|
|
ขุนช้าง ขุนแผน ในพงศาวดาร 10
ขุนแผนพานางวันทองหนี ขุนแผนจึงว่า ที่มาวันนี้จะมารับกลับไป นางวันทองก็ฉุดขุนช้างไว้ ขุนแผนก็เป่ามหาละลวยไปที่นางวันทอง นางวันทองก็หายแค้นลงเพราะต้องอาคม และบอกว่าจะไปด้วย แล้วจึงเข้าห้องไปเก็บเสื้อผ้า
"ว่าพลางลุกย่างเข้าในห้อง |
|
หาของค้นลูกกุญแจไข |
เปิดหีบหอมฟุ้งจรุงใจ |
|
ล้วนใหม่ใหม่ไหมด้ายมีหลายพรรณ |
หยิบหยิบแล้วก็จีบประจงพับ |
|
หับหีบไขต่อขมีขมัน |
ผ้าหอมย้อมสีระยับมัน |
|
น้ำมันจันทน์ประทิ่นกลิ่นขจร |
เช็ดหน้าผ้าไหมฝรั่งห่อ |
|
ไขต่อหีบทองเถือกสลอน |
เพชรนิลมรกตอรชร |
|
พิรอดร่อนเรือนเพชรพะพรายตา" |
เมื่อเก็บเสื้อผ้าแล้วก็เดินมาที่เตียงขุนช้าง และมนต์สะกดเสื่อมลง นางก็ให้เสียใจก้มลงกอดเท้าขุนช้าง แล้วบอกว่าตนคงหมดบุญเท่านี้ที่จะอยู่ด้วย และที่ไปกับขุนแผนนั้นก็เพราะถูกขู่เข็ญมิได้นอกใจ แล้วนางวันทองก็เขียนหนังสือเหน็บไว้ให้ขุนช้างที่ฝาเรือน แล้วกลับมากอดขุนช้างและร้องไห้จนเป็นลมสลบไป
นางวันทองสั่งเรือน
ฝ่ายขุนแผนเห็นนางวันทองเข้าไปนาน ก็จึงเดินเข้ามาพบว่านางร้องไห้จนสลบไป ก็เสกน้ำลูบหน้า จนนางวันทองฟื้นขึ้น แล้วขุนแผนก็จูงมือนางวันทองออกมา เมื่อนางวันทองผ่านหน้าห้องนางแก้วกิริยาก็เศร้าใจ แล้วนางวันทองก็ดูสิ่งต่างๆรอบตัว แล้วยิ่งเสียใจอาลัยรัก
"ถึงกลางนอกชานละลานจิต |
|
ตะลึงคิดลังเลดูเคหา...... |
มะขามโพรงโค้งคู้เป็นข้อศอก |
|
ฝักกรอกแห้งเกราะกะเทาะล่อน |
จันทน์หอมจันทน์คณาจะลาจร |
|
มะลิซ้อนซ่อนชู้อยู่จงดี |
ลำดวนเอ๋ยจะด่วนไปก่อนแล้ว |
|
เกดแก้วพิกุลยี่สุ่นสี |
จะโรยร้างห่างสิ้นกลิ่นมาลี |
|
จำปีเอ๋ยกี่ปีจะมาพบ" |
เมื่อมาถึงที่ผูกม้าสีหมอกไว้ ขุนแผนก็ให้นางวันทองขอขมา แล้วขุนแผนก็พานางวันทองขี่ม้าสีหมอกออกไปทางประตูตาจอม จนเดินทางมาถึงวัดตะลุ่มโปงนางวันทองจึงค่อยคลายเศร้า จนถึงลำน้ำบ้านพลับ เรียกเรือจ้างให้ช่วยนำเรือมารับเพื่อข้ามน้ำ
ชมนกชมไม้
|
ขุนแผนพานางวันทอง และสีหมอกลงเรือข้ามฟากมา จากนั้นก็เดินทางเรื่อยมาจนถึงเขาพระ จนล่วงเข้าในป่าซึ่งมีสัตว์ต่างๆและพรรณไม้มากมาย |
ฝูงลิงไต่กิ่งลางลิงไขว่ |
|
ลางลิงแล่นไล่กันวุ่นวิ่ง |
ลางลิงชิงค่างขึ้นลางลิง |
|
กาหลงลงกิ่งกาหลงลง |
เพกากาเกาะทุกก้านกิ่ง |
|
