หน้าแรก สมาชิก รายการวัตถุมงคล ตะกร้าวัตถุมงคล วิธีชำระวัตถุมงคล วิธีบูชาวัตถุมงคล ประวัติวัด ติดต่อวัด เว็บบอร์ด
สมาชิก Log in
อีเมล์
รหัสผ่าน
สมัครสมาชิกใหม่
ลืมรหัสผ่าน
















ค้นหาวัตถุมงคล
 
 
 
หมวดวัตถุมงคล
  เครื่องราง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง หลวงพ่อสวัสดิ์
  พระเครื่อง หลวงปู่พิมพ์มาลัย
  พระเครื่อง หลวงพ่อสง่า
วัตถุมงคลของคุณ
รหัสวัตถุมงคล ราคา จำนวน
ยังไม่มีวัตถุมงคลอยู่ในตะกร้า
  • ชำระค่าวัตถุมงคล
  • แก้ไขรายการวัตถุมงคล
  • วิธีสั่งบูชาวัตถุมงคล
  •  

    ขุนช้าง ขุนแผน ในพงศาวดาร 9
    ขุนแผนได้ม้าสีหมอก
    เมื่อได้ดาบมีฤทธิ์ดังเทพศาสตราแล้วก็เอาบูชาไว้จากนั้นก็คิดจะไปหาม้าดีดีโดยเดินทางไปทั่วทุกแห่ง
    พร้อมเงินชั่งห้า ทั้ง ราชบุรี  สุพรรณบุรี และ เพชรบุรี
    มีชายสองคนชื่อ หลวงทรงพลกับพันภาณ ซึ่งมีพระโองการให้ไปซื้อม้า แล้วไปอยู่ที่เมืองมะริด ตะนาวศรี โดยให้หลวงศรีวรข่าน ไปซื้อม้าที่เมืองอื่น แต่ยังไม่กลับมา ต้องรอถึงฤดูลมแล่นใบ จึงจะมีเรือกลับมา เมื่อหลวงศรีกลับมาก็นำม้าไทยและม้าเทศหกสิบตัวมาให้ ในม้าเหล่านี้มีม้าเมืองมะริดชื่อ อีเหลือง และมีลูกม้าอีกตัวชื่อสีหมอก เกิดวันเสาร์ ขึ้นเก้าค่ำ เป็นม้าดุร้ายตาดำ เมื่อเห็นเขาต้อนม้าหลวงมาก็ตามมาด้วย ผ่านมากุยบุรี ปราณบุรี จนมาถึงเพชรบุรี ก็มาพักม้าที่เชิงเขาบันไดอิฐ ม้าสีหมอกก็เที่ยวไล่กัดม้าเทศ จนทุกคนเกลียดชัง
    เมื่อขุนแผนผ่านมาเห็นม้าสีหมอกที่คึกคะนองอยู่ มีลักษณะต้องตามตำรา ก็ดีใจเข้าไปหาหลวงทรงพล แล้วถามว่า ม้าตัวเล็กนี้ขายหรือไม่
    หลวงทรงพลจึงว่า ม้าสีหมอกนั้นมิใช่ม้าหลวง หากจะซื้อก็จะลดราคาเหลือเพียงสิบห้าตำลึง เมื่อขุนแผนซื้อม้าสีหมอกมาแล้ว ก็เสกหญ้าด้วย มหาละลวยให้ม้ากิน ทำให้ม้าสีหมอกมีใจจงรักภักดีต่อขุนแผน ขุนแผนขี่ม้าสีหมอกกลับมาบ้านเขาชนไก่ แล้วจึงไปหานางทองประศรี เล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้ฟัง
    ขุนแผนขึ้นเรือนขุนช้าง
