจักรเคนท์ไป นครนี้ได้เป็นฐานที่ตั้งของนักเผยแพร่ศาสนาชื่อ เซนต์ ออกัสติน เมื่อปี พ.ศ.๑๑๔๐ และได้สร้างวิหารแคนเตอร์เบอรี่ ขึ้น          ๗/ ๓๙๑๑
                ๑๑๕๕. แคนนิง, ยอร์ช  (พ.ศ.๒๓๑๓ - ๒๓๗๐)  เป็นรัฐบุรุษอังกฤษ ชื่อเสียงของเขาส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับนโยบาย การต่างประเทศคือ นโยบายที่จะไม่เข้าไปแทรกแซงใคร และการให้ความอุปถัมภ์ต่อคววามเคลื่อนไหวทางด้านชาตินิยม และเสรีนิยมในยุโรป           ๗/ ๓๙๑๓
                ๑๑๕๖. แคนเบร์รา  เป็นเมืองหลวงของประเทศออสเตรเลีย ซึ่งตั้งอยู่ในแคพิทัล เทร์ริทอรี อันเป็นอาณาเขตที่แยกไว้เป็นพิเศษ อยู่ในรัฐนิวเซาท์เวลส์ เริ่มสร้างเมือง เมื่อปี พ.ศ.๒๔๕๖ ในขณะนั้นรัฐสภาของประเทศออสเตรเลีย ยังอยู่ที่เมืองเมลเบอร์น จนถึงปี พ.ศ.๒๔๗๐  นับแต่นั้นมาเจ้า๗/ที่ในหน่วยงานของรัฐ ก็ได้ย้ายเข้ามายังแคนเบร์รา

    แคนเบร์รา เป็นศูนย์กลางการเมืองและการศึกษามากกว่าที่จะเป็นนครแห่งการค้า และอุตสาหกรรม และยังเป็นศูนย์กลางการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่สำคัญอีกด้วย          ๗/ ๓๙๒๔
                ๑๑๕๗. แค้ม, น้ำหมึก - ปลา  อยู่ในวงศ์ตะเพียน เป็นปลามีเกล็ด ชอบอยู่ในลำธารน้ำใสเย็น ตามภูเขา หรือเนินสูง มีชุมมากในลุ่มแม่น้ำปิง และแม่น้ำโขง          ๗/ ๓๙๒๖
                ๑๑๕๘. แครง - หอย  เป็นหอยสองกาบ ตัวป้อม เป็นอาหารสำคัญอย่างหนึ่งในภาคตะวันออก  บางแห่งมีการเลี้ยงหอยชนิดนี้ในน้ำกร่อย มันเจริญเติบโตได้ดีในน้ำทะเล ในน้ำใส และที่แจ้ง        ๗/ ๓๙๒๘
                ๑๑๕๙. แคลคูลัส  เป็นวิชาที่คำนวณการเปลี่ยนแปลง หรือการเติบโตของขนาดต่าง ๆ ตลอดจนการเคลื่อนที่ของวัตถุนอกพิภพ เราสามารถนำมาประยุกต์ หาพื้นที่ส่วนโค้ง ซึ่ง อาร์คี มีดิส ได้แสดงวิธีหาไว้เมื่อพุทธศตวรรษที่สาม โดยการลากเส้นตรงหลาย ๆ เส้น ภายใต้เส้นโค้ง ทำให้รูปโค้งนั้นคล้ายกับว่า ประกอบด้วยรูปเหลี่ยมหลาย ๆ รูป
                            ดิฟเฟอเรนเชียล แคลคูลัส  ส่วนใหญ่หนักไปทางปัญหาเกี่ยวกับอัตราการเปลี่ยนแปลงของฟังก์ชัน โดยเทียบกับตัวแปรค่าของฟังก์ชันเอง ในด้านกลศาสตร์ก็ได้นำดิฟเฟอเรนเชียล มาใช้ในการศึกษาคำนวณ การเคลื่อนที่ของวัตถุอันเนื่องจากมีแรงมากระทำ เซอร์ไอแซค นิวตัน ได้เคยใช้วิชาแคลคูลัส พิสูจน์ว่า โลกได้รับแรงดึงดูดจากดวงอาทิตย์ จึงมีวิถีโคจรเป็นรูปวงรี
                            อินเตกัล แคลคูลัส  เป็นอีกแขนงหนึ่ง ซึ่งเป็นขบวนการตรงข้ามกับดิฟเฟอเรนเชียล แคลคูลัส เราสามารถนำมาประยุกต์หาพื้นที่ ซึ่งถูกล้อมรอบด้วยส่วนโค้งต่าง ๆ ตลอดจนหาปริมาตรของรูปต่าง ๆ ในสามมิติ
                ๑๑๖๐. แคสเปียน  เป็นชื่อทะเลสาบน้ำเค็มที่ใหญ่ที่สุดในโลก อยู่ระหว่างทวีปเอเชียกับทวีปยุโรป มีพื้นที่ ๔๒๔,๒๔๒ ตารางกิโลมตร ยาวประมาณ ๑,๒๐๐ กิโลเมตร กว้างตั้งแต่ ๒๐๐ - ๔๘๐ กิโลเมตร ส่วนลึกที่สุดประมาณ ๙๖๐ เมตร  น้ำในทะเลสาบ ไม่มีทางระบายไปสู่ทะเล หรือมหาสมุทรภายนอก ฉะนั้นน้ำจึงเค็มกว่าปกติ ส่วนใหญ่ของทะเลแคสเบียน อยู่ในเขตประเทศรัสเซีย ยกเว้นทางชายฝั่งด้านใต้ อยู่ในเขตประเทศอิหร่าน มีแม่น้ำสายใหญ่ ๆ หลายสาย ไหลลงสู่ทะเลนี้ ที่สำคัญได้แก่ น้ำโวลกา และแม่น้ำยูราล