กรรณิกากาชิงกันชมหลง |
มัดกากากวนล้วนกาดง |
|
กาฝากกาลงทำรังกา |
เสือมองย่องแอบต้นตาเสือ |
|
ร่มหูกวางกวางเฝือฝูงกวางป่า |
อ้อยช้างช้างน้าวเป็นราวมา |
|
สาลิกาจับกิ่งพิกุลกิน....." |
"ขุนแผนปรีดิ์เปรมเกษมจิตต์ |
|
นั่งแนบแอบชิดแล้วชมขวัญ |
จะสีหลังให้เจ้าเราผลัดกัน |
|
วันทองหันหน้าค้อนด้วยงอนใจ |
เจ้านั่งเรียงเคียงไหล่ใกล้ขุนแผน |
|
นางเหยียดยื่นแขนออกมาให้ |
ขุนแผนแขนสอดไปทันใด |
|
เคล้นไคล้ทรวงนางแต่เบาเบา...." |
ขุนช้างตามนางวันทอง ฝ่ายขุนช้างเมื่อสิ้นมนต์สะกดก็ตื่นขึ้น แล้วมองไม่เห็นนางวันทอง ก็ตะโกนเรียก แล้วรีบลุกขึ้นมาที่หอกลางเห็นม่านขาด ก็รู้ว่าขุนแผนมาลักพานางวันทองไป จึงกอดม่านร้องไห้ พร้อมกับด่าบ่าวไพร่ว่า ผู้ร้ายขึ้นบ้านไปมุดหัวอยู่ที่ไหนกันหมด แล้วเที่ยววิ่งตามหานางวันทอง พบหนังสือเหน็บอยู่ข้างฝา ซึ่งนางวันทองเล่าว่าขุนแผนสะกดคน แล้วขึ้นเรือนมาลักพาตัวไป ให้ติดตามไป จึงเรียกศรพระยามาว่า ขุนแผนบุกขึ้นมาจนถึงห้องและลักพาตัวนางวันทองไป ศรพระยาได้ฟังขุนช้างด่าก็ว่า ตนนั้นอยู่เรือนอื่น ขุนช้างอยู่เรือนนี้ถูกกล้อนผมยังไม่ตื่นเลย นางวันทองนั้นเขาคงไม่รักขุนช้างจึงได้หนีไป จะไปเสียดายทำไม ขุนช้างก็ตอบด้วยความแค้นว่า ไม่เสียดายนางวันทองแต่เสียดายเงินทองที่ถูกลักเอาไป แล้วขุนช้างก็มาหานางเทพทอง เพื่อลาไปตามนางวันทอง นางเทพทองว่า นางวันทองหนีตามผู้ชายไป จะไปรักไปตามทำไม ผู้หญิงดีดีในสุพรรณบุรีมีมากมายจะไปสู่ขอมาให้ ขุนช้างจึงว่า นางวันทองนั้นไม่ชั่วหรอก ที่ต้องไปเพราะขุนแผนจะฆ่าจึงต้องยินยอม ซึ่งนางได้เขียนหนังสือบอกไว้ เมื่อนางเทพทองห้ามปรามไม่ได้ ก็อวยพรให้ขุนช้างได้ติดตามพบนางวันทอง และให้ขุนแผนพ่ายแพ้แก่ขุนช้าง
ขุนช้างเตรียมพล เมื่อรับพรจากนายเทพทองแล้ว ให้ศรพระยาเตรียมบ่าวไพร่พร้อมอาวุธ ติดตามนางวันทองไปในป่า
"จัดแจงแต่งตัวนุ่งยก |
|
เข็มขัดรัดอกแล้วโจงหาง |
ผูกตัวเข้าเป็นพรวนล้วนเครื่องราง |
|
พระปรอทขอดหว่างมงคลวง |
ลูกไข่ดันทองแดงกำแพงเพชร |
|
ไข่เป็ดเป็นหินขมิ้นผง |
ตระกุดโทนของท่านอาจารย์คง |
|
แล้วอมองค์พระคะวัมล้ำจังงัง |
ลงยันต์ราชะปะท้ายทอย |
|
ยังหยอมแหยมหยอกหยอยเหมือนหอยสังข์ |
จับถือของ้าวก้าวเก้กัง |
|
ขึ้นนั่งคอช้างพลายกางพลัน" |