    ตั้งแต่นางลาวทองถูกพรากไป ก็ไม่เคยสนใจผู้ใดอีก เฝ้าแต่คิดถึงนางลาวทองอยู่ทุกวัน แล้วคิดแค้นขุนช้างขึ้นมาอีก ว่าเมื่อครั้งที่ชิงนางวันทองไป ก็ไม่เคยว่ากล่าวสักคำให้ขุนช้างขุ่นเคือง แต่ยังกลับมายุยงทำให้ต้องพรากจากนางลาวทองไปอีก ถ้าไม่แก้แค้นก็จะไม่หายแค้น เหมือนดังสุภาษิตที่ว่า ใครคดก็ให้ต่อต้านด้วยความแข็ง หากใครซื่อก็ให้ซื่อตอบจนวันตาย พรุ่งนี้จะไปสุพรรณบุรี ไปลักพานางวันทองมา
    รุ่งขึ้นขุนแผนได้ไปบอกลานางทองประศรี จะไปแก้เผ็ดขุนช้าง โดยจะลักพานางวันทองไป หากขุนช้างตามมาก็จะฆ่าให้ตาย นางทองประศรีจึงบอกว่าตนไม่เห็นด้วย เพราะรังเกียจนางวันทอง ด้วยเป็นคนรูปงามแต่ใจทราม
    "วันทองหมองแม้นเหมือนแขวนเพชร   แตกเม็ดกระจายสิ้นเป็นสองสาม
    จะผูกเรือนก็ไม่รับกับเรือนงาม   แม่จึงห้ามหวงเจ้าเพราะเจ็บใจ"
    ขุนแผนก็ตอบนางทองประศรีว่า  ที่แม่ว่านั้นก็เป็นความจริง แต่เมื่อวันที่ได้ไปถึงสุพรรณหลังกลับจากทัพมานั้น นางวันทองได้เล่าความจริงให้ฟัง  แต่ตนกลับโกรธแล้วหุนหันมาไม่ยอมฟัง  จนนางวันทองเสียใจผูกคอตาย  แต่อย่างไรก็ตามทุกวันนี้ก็ยังนึกถึงความหลังอยู่  เมื่อนางลาวทองอยู่ก็ไม่ได้นึกถึงนางวันทองเลย  และขุนช้างกลับมาพรากไปเสีย ก็อยากลองดีดูสักครั้ง ขอให้นางทองประศรีอวยพรให้ด้วย
    นางทองประศรีฟังแล้ว เห็นว่าทัดทานขุนแผนไม่ได้ก็อวยชัยให้พร เมื่อเสร็จกิจแล้วให้กลับบ้าน ขุนแผนรับพรแล้วก็ขึ้นไปแต่งตัวบนหอพระนารายณ์  แล้วเป่ามนต์มหาละลวยในน้ำมันจันทน์ แล้วทาตัวให้คนเห็นรักใคร่
    "ขึ้นหอพระนารายณ์ระงับจิต   เอาเทียนติดธูปถวายทั้งซ้ายขวา
    ลงหินฝนจันทน์น้ำมันทา   ใครเห็นกายาให้ยวนใจ
    สอดใส่สนับเพลาม่วงดวงวิหค   นุ่งยกแย่งทองผ่องใส
    รอยจีบกลีบกระหวัดรัดละไม   เสื้อสั้นชั้นในล้วนเลขยันต์
    เสื้อนอกดอกช่อฉลุทอง   ตระพองทับเจียรบาดคาดมั่น
    แหวนถักพระพิรอดสอดพัน   สังวาลคั่นเครื่องสลับกับผมพราย
    จับประเจียดประจุประจงโพก   ได้มหาสิทธิโชคสำคัญหมาย"
     