                ๑๑๖๑. แค้หมู - ปลา  ดูกดหิน แขยงหิน - ปลา (อันดับที่ ๒๔)          ๗/ ๓๙๓๑
                ๑๑๖๒. แคะ  เป็นชนชาวจีนพวกหนึ่ง ออกเสียงตามชาวแต้จิ๋ว เป็นคำเดียวกับแขกในภาษาไทย ซึ่งแปลว่าผู้มาแต่ที่อื่น คนบ้านอื่น พวกแคะมีภูมิลำเนาเดิมอยู่ในประเทศจีนตอนเหนือ ต่อมาเมื่อประมาณปี พ.ศ.๓๐๐ ในสมัยราชวงศ์จิ๋น แคะถูกจีนรบกวนฆ่าฟันเสียเป็นจำนวนมาก จึงอพยพหนีลงมาทางใต้ แต่ก็ถูกรุกรานอีกหลายคราว ในที่สุดหนีมาอยู่ตามไหล่เขาในมณฑลฟูเกียน (ฮกเกียน) และมณฑลอื่น ๆ อีกประปราย
                            หมอด๊อด ผู้แต่งหนังสือชนชาติไทย อ้างถ้อยคำของหมอกิบสันว่า ชาวแคะและชาวอื่น ๆ ที่อยู่ในดินแดนตอนใต้ของประเทศจีน ไม่ใช่เป็นจีนโดยเชื้อชาติ และเชื่อว่าพวกแคะคือพวกไทยนั่นเอง ยังมีเค้าเหลือให้เห็นอยู่คือ ภาษาพูด         ๗/ ๓๙๓๑
                ๑๑๖๓. โคก - ปลา  เป็นปลาทะเล อยู่ในวงศ์ปลาหลังเขียว มีรูปร่างป้อม แบนข้างมาก กินเลนตามชายทะเล และปากแม่น้ำ ในประเทศไทยมีสองสกุล            ๗/ ๓๙๓๒
                ๑๑๖๔. โค้ก  เป็นคำทับศัพท์อังกฤษ ใช้เรียกของแข็งชนิดหนึ่ง ซึ่งใช้เป็นตัวลดออกซิเจนในการถลุงเหล็ก เป็นเชื้อเพลิงในงานโลหะกรรมและในครัวเรือน ได้จากการกลั่นถ่านหิน หรืออบร้อนถ่านหิน โดยไม่ให้เกิดสันดาบสมบูรณ์          ๗/ ๓๙๓๓
                ๑๑๖๕. โคกกระสุน  พรรณไม้ชนิดล้มลุก ค่อนข้างอวบน้ำชนิดหนึ่ง เป็นพรรณไม้ประจำเขตร้อน ทางซีกโลกด้านตะวันออก ส่วนของลำต้นทอดราบไปตามผิวพื้นดิน ยาว ๓๐ – ๖๐ ซม. ใบเป็นช่อ ใบย่อยเล็กละเอียด ดอกเดี่ยว ๆ ตามง่ามใบสีเหลืองอ่อน ผลห้าเหลี่ยม มีครีบสันตามยาว และมีหนามแหลมแข็ง          ๗/ ๓๙๓๘
                ๑๑๖๖. โคกกระออม  เป็นพรรณไม้เถา ค่อนข้างอวบน้ำ พบขึ้นทั่วไปในที่ชื้นเย็น เถายาวประมาณ ๑ – ๒ เมตร ใบเป็นช่อ ดอกเล็กสีขาว เป็นช่อเล็ก ๆ ออกตามง่ามใบ ช่อดอกมีมือเกาะ ผลพอง ๆ ห้าพูสีเขียว ทุกส่วนมีรสขม เป็นพืชสมุนไพร ใช้เข้ายาแก้ไข้          ๗/ ๓๙๓๘
                ๑๑๖๗. โคกโพธิ  อำเภอขึ้น จ.ปัตตานี เมื่อแรกตั้งเป็นอำเภอ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๔๓ เรียกว่า อ.เมืองเก่า ขึ้นเมืองหนองจิก เมื่อยุบเมืองหนองจิกแล้วไปขึ้นอยู่กับ จ.ปัตตานี เปลี่ยนชื่อเป็น อ.มะกรูด เมื่อปี พ.ศ.๒๔๖๐ ย้ายที่ว่าการไปตั้งที่ ต.โคกโพธิ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๓ ถึงปี พ.ศ.๒๔๘๑ จึงได้เปลี่ยนชื่อเป็น อ.โคกโพธิ     

                             ภูมิประเทศเป็นที่ราบสูง มีเขาเล็ก ๆ เตี้ย ๆ มาก ทำนาน้ำฝนได้    ๗/ ๓๙๔๐