|
เมื่อออกมานอกเมืองสุพรรณ บังเอิญพบพรานป่าเห็นผู้ร้ายขี่ม้าลักพาเมียตนไป จึงให้พรานป่ารีบนำทางไป ฝ่ายโหงพรายและกุมารทองเห็นมีกำลังยกมาก็รีบไปบอกขุนแผน ที่นอนหลับอยู่ใต้ต้นไทรกับนางวันทอง |
เมื่อรู้เรื่องขุนแผนก็ปลุกนางวันทองว่าให้เตรียมตัวดูศึกชู้กับผัว นางวันทองจึงว่าที่มานี่ก็ตัดอาลัยขุนช้างมาหวังฝากชีวิตไว้ จะขอตายอยู่ที่นี่ไม่กลับไป ขุนแผนฟังแล้วก็ดีใจและร่ายมนต์วิเศษกำบังนางวันทองไว้ไม่ให้ใครเห็น จากนั้นก็ขึ้นม้าสีหมอก แล้วสั่งให้พรายไปถอนหญ้าแพรกมา แล้วเสกเป็นคนมากมายแต่ให้ซ่อนตัวไว้ก่อน เมื่อขุนแผนเรียกจึงค่อยออกไปช่วยรบ
"จึงสั่งพรายให้ถอนหญ้าแพรกส่ง |
|
ปลงอารมณ์โอมอ่านพระคาถา |
กลายเป็นคนพลันมิทันตา |
|
ศาสตราง้าวทวนก็ถ้วนตน" |
ขุนแผนรบขุนช้าง ขุนแผนออกไปต่อสู้กับขุนช้าง ขุนช้างพ่ายแพ้ตกคอช้างหนีไปนั่งแอบอยู่ในดงหนาม ศรพระยาให้บ่าวไพร่หาขุนช้าง ส่วนขุนแผนนั้นเมื่อชนะขุนช้างก็ไม่ได้ติดตามไป เพราะห่วงนางวันทอง ใกล้รุ่งสางก็ชวน นางวันทองออกเดินทาง โดยว่าเราจะอยู่ที่นี่นานไม่ได้ เพราะขุนช้างอาจไปทูลพระพันวษาให้ยกกองทัพมาจับ ควรจะไปในป่า ฝ่ายกุมารทองก็นำขุนแผนและนางวันทองเดินทางข้ามเข้าป่ามาถึงเขตไร่ของบ้านละว้า ขุนแผนได้พานางวันทอง เข้าไปในไร่จนมาถึงบ้านละว้า ยายละว้าให้จัดที่นอนแล้วเอาเผือกมันมาให้กิน ส่วนขุนแผนก็เอาสร้อยตุ้มหู กำไล แหวนพิรอดให้สาวชาวละว้า และสั่งให้กุมารทองคอยดูทัพว่ามีติดตามมาหรือไม่
ขุนช้างกลับบ้าน ฝ่ายขุนช้างเจ็บแค้นใจมาก คิดจะไปทูลพระพันวษาให้สั่งกองทัพมาจับขุนแผน แล้วสั่งศรพะยาให้ผูกช้างและให้บ่าวไพร่รับเดินทางกลับ เมื่อมาถึงเรือนแล้วก็ให้คิดถึงนางวันทองมาก นางศรีประจันรู้ข่าวว่าขุนช้างแพ้กลับมา ก็มาเยี่ยมขุนช้างเล่าให้ฟังว่า ขุนแผนกลับพานางวันทอง และเครื่องเงินทอง เสื่อผ้าไป ตนได้ตามไปพบที่ต้นไทรในป่าได้ต่อสู้กัน เกือบจะจับขุนแผนได้ ช้างเกิดตื่นวิ่งเข้าป่า ขุนแผนหนีไปได้ แต่นางศรีประจันไม่เชื่อ เพราะรู้ว่าขุนแผนเป็นคนเก่งและชำนาญการรบ
นขุนช้างเข้าเฝ้าพระพันวสา ฝ่ายขุนช้างบอกนางศรีประจันว่า ตนแค้นขุนแผนมากจะตามไปฆ่าขุนแผนให้ได้ แต่จะไปทูลขอทัพใหญ่กับพระพันวษาเสียก่อน แล้วขุนช้างก็สั่งให้ศรพระยาผูกช้างเดินทางไปอยุธยา เมื่อถึงศาลาในวัง ขุนช้างบอกว่า ขุนแผนได้ซ่องสุมพรรคพวกโจรไว้มากมายพอจะจับขุนแผน ขุนแผนกลับหนีเข้าป่าไป จึงกลับมาเฝ้าพระพันวษาขอกลับกองทัพไปช่วย