    ขุนแผนเรียกโหงพรายไปด้วย แล้วขี่ม้าสีหมอกไปยังบ้านขุนช้าง เมื่อไปถึงใกล้บ้านขุนช้างก็ตัดไม้ปลูกศาลขึ้น ทำพิธีเชิญเทวดามาเป็พยานว่า จะมาทำลายล้างขุนช้าง เพราะขุนช้างแย่งชิงเมียมา หากที่กล่าวมานี้เป็นสิ่งโกหกขอให้ทำการใดไม่สำเร็จ  เมื่อทำพิธีเสร็จก็ขี่ม้ามาบ้านขุนช้างก็เห็นมีเขื่อนคูรอบบ้าน และผู้คนนั่งตามไฟเฝ้าระวังอยู่  และมีผีพรายห้านางเฝ้ารอบบ้าน  
    เมื่อเห็นโหงพรายของขุนแผนก็เข้าต่อสู้กัน  ขุนแผนถือดาบฟ้าฟื้น แล้วซัดข้าวสารที่ย้อมด้วยว่านอาคมสาดเข้าไป นางพรายทั้งห้ารู้ว่าขุนแผนเป็นคนมีวิชา จึงแปลงกายเป็นคนเข้าไปถาม ขุนแผนก็รู้ว่าพรายแปลง ก็ไม่กลัวบอกว่า ตนคือผัวนางวันทอง ขุนช้างได้ลักพามาเป็นเมีย ขอให้นางช่วยเปิดประตูให้ด้วย นางพรายจึงว่า ขุนช้างเลี้ยงดูพวกตนมา ควรจะทดแทนบุญคุณไม่ควรจะเนรคุณ

                ขุนแผนจึงซัดข้าวสารไปอีก เหล่านางพรายก็หนีไปแล้ว ขุนแผนก็ขี่สีหมอกข้ามคูไปจนถึงเรือนของขุนช้าง แล้วจึงไปที่ชานของบ้าน ซึ่งปลูกดอกไม้ไว้สวยงาม เมื่อถึงห้องก็สะเดาะกลอนเข้าไปพบนางแก้วกิริยานอนหลับอยู่ ก็รู้ว่าไม่ใช่ห้องของนางวันทอง  คิดว่าเป็นเมียน้อยของขุนช้าง ก็เข้าไปร่ายมหาละลวยแล้วคลายมนต์สกดจนนางแก้วกิริยาตื่นขึ้น เห็นขุนแผนก็ตกใจถามว่า ท่านเป็นใครรูปร่างหน้าตาก็คงจะไม่เป็นโจร
    ขุนแผนได้นางแก้วกิริยา
     
    ขุนแผนได้ยินนางแก้วกิริยาถาม จึงตอบว่า ตัวพี่เป็นทหารของพระพันวษาชื่อขุนแผน มาตามหานางวันทองซึ่งเคยเป็นเมีย แล้วถูกขุนช้างที่เป็นเพื่อนลักเอามาเป็นเมีย แล้วถามนางว่า นางเป็นใคร จึงมาอยู่ที่บ้านขุนช้าง
     

    ฝ่ายนางแก้วกิริยาเมื่อรู้ว่าเป็นขุนแผน และเห็นว่ามีรูปร่างหน้าตาดี จึงนึกว่า เหตุใดนางวันทองไม่อยากอยู่ด้วย และคิดว่าหากไม่บอกความจริง ขุนแผนอาจทำร้ายได้ จึงแกล้งพูดว่า อย่ามาทำเป็นแกล้งยอ เพราะตนคงจะไปแข่งกับนางวันทองไม่ได้ และตนเป็นเพียงบ่าว ที่พ่อมาขายฝากไว้ด้วยต้องการเงินสิบห้าชั่ง
    "เต่าเตี้ยดอกอย่าต่อให้ตีนสูง   มิใช่ยูงจะมาย้อมให้เห็นขัน
    หิ่งห้อยฤาจะแข่งแสงพระจันทร์   อย่าปั้นน้ำให้หลงตะลึงเงา"
    ขุนแผนได้ฟังก็สงสาร แล้วก็แก้ห่อเงินมอบให้ พร้อมกับเล้าโลมจนได้นางแก้วกิริยาเป็นเมีย แล้วขุนแผนก็ถอดแหวนเพชรให้นางแก้วกิริยาไว้ดูต่างหน้า และถามถึงห้องของนางวันทอง เมื่อนางแก้วกิริยาบอกแล้วขุนแผนก็เดินถือดาบฟ้าฟื้นขึ้นไปที่หอกลาง เมื่อถึงก็สะเดาะกลอนเข้าไปในห้อง เห็นม่านที่ปักด้วยไหมสวยงามถึงสามชั้น ก็รู้ว่าเป็นฝีมือของนางวันทอง
    ขุนแผนชมเรือนขุนช้าง
    "ม่านนี้ฝีมือวันทองทำ   จำได้ไม่ผิดในตาพี่
    เส้นไหมแม้นเขียนแนบเนียนดี   สิ้นฝีมือแล้วแต่นางเดียว
    เจ้าปักเป็นป่าพนาเวศ   ขอบเขตเขาคลุ้มชอุ่มเขียว
    รุกขชาติดาดใบระบัดเรียว   พริ้งเพรียวดอกดกระดะดวง
    ปักเป็นยุราลงรำร่อน   ฝ่ายฟ้อนอยู่บนยอดภูเขาหลวง
    แผ่หางกางปีกเป็นพุ่มพวง   ชะนีหน่วงเหนี่ยวไม้ชม้อยตา
    ปักเป็นหิมพานต์ตระหง่านงาม   อร่ามรูปพระสุเมรุภูผา
    วินันตกหัศกันเป็นหลั่นมา   การวิกอิสินธรยุคนธร
    อากาศคงคาชลาสินธุ์   มุจลินท์ห้าแถวแนวสลอน
    ไกรลาสสะอาดเอี่ยมอรชร   ฝูงกินรคนธรรพ์วิทยา"
    "ถึงม่านชั้นสามดูงามพริ้ม   ฝีมือพิมเจ้าทำพี่จำได้
    ยืนพิศม่านน้องต้องติดใจ   ฉลาดนักปักไว้เป็นคาวี"
     