                ๑๑๖๘. โคกสำโรง  อำเภอขึ้น จ.ลพบุรี เดิมเป็นเมืองเก่า มีนิยายเล่ากันมาว่า เดิมเป็นเมืองละครสำโรง ยังมีเนินดินและดูปรากฎว่าอยู่รอบ มีวัดเก่า ๆ ปรักหักพังเหลือแต่ซากกำแพงอยู่หลายแห่ง สันนิษฐานว่า เมื่อเมืองร้างแล้ว ตามเนินดินเหล่านั้นจะมีต้นสำโรงขึ้นอยู่มาก จึงเรียกว่า โคกสำโรง เดิมตั้งที่ว่าการที่ ต.พุคา อ.บ้านหมี่ แล้วย้ายจาก ต.พุคา ไปตั้งที่บ้านโคกสำโรงเรียกว่า อ.สระโบสถ์ ต่อมาจึงเปลี่ยนเป็น อ.โคกสำโรง

             ภูมิประเทศทางทิศตะวันออก เป็นที่ดอน เป็นป่าดง และเขาโดยมาก นอกนั้นเป็นที่ราบ พอทำการเพาะปลูกได้  หน้าน้ำ น้ำไม่ท่วม ทำไร่นา ต้องอาศัยน้ำฝน         ๗/๓๙๔๑
                ๑๑๖๙. โคครา  เป็นชื่อแม่น้ำสายหนึ่งในอินเดียตอนเหนือยอดน้ำเกิดจากเทือกเขาหิมาลัยไหลผ่านประเทศเนปาล มาทางตะวันออกเฉียงใต้ มาบรรจบแม่น้ำคงคา           ๗/ ๓๙๔๓
                ๑๑๗๐. โคคลาน - พรรณไม้  เป็นชื่อทางภาคกลาง ใช้เรียกพรรณไม้เถาอย่างน้อยสองชนิด   เป็นไม้เถาขนาดใหญ่ ลำต้นทอดเลื้อยไปตามต้นไม้ใหญ่ ใบเดี่ยวเรียงสลับกัน ใบรูปหัวใจ ดอกขนาดเล็กสีเขียว มีกลิ่นหอม ออกเป็นช่อห้อยยาว ๆ ตามง่ามใบ ผลรูปรีสุกสีดำ เมล็ดใช้เบื่อปลาและเป็นพิษ        ๗/ ๓๙๔๓
                ๑๑๗๑. โคเคน  เป็นอัลคาลอยด์อย่างหนึ่งของธรรมชาติ ที่เกิดอยู่ในใบของต้นไม้บางชนิด
                           โคเคน  ได้สกัดแยกออกจากใบโคคา ที่เกิดอยู่ในประเทศบราซิล ปัจจุบันส่วนใหญ่ของโคเคนแอลคาลอยด์ ได้จากใบของต้นโคคา ในประเทศอินโดนีเซีย
                            โคเคน  เป็นยาทำให้ชาเฉพาะแห่ง ชนิดแรกที่ค้นพบ เป็นยาเร่งระบบประสาทส่วนกลาง เป็นยาเสพติดให้โทษ          ๗/ ๓๙๔๔
                ๑๑๗๒. โคจิน  เป็นชื่อเมืองทางชายฝั่งภาคตะวันตกเฉียงใต้ของอินเดีย ตั้งอยู่ริมฝั่งมะลาบาร์ ติดต่อกับทะเลอาหรับ ปัจจุบันอยู่ในเขตรัฐเกราลา
                            โคจิน  เป็นเมืองท่าสำคัญทางภาคใต้ของอินเดีย มาตั้งแต่สมัยโบราณใน ปี พ.ศ.๒๐๔๕ วาสโกดา กามา นักเดินเรือชาวโปร์ตุเกส ได้มาสร้างสถานีการค้าขึ้นที่เมืองนี้ ต่อมาอังกฤษและฮอลันดา เข้ามาครอบครองจนถึงปี พ.ศ.๒๓๓๗ อังกฤษจูงยึดเมืองนี้จากฮอลันดาตลอดมาจนอินเดียได้เอกราช          ๗/ ๓๙๔๕
                ๑๑๗๓. โคจินจีน  ชื่ออาณาจักรในภาคใต้ของอินโดจีนฝรั่งเศสปัจจุบันเป็นประเทศเวียดนาม มีเมืองหลวงชื่อไซ่ง่อน มีอาณาเขตทิศตะวันออกเฉียงเหนือ จดอาณาจักรอันหนำ ทิศตะวันออกเฉียงใต้จดทะเลจีนใต้ ทิศตะวันตกเฉียงใต้จดอ่าวไทย ทิศตะวันตกเฉียงเหนือติดต่อกับกัมพูชา
                            อาณาจักรนี้แต่เดิมเป็นดินแดนที่แยกอยู่ใต้การปกครองของอาณาจักรเขมรและอาณาจักรจัมปา เมื่อพวกญวนมีจำนวนมากขึ้น ตั้งอาณาจักรอันหนำ และอาณาจักรตังเกี๋ยขึ้น ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖ ก็ได้แผ่อำนาจลงมาปราบปรามอาณาจักรจำปา และในที่สุดก็ได้ดินแดนโคจินจีนไปอยู่ในความครอบครองทั้งหมด ในตอนพุทธศตวรรษที่ ๒๔ ต่อมาฝรั่งเศสได้ขยายอิทธิพลเข้ามาในอินโดจีน และยึดเมืองไซ่ง่อนได้ในปี พ.ศ.๒๔๐๒ และดินแดนโคจินจีนทั้งหมด ได้ตกเป็นของฝรั่งเศสใน ปี พ.ศ.๒๔๑๐ จนหลังสงครามโลกครั้งที่สองจึงได้รับเอกราช เมื่อปี พ.ศ.๒๔๑๗ ประกอบด้วยดินแดนที่เป็นอาณาจักรโคจินจีน กับส่วนหนึ่งของอาณาจักรอันหนำใต้เส้นขนานที่ ๑๘ องศาเหนือ ตั้งเป็นประเทศสาธารณรัฐเวียดนาม