ขุนช้างฟ้องว่าขุนแผนเป็นกบฎ เวลาบ่ายพระพันวษาก็เสด็จออก ขุนนางเห็นขุนช้างหมอบอยู่จึงถามว่าใครตีมา ขุนช้างตกใจพูดเลอะเทอะ กลัวพระพันวษาจนจับความไม่ได้ พระพันวษาให้จมื่นศรีถามให้ ขุนช้างหายตกใจจึงเล่าเรื่องแล้วโกหกปะปนลงไปด้วยว่า ขุนแผนจับนางวันทองและขนข้าวของเงินทองไป ตนก็ให้บ่าวไพร่ออกตามหาไป แต่ขุนแผนมีลูกน้องเป็นโจรหลายร้อยคน ได้ออกมาฆ่าฟันบ่าวไพร่ แล้วขุนแผนก็มาจับตนไว้ และเฆี่ยนด้วหวายหนามจนได้รับบาดเจ็บ พร้อมกับได้พูดจาท้าทายว่า หากพระพันวษามาด้วย ก็จะขอชนช้างให้รู้แพ้ชนะ จะได้ชิงเอาศรีอยุธยา และจะได้ตั้งตัวเป็นกษัตริย์ต่อไป ทั้งขุนแผนได้ปลูกตำหนักไว้ในป่า มีค่ายป้อมมากมายหากทิ้งไว้จะเกิดกลียุคได้
พระพันวษาให้กองทัพตามขุนแผน ฝ่ายสมเด็จพระพันวษาฟังเรื่องราวและตรึกตรองดูแล้วก็ว่า เรื่องนี้เท็จจริงอย่างไรไม่รู้ หากจะฟังความข้างเดียวคงไม่ถูกต้อง เมื่อคิดแล้วก็ตรัสสั่งให้ จมื่นศรี จมื่นไวยเป็นแม่ทัพยกทัพห้าพันไปดูให้แน่ชัดว่า มีตำหนักของขุนแผนจริงหรือไม่ หากเมื่อพบขุนแผนจงบอกให้เข้ามาเฝ้าเพื่อชำระความ อย่าได้กลัวว่าจะจับมาฆ่าตี หากไม่มาก็จงฆ่าแลัวตัดหัวเสียบไว้ในป่า จมื่นศรีและจมื่นไวยรับคำสั่งแล้ว เมื่อได้ฤกษ์เช้าวันรุ่งขึ้น ก็บอกให้ทุกคนรวมทั้งขุนช้าง ไปพร้อมกันที่ วัดไชยชุมพล ก่อนสี่โมงเช้าวันพรุ่งนี้ มีขุนนางชื่อ ขุนเพชรอินทรา และขุนรามก็จะต้องไปทัพในคราวนี้ด้วย เมื่อกลับมาให้เมียเตรียมเสบียงอาหาร บ่าวไพร่เตรียมช้างม้า พอค่ำก็เข้านอน เมียขุนเพชรอินทราฝันว่า ถูกฟันตัวขาดเป็นสองท่อน แล้วผ่าอกควักหัวใจขว้างทิ้ง ก็ตกใจตื่นบอกให้ผัวทำนายฝันให้ ขุนเพชรรู้ว่าฝันร้าย แต่แกล้งบอกว่านอนมากก็ฝันมาก ส่วนเมียขุนรามนั้น ฝันว่าฟันหักสามซี่ ตกใจตื่นให้ผัวทำนายฝัน ขุนรามก็แกล้งบอกว่า ที่ฝันอย่างนี้เพราะ เป็นห้วงที่จะไปทัพไกล รุ่งขึ้นเมื่อได้ฤกษ์ จมื่นศรีและจมื่นไวย ก็คุมทัพเดินทางมาถึงสามโก้ในตอนเย็น ก็ให้พักทัพหนึ่งคืน วันรุ่งขึ้นเมื่อเดินทัพมาถึงท่าต้นไทรไม่พบขุนแผน ก็ให้เดินทัพต่อไปถึงจระเข้สามพันก็ให้พักพลอยู่ที่นั่น แล้วให้ไพร่พลดูลาดเลา ขุนช้างและศรพระยาจึงลงจากช้างขึ้นไปบนต้นไม้ ก็เห็นสีหมอกกินหญ้า ส่วนขุนแผนและนางวันทองนอนกอดกันอยู่ ทำให้ขุนช้างโกรธมาก ฝ่ายโหงพรายเห็นคนมาวุ่นวายอยู่แถวนั้น ก็ไปหลอกหลอนจนขุนช้างตกใจตกลงมาจากต้นไม้ รีบวิ่งมาบอกจมื่นศรีว่าพบขุนแผนกับนางวันทองแล้ว