    เมื่อยืนดูม่านก็ยิ่งแค้นใจ  ขุนแผนก็ฟันม่านจนขาด แล้วเข้าไปตลบมุ้งขึ้น เห็นขุนช้างนอนกอดนางวันทองอยู่ ก็เงื้อดาบจะฟันทั้งสองคน กุมารทองปัดดาบแล้วกราบขอโทษขุนแผน และบอกว่าอย่าทำให้ถึงตายเอาแค่เจ็บ และอายเท่านั้นจะดีกว่า ขุนแผนคลายความโกรธลงแล้วคลายมนต์ นางวันทองตื่นขึ้นตกใจกลัว(แต่ไม่ลืมตา) คิดว่าขุนแผนเป็นขุนช้าง แล้วเล่าความฝันให้ฟัง ขุนแผนจึงทำนายฝันให้ฟัง
    นางวันทองฟังเสียงก็ยังจำไม่ได้ จึงเอามือลูบคลำ รู้ว่าไม่ใช่ขุนช้างเพราะมีรูปร่างผอมบางก็ตกใจ ขุนแผนแค้นใจจึงต่อว่า ตนนั้นจำวันทองได้เสมอ แต่ทำไมนางจำตนไม่ได้ คงจะลืมเรื่องราวทีไร่ฝ้ายแล้วกระมัง ได้ผัวดีมีเงินมากมายก็เลยลืมผัวเก่า
    "เจ้าลืมนอนซ่อนพุ่มกระทุ่มต่ำ   เด็ดใบบอนช้อนน้ำที่ไร่ฝ้าย
    พี่เคี้ยวหมากเจ้าอยากพี่ยังคาย   แขนซ้ายคอดแล้วเพราะหนุนนอน
    เจ้ามาได้ผัวดีมีทรัพย์มาก   มาลืมเรือนเพื่อนยากแต่เก่าก่อน
    หลงเชิงขุนช้างช่างชะอ้อน   กอดท่อนซุงสักสำคัญคน"
    นางวันทองเมื่อได้ฟังคำตัดฟ้อเรื่องไร่ฝ้าย ก็จำได้ว่าเป็นขุนแผน ก็หันไปปลุกขุนช้างแล้วว่า มัวแต่นอนอยู่ ไม่กลัวพระกาฬจากเมืองกาญจนบุรีหรือ ขุนแผนก็กล่าวหาว่านางตระบัดสัตย์ นางวันทองให้มีความเจ็บแค้นใจมากจึงว่า ตนยังจำความหลังทั้งหมดได้ ที่ขุนแผนเรียกนางลาวทองมาตบตน และแขวนหนังสือด่าไว