                ๑๑๗๔. โคดม - พระ  พระพุทธเจ้าองค์หลังสุดในพระพุทธเจ้า ๒๕ พระองค์ ห้าองค์หลังเรียกเป็นเฉพาะว่าพระเจ้าห้าพระองค์
                            พระโคดมพุทธเจ้า มีพระนามเดิมว่า สิทธัตถะ เป็นเชื้อวงศ์สักยะ ในโคตรหรือสกุลโคดม เป็นชนในวรรณกษัตริย์อยู่ทางตอนเหนือของอินเดีย ขึ้นอยู่กับแคว้นโกศล เป็นโอรสพระเจ้าสุทโธทนะ แห่งเมืองกบิลพัสด์ และพระนางมหามายา ประสูติ ณ สวนลุมพินี ซึ่งอยู่ระหว่างเมืองกบิลพัสดุ์ และเมืองเทวทหะ
                            พระโพธิสัตว์ ทรงอภิเษกสมรสกับพระนางยโสธราพิมพา เมื่อพระชนมายุได้ ๑๖ พรรษา  เมื่อพระชนมายุได้ ๒๙ พรรษา ทรงมีพระโอรสชื่อพระราหุล ทรงรู้สึกเบื่อหน่ายในชีวิตแห่งโลกวิสัย จึงเสด็จออกมหาภิเนกกรมณ์ แล้วเสด็จไปยังเมืองราชคฤห์ ได้พบพระเจ้าพิมพิสาร และรับคำพระเจ้าพิมพิสารว่าถ้าทรงแสวงหาธรรมสำเร็จแล้ว จะเสด็จกลับมาเยี่ยมกรุงราชคฤห์ก่อนอื่น
                            ต่อมาพระโพธิสัตว์ได้ขอเข้าเป็นศิษย์ของอาฬารดาบส กาลามโคตร ได้ศึกษาและปฏิบัติตามลัทธิของอาฬารดาบสจบแล้วเห็นว่ายังไม่บรรลุธรรม จึงเสด็จไปศึกษาต่อในสำนักอุทกดาบส แต่ก็ยังไม่บรรลุธรรมได้ จึงเสด็จไปยังตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา เป็นเวลานานถึงหกปี โดยมีภิกษุห้ารูปเรียกว่า ปัญจวัคคีย์ ติดตามเป็นศิษย์ เมื่อพระโพธิสัตว์เห็นว่าการบำเพ็ญทุกรกิริยาไม่เป็นทางให้ตรัสรู้ได้ จึงเลิกเสีย ทำให้ปัญจวัคคีย์ผิดหวัง จึงละทิ้งพระองค์พากันไปอยู่ที่อิสิปัตนะ
                            พระโพธิสัตว์ เสด็จไปที่โคนต้นโพธิ์ ประทับนั่งขัดสมาธิ ตั้งพระทัยแน่วแน่ว่าจะไม่เสด็จลุกจากอาสนะ จนกว่าจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ทรงเข้าญาณสมาบัติอยู่ตลอดคืน ในยามแรกทรงบรรลุวิชชาที่หนึ่งคือ ทรงระลึกถึงพระชาติที่ล่วงมาแล้วเป็นอันมาก (ทำให้รู้ว่าสังสารวัฎคือ การเวียนว่ายตายเกิดนั้นมีจริง - เพิ่มเติม) ในยามกลางทรงบรรลุวิชชาที่สองทรงรู้ กำเนิดของสัตวว์โลกว่าเป็นไปตามกรรมที่สัตว์นั้นได้ทำไว้ (ทำให้รู้ว่าผลของกรรมนั้นมีจริง - เพิ่มเติม)  และในยามปลายทรงบรรลุวิชชาที่สามคือ การทำอาสวะให้หมดสิ้นไป (เห็นอริยสัจสี่ อันทำให้พ้นไปจากวัฎฎสงสาร - เพิ่มเติม) ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ในคืนวันเพ็ญ เดือนหก หรือวันวิสาขบูชา