จมื่นศรีให้ล้อมขุนแผน
|
จมื่นไวยกับจมื่นศรี ได้ฟังก็สั่งให้ไพร่พลล้อมไว้ไกล ๆ แต่อย่าพึ่งบุกเข้าไปใกล้ จากนั้นก็ตีฆ้องแล้วยิงปืนดังสนั่นโหงพรายก็มาบอกขุนแผนว่า มีทัพมาล้อมไว้ |
ฝ่ายนางวันทอง เห็นทัพที่มีไพร่พลมากมายก็ตกใจ กอดขุนแผนร้องไห้แล้วว่า กองทัพที่มาล้อมมีไพร่พลมากมาย ขุนแผนจะไปรบกับเขาได้หรือ คงจะถูกฆ่าตายเป็นแน่ หากจะหลบหนีไปกับม้าสีหมอกก็จะไปได้อย่างไร ทั้งยังต้องมาห่วงใยตนอีก ขุนแผนจึงบอกกับนางวันทองว่า ต่อให้มีมากกว่านี้อีกสิบเท่าก็ไม่กลัว จะพานางวันทองไปหลบซ่อนในป่าเสียก่อน แล้วก็อ่านพระเวทนะจังงัง พานางขึ้นนั่งบนหลังม้าสีหมอก และขี่ม้าผ่านหน้าไพร่พลของกองทัพไปโดยมีภูตพรายห้อมล้อมเต็มไปหมด ทหารก็ยืนกันเฉย เมื่อผ่านมาเห็นขุนช้าง ขุนแผนก็ชี้ให้นางวันทองดูแล้วกับบอกว่า ตนนั้นอยู่กับนางวันทองเพียงสองคน จะต่อสู่กับไพร่พลมากมายนี้ได้อย่างไร แต่เนื่องจากเพราะรักนางวันทองจึงยอมตาย แล้วขุนแผนก็จูบนางวันทองเย้ยขุนช้างเล่น เมื่อมาถึงใต้ต้นไทร ก็พานางวันทองลงจากม้า แล้วบอกให้นางคอยอยู่ที่นี่ ตนจะออกไปดูขุนช้างก่อนจะเอาอย่างไร หากทำดีก็จะให้มีชีวิตรอดกลับไป หากอยากจะรบก็จะฆ่าให้ตาย เมื่อเสร็จศึกแล้วจะกลับมารับ จากนั้นก็อ่านพระเวทผูกใจนางวันทองไว้ แล้วเสกทรายโปรยเป็นกำแพง และถอนหญ้ามามัดเป็นหุ่น แล้วเอาน้ำมนตร์ประพรมจนกลายเป็นคนมีอาวุธครบมือ
" สิ้นทัพแล้วจะกลับมารับเจ้า |
|
ครู่เดียวมันก็เข้าในป่าหาย |
ว่าแล้วอ่านมนตร์สนธยาย |
|
ร่ายพระเวทผูกจิตวันทองพลัน |
จึงเอาทรายปรายโปรยโรยล้อม |
|
เป็นกำแพงเพชรป้อมเขื่อนขันธ์ |
ถอนหญ้ามามัดเป็นหุ่นพลัน |
|
ถ้วนพันวางเรียงเคียงกันไป |
แล้วเสกบริกรรมสำทับ |
|
เกิดเป็นไฟวับวับดังจะไหม้ |
เอาน้ำมนตร์ประหุ่นลงทันใด |
|
ไฟดับหุ่นหายกลายเป็นคน |
มีอาวุธครบมือถือประจำ |
|
แต่งตัวกำยำอย่างพหล |
ต่างเคารพนบนอบยอบตน |
|
ขุนแผนสั่งขุนพลไปทันที" |