                            พระพุทธองค์ทรงพิจารณาเห็นว่า จะประทานพระปฐมเทศนา แก่ปัญจวัคคีย์ก่อน จึงได้เสด็จไปยังอิสิปัตนะ พบปัญจวัคคีย์แล้วตรัสเทศนาธัมมจักกัปปวัตตนสูตร แก่ปัญจวัคคีย์ ในวันเพ็ญเดือนแปด หรือวันอาสาฬหบูชา พระโกณทัญญะ (องค์หนึ่งในปัญจวัคคีย์) ได้ดวงตาเห็นธรรม และปัญจวัคคีย์ก็ได้รับบรรพชาอุปสมบท เป็นพระภิกษุ และต่อมาเมื่อพระพุทธองค์ทรงเทศนา อนัตตลักขณสูตร แก่พระภิกษุปัญจวัคคีย์แล้ว พระปัญจวัคคีย์ทั้งห้าองค์ ก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์
                            วันรุ่งขึ้น พระพุทธองค์ทรงพบยสมาณพ ได้ตรัสเทศนาโปรด ยสมาณพ จนเลื่อมใสและต่อมาได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ เศรษฐีบิดายสมาณพได้รับไตรสรณาคมน์ มารดาและภริยาพระยส ได้เป็นอุบาสิกา สองคนแรก สหายพระยส รวม ๕๔ คน ได้บรรพชาและอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ต่อมาได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ รวมพระอรหันต์นอกจากพระพุทธองค์มี ๖๐ องค์ พระพุทธองค์ตรัสให้พระอรหันต์ทั้ง ๖๐ องค์ แยกย้ายกันไปประกาศเผยแผ่พระธรรม (มีความตอนหนึ่งว่า "จรถ ภิกฺขเว จาริกํ พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย โลกานุกมฺ ปาย เป ฯ"  พวกเธอจงเที่ยวจาริกเพื่อประโยชน์และความสุขแก่ชนหมู่มาก เพื่ออนุเคราะห์โลก - เพิ่มเติม)
                            เมื่อพระพุทธเจ้า จำพรรษาอยู่ ณ เมืองพาราณสี แล้ว เมื่อออกพรรษาได้ตรัสเทศนาโปรดภัททวัคคีย์ ๓๐ คน ประทานบรรพชาอุปสมบทให้ จากนั้นได้ทรงแสดงอิทธิปาฎิหาริย์ เพื่อโปรด กัสสปสามพี่น้อง ซึ่งเป็นพวกชฎิล ให้เลื่อมใส แล้วประทานบรพรชาอุปสมบทแก่กัสสปสามพี่น้อง พร้อมบริวารพันคน ท่านเหล่านั้นเมื่อได้สดับพระธรรมเทศนา อาทิตตปริยายสูตร แล้วก็บรรลุภูมิเป็นพระอรหันต์ จากนั้นพระพุทธองค์พร้อมด้วยพระสาวกเหล่านี้  เสด็จไปเยี่ยมกรุงราชคฤห์ พระเจ้าพิมพิสารถวายสวนเวฬุวัน พระพุทธองค์ประทับอยู่สองเดือน ได้พระอัครสาวก พระสารีบุตร และพระโมคคัลลานะ มาบรรพชาอุปสมบท จากการได้พบพระอัสสชิ (องค์ที่ห้าของปัญจวัคคีย์ ) และได้ฟังธรรมจากท่าน (มีความว่า เย ธมฺมา เหตุปภวา เตส ํ เหตุ ํ ตถาคโต เต สญฺจ โย นิโรโธ เอว ํ วาที มหาสมโณ ธรรมใดเกิดจากเหตุ พระตถาคตทรงแสดงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และความดับของธรรมเหล่านั้น พระมหาสมณทรงสั่งสอนอย่างนี้ - เพิ่มเติม ) แล้วได้ดวงตาเห็นธรรม (มีความว่า ยงฺ กิญจิ สมุทฺยธมฺม ํ  สพฺพนฺต ํ นิโรธ ธมฺมนฺติ  สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับไปเป็นธรรมดา - เพิ่มเติม)
                            ในเดือนสี่ พระพุทธองค์พร้อมพระสาวก เสด็จเยี่ยมกรุงกบิลพัสดุ์ ประทับอยู่ที่สวนนิโครธาราม ทรงแสดงยมกปาฎิหาริย์ และตรัสเล่าเรื่อง เวสสันดรชาดก ประทานบรรพชาอุปสมบทแก่พระราหุล ได้มีพวกกษัตริย์สากิยะได้บรรพชาอุปสมบท ครอบครัวละคน แล้วเสด็จกลับกรุงราชคฤห์ ประทับอยู่ ณ สวนสีตวัน