หลังจากพวกไพร่พลทัพทั้งหน้าหลังต้องนะจังงังไปพักใหญ่ก็ได้สติ ก็ไต่ถามกัน
ขุนแผนพูดโต้ตอบกับจมื่นศรี จมื่นศรีกับจมื่นไวยก็ขี่ช้างมา เมื่อมาใกล้ขุนแผนก็บอกขุนแผนว่า มีรับสั่งให้ยกทัพมา จมื่นศรีกับจมื่นไวยตอบว่า พระพันวษาให้เรายกทัพมาไต่สวนเรื่องที่ลักตัวนางวันทองเมียขุนช้างมา แล้วยังคบคิดกับพวกโจรป่าหวังจะตั้งตัวเป็นใหญ่ ทั้งยังปลูกตำหนักป่า มีค่ายป้อมมากมาย และได้ฆ่าบ่าวไพร่ขุนช้างตายเป็นร้อยนับว่าเป็นกบถ ทั้งยังท้าทายให้สมเด็จพระพันวษาออกมาชนช้างด้วย สำหรับเรื่องฆ่าฟันบ่าวไพร่ของขุนช้างทรงไม่เอาโทษ แต่ให้รับขุนแผนกับนางวันทองไปแก้ข้อกล่าวหา เรื่องลักพาตัวนางวันทองมา ขุนแผนตอบจมื่นศรีว่า เรื่องนางวันทองนั้นมันมีเรื่องยาวมาแต่ครั้งก่อน ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ก็เพราะผู้หญิงคนเดียว ขุนช้างยกไพร่พลมาเข้าล้อมจะไม่สู้ก็ตาย เป็นชายก็ไม่ควรหนี จึงได้เข้าต่อสู้จนบ่าวไพร่แตกหนีไปในป่าไม่ได้ไล่ฟัน แต่ขุนช้างกลับไปทูลว่า เราฆ่าฟันบ่าวไพร่ ที่มีรับสั่งให้มารับตัวกลับไปนั้น หากมีอาญาก็ไม่มีใครช่วยได้ ขอให้ท่านจงยกทัพกลับไปก่อน เมื่อหายกริ้วแล้วก็จะตามเข้าไปเฝ้า ฝ่ายจมื่นศรีกับจมื่นไวย ได้ฟังขุนแผนก็บอกว่า ขุนแผนนั้นเป็นคนดีมีวิชาคงจะเข้าใจ หากพระพันวษารู้ว่า พบแล้วไม่พาตัวกลับไปก็จะพิโรธ ความเก่าของขุนแผนก็ยังมีผิดติดตัวอยู่ พระองค์อาจจะเห็นเข้าข้างขุนช้างได้ ควรจะรีบเข้าไปเฝ้าเพื่อแก้ไขมลทินให้หมด หากดื้อดึงก็จะใช้กำลังจับไป ขุนแผนได้ฟังก็คิดว่า หากขัดขืนก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ จึงเบี่ยงบ่ายว่าตนนั้นกลัวพระอาญา หากจมื่นศรีกับจมื่นไวยไม่กรุณา คิดแต่จะใช้กำลังจับตนไปก็จนใจ
จมื่นศรีสั่งจับขุนแผน จมื่นศรีกับจมื่นไวยได้ฟังก็ให้ไพร่พลล้อมจับเป็น ขุนแผนก็อ่านมนต์และตวาดอำนาจครุฑ ผู้คนก็หยุดยืนนิ่งอยู่ แล้วขุนแผนก็ชักสีหมอกไว้ไม่เข้ารบ เพราะเกรงจะเป็นคนทรยศ ฝ่ายขุนเพชรกับขุนราม ซึ่งเป็นทัพปีกซ้ายและปีกขวาคิดว่าขุนแผนจะคิดขบถยึดเมือง จึงขับช้างเข้ามาเป็นปีกกา ล้อมขุนแผน กล่าวประนามขุนแผนด้วยประการต่าง ๆ และลามปามไปถึงขุนไกรกับนางทองประศรี พ่อแม่ของขุนแผน แล้วก็ขับช้างเข้าไปหาขุนแผน
|
Update : 18/5/2554
|
|