                            ณ สวนสีตวัน เศรษฐีชื่อ สุทัต ซึ่งภายหลังได้ชื่อว่า อนาถบิณฑิกะ  ได้มาเฝ้าและมีความเลื่อมใสในพระพุทธองค์ อัญเชิญทูลเสด็จไปเยี่ยมเมืองสาวัตถี เมื่อพระพุทธองค์เสด็จไปถึงแล้ว อนาถบิณฑกะได้ถวายสวนเชตวัน สำหรับเป็นที่ประทับของพระพุทธเจ้าและพระสาวก ในช่วงเวลาตอนนี้ นางวิสาขา ได้สร้างวัดบุพพาราม ถวายพระพุทธองค์ ที่เมืองสาวัตถี
                            พรรษาที่สี่  พระพุทธเจ้าเสด็จประทับที่เวฬุวัน ณ ที่นี้ได้โปรดอุคเสนมาณพ
                            พุทธพรรษาที่ห้า  พระเจ้าสุทโธทนะ สิ้นพระชนม์ หลังจากที่ได้สำเร็จพระอรหันต์ภูมิแล้ว ในระยะเวลาตอนนี้กษัตริย์พวกสากิยะ และพวกโกลิยะ วิวาทกันเรื่องแย่งน้ำในแม่น้ำโรหินี พระพุทธองค์ทรงไกล่เกลี่ยให้ทั้งสองฝ่ายคืนดีกัน และประทับอยู่ที่นิโครธาราม ณ ที่นี้พระมหาปชาบดีโคตมี พร้อมกุลนารีในวงศ์สากิยะ ขออุปสมบท พระอานนท์ทูลอ้อนวอนแทนสตรีเหล่านั้น พระพุทธองค์จึงประทานพุทธานุญาต
                            พรรษาที่หก  พระพุทธเจ้าทรงแสดงยมกปาฎิหาริย์ อีกครั้งที่ใต้ต้นมะม่วงในเมืองสาวัตถี ก่อน๗/นี้พระพุทธองค์ทรงห้ามไม่ให้สาวกแสดงปาฎิหาริย์ และทรงจำพรรษาที่มังกุลบรรพต
                            พรรษาที่เจ็ด  พระพุทธองค์เสด็จไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ตรัสเทศนาพระอภิธรรม โปรดพระพุทธมารดา และทรงจำพรรษาอยู่บนนั้น พระสารีบุตรไปฟังอภิธรรมทุกวัน และจำได้หมด เมื่อออกพรรษาพระพุทธเจ้าเสด็จลงมาสู่โลกมนุษย์ ณ เมืองสังกัส ห่างจากเมืองสาวัตถี ๓๐ โยชน์  ในระหว่างเวลานี้ นางจิญจมาณวิกา ถูกชักชวนให้ใส่ร้ายพระพุทธองค์
                            พรรษาที่แปด  พระพุทธเจ้าประทับอยู่ในประเทศของพวกภัคคะ ที่ป่ามาสกลาวัน ใกล้สูงสุมารคีรี
                            พรรษาที่เก้า  พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่กรุงโกสัมพี ขณะเสด็จไปแคว้นกุรุ พราหมณ์ชื่อ คันทิยะ ได้ถวายธิดาชื่อ มาคันทิยา แต่พระพุทธเจ้าทรงปฎิเสธ ทำให้นางมาคันทิยา ผูกใจเจ็บต่อพระพุทธเจ้า
                            พรรษาที่สิบ  พระภิกษุสงฆ์ที่เมืองโกสัมพี เกิดความเข้าใจผิดกัน พระพุทธองค์ไม่ทรงสามารถระงับการวิวาทกันนี้ได้ จึงเสด็จไปประทับอยู่ในป่าลิไลยก์ มีช้างมาคอยปฎิบัติพระพุทธองค์ เมื่อทรงจำพรรษา ณ ที่นั้น แล้วจึงเสด็จกลับมาเมืองสาวัตถี ระหว่างทางพวกภิกษุที่เมืองโกสัมพี รู้สำนึกในความผิด จึงพากันมากราบทูลขอลุกะโทษ ความแตกร้าวก็หมดไป
                            พรรษาที่สิบเอ็ด  พระพุทธเจ้าเสด็จประทับอยู่บ้านพราหมณ์ชื่อ เอกมาลา และทรงโปรด กสิภาวัทวาชะ
                            พรรษาที่สิบสอง   เสด็จประทับที่เมืองเวรัญชา ทรงจำพรรษาที่เมืองนี้ ตามคำขอร้องของพราหมณ์เวรัญชะ
                            พรรษาที่สิบสาม  ทรงจำพรรษาที่เจลิกบรรพต  ซึ่งมีพระเมฆิยะ เป็นผู้ปฎิบัต พระพุทธองค์โดย
                            พรรษาที่สิบสี่  เสด็จประทับที่เมืองสาวัตถี ณ ที่นี่พระราหุลได้รับอุปสมบทเป็นพระภิกษุ
                            พรรษาที่สิบห้า   พระพุทธเจ้าเสด็จเยี่ยมเมืองกบิลพัสดุ์อีก ณ ที่นี้สุปพุทธะ พระบิดาของพระนางพิมพา เสพย์สุรามึนเมา ไม่ยอมให้พระพุทธเจ้าเสด็จผ่านถนน ล่วงต่อมาอีกเจ็ดวัน สุปพุทธะก็ถูกแผ่นดินสูบ
                            พรรษาที่สิบหก  พระพุทธเจ้าเสด็จประทับที่เมืองอาลวี ได้โปรดยักษ์ชื่อ อาลวถะ
                            พรรษาที่สิบเจ็ด  พระพุทธเจ้าเสด็จกลับไปเมืองสาวัตถี แล้วเสด็จกลับมาเมืองอาลวี โปรดชาวนาคนหนึ่งได้บรรลุโสดาบัน และทรงจำพรรษาที่กรุงราชคฤห์
                            พรรษาที่สิบแปด  พระพุทธเจ้าเสด็จจากเชตวัน มายังเมืองอาลวี โปรดบุตรสาวช่างทอผ้า ได้บรรลุโสดาบัน
                            พรรษาที่สิบเก้า   พระพุทธเจ้าประทับที่เขาอาลิกบรรพต
                            พรรษาที่ยี่สิบ  ทรงแสดงปาฎิหาริย์โปรดองคุลิมาล  จนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ในพรรษานี้เองพระอานนท์ ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ปฎิบัติใกล้ชิดพระพุทธเจ้า และได้ปฎิบัติน๗/ที่นี้ตลอดมา พระพุทธเจ้าทรงจำพรรษาาที่กรุงราชคฤห์
                            ในระยะ ๒๕ ปี หลัง ตามอรรถกถากล่าวว่า พระพุทธเจ้าเสด็จประทับอยู่ที่เมืองสาวัตถี ในพระเชตวันวิหารบ้าง ที่บุพพารามบ้าง เมื่อออกพรรษาพระพุทธเจ้าจะจาริกไปยังเมืองตำบลต่าง ๆ อยู่มากแห่ง
                            ในปีสุดท้ายเมื่อจะเสด็จดับขันธปรินิพพาน มีเรื่องพระเจ้าพิมพิสารสิ้นพระชนม์ก่อนพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานได้แปดปี และในระยะเดียวกันนี้พระเทวทัตก็พยายามจะดำรงตำแหน่งประธานในคณะสงฆ์ แต่ไม่สำเร็จ จึงได้พยายามทำลายพระชนม์พระพุทธเจ้าหลายประการแต่ไม่เป็นผลสำเร็จ
                            พระพุทธเจ้าเสด็จออกจากเขาคิชฌกูฏ ใกล้เมืองราชคฤห์ ไปยังสวนอัมพลัฏฐิกา เสด็จต่อไปยังนาลันทา หมู่บ้านปาฏลิคาม ข้ามแม่น้ำคงคาไปยังหมู่บ้านโกฏิคาม ไปยังตำบลญาติกะ แล้วเสด็จไปเมืองเวสาลี ประทับอยู่ในสวนนางอัมพปาลี จากนั้นเสด็จต่อไปยังหมู่บ้านเพลุวะ ทรงจำพรรษา ณ ที่นี้และประชวรอย่างหนัก พระพุทธเจ้าได้ตรัสกับพระอานนท์ว่าการประกาศพระศาสนาของพระองค์จะสิ้นสุดลงแล้ว และเมื่อดับพระชนม์ชีพแล้ว ให้สงฆ์จงปกครองรักษากันเอง โดยยึดเอาพระธรรมเท่านั้นเป็นที่พึ่งต่อไป และได้ตรัสเทศนาเรื่องสติปัฏฐานสี่
                            รุ่งขึ้น พระพุทธองค์ได้เสด็จไปสู่หมู่บ้านภัณฑคาม  ณ ที่นี้ได้ตรัสเทศนาโปรดมหาชนด้วยเรื่องอริยธรรมสี่ ซึ่งเป็นเครื่องทำลายความเกิดใหม่ คือศีล สมาธิ ปัญญาและวิมุตติ จากนั้นเสด็จดำเนินผ่านหมู่บ้านหัตถคาม อัมพคาม และชัมพุคาม แล้วเสด็จประทับยังหมู่บ้านโภคนคร ณ อานันทเจดีย์ ตรัสเทศนาเรื่องมหาปเทสสี่อันเป็นทางที่กำหนดเรื่องหลักธรรมอันแท้จริงได้แน่แท้ จากนั้นได้เสด็จไปยังเมืองปาวา ประทับที่ป่ามะม่วง (อัมพวัน) ของนายจุนท์ช่างทอง นายจุนท์จัดภัตตาหารอันมีสูกรมัทวะรวมอยู่ด้วยถวายพระพุทธเจ้า เป็นภัตตาหารครั้งสุดท้าย แล้วก็เกิดอาพาธลงพระโลหิต จากนั้นได้เสด็จดำเนินไปยังเมืองกุสินารา ทรงข้ามแม่น้ำหิรัญวดีไปสู่ป่าอุปวัตนสาละ ทรงไสยาสน์ใต้ต้นสาละ
                            ฝ่ายกษัตริย์มัลละต่างพากันมาเฝ้าเพื่อถวายสักการะบูชา มีปริพาชกผู้หนึ่งชื่อ สุภัททะ เข้าไปเฝ้าพระพุทธองค์โปรดให้สุภัททะได้รับบรรพชาอุปสมบท และพระพุทธองค์ได้ตรัสแก่เหล่าพระภิกษุสงฆ์ว่า
                                ("หนฺททานิ ภิกฺเว อามนฺตยามิ โว วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถาติ" ฯลฯ
                            ดูกร ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราเตือนพวกเธอว่าสังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา พวกเธอจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด
                            นี้เป็นพระวาจาครั้งสุดท้ายของพระพุทธเจ้า จากนั้นพระพุทธองค์ทรงเข้าฌานสมาบัติทบทวนกลับไปกลับมาโดยอนุโลม และปฏิโลม แล้วเสด็จดับขันธปรินิพพานในขณะที่ออกจากจตุตถฌาน - เพิ่มเติม)
                            รุ่งขึ้น พระอานนท์ได้แจ้งเรื่องแก่กษัตริย์พวกมัลละแห่งเมืองกุสินารา เพื่อถวายพระเพลิงพระบรมศพ โทณพราหมณ์ได้ให้คำแนะนำ ในการแบ่งพระสรีรธาตุ ออกเป็นแปดส่วนเท่ากัน กับผู้ที่อ้างสิทธิ์อันได้แก่ พระเจ้าอชาติศัตรู กษัตริย์พวกลิจฉวีแห่งเมืองเวสาลี กษัตริย์พวกสากิยะแห่งเมืองกบิลพัสดุ์ กษัตริย์พวกพุลีแห่งเมืองอัลกัปปะ กษัตริย์พวกโกลิยะแห่งเมืองรามนคร พราหมณ์แห่งแคว้นวันเวฐทีปะ และกษัตริย์พวกมัลละแห่งเมืองปาวา ส่วนโทณพราหมณ์ขอรับภาชนะที่ตรงพระสรีรธาตุเป็นของตน ส่วนกษัตริย์พวกโมริยะแห่งปีปผลิวัน มาทีหลังจึงได้แต่พระอังคารเท่านั้น
                ๑๑๗๕. โคดม ๒  เจ้ากรุงสาเกต ไม่มีโอรสธิดา เบื่อหน่ายในสมบัติ ออกบรรพชาเป็นฤษี ได้ทราบความจากนกกระจาบที่มาทำรังที่หนวดของท่าน ว่าตัวท่านมีบาปเนื่องจากไม่มีลูกไว้สืบวงศ์ พระฤษีจึงตั้งพิธีกุณฑ์ร่ายเวทเสกให้เกิดนางขึ้นมาให้ชื่อว่า กาลอัจนา แล้วสมสู่อยู่ด้วยนาง มีธิดาคนหนึ่งชื่อสวาหะ เมื่อฤษีไม่อยู่ พระอินทร์ลงมาทำชู้กับนางกาลอัจนาแล้วมีลูกชายสีกายเขียวเหมือนพ่อ ต่อมาพระอาทิตย์ได้ลงมาสมสู่กับนางกาลอัจนามีลูกชายสีกายแดงเหมือนพ่อ ฤษีก็สำคัญว่าเป็นลูก
    ของตนทั้งสองคน ต่อมารู้ความลับจากนางสวาหะว่าลูกชายทั้งสองไม่ใช่ลูกของตน ฤษีทราบเรื่องก็โกรธเมียมาก จึงตั้งสัตยาธิษฐานว่า จะโยนเด็กทั้งสามลงกลางน้ำ ถ้าคนใดเป็นลูกให้ว่ายกลับมา ถ้ามิใช่ลูกให้กลายเป็นลิงป่าไป ปรากฏว่าลูกสาวว่ายกลับมาคนเดียว เมื่อกลับมาถึงกุฎีจึงสาปนางกาลอัจนาให้เป็นก้อนหิน นางกาลอัจนาก็สาปนางสวาหะให้ไปยืนตีนเดียวเหนี่ยวกินลมในป่าเชิงเขาจักรวาล ต่อเมื่อมีลูกเป็นพญาวานรศักดิ์สิทธิ์แล้วจึงพ้นสาป           ๗/ ๓๙๘๕


    • Update : 25/5/2554
    © Copyright 2011 www.watnongmuang.com All rights reserved 999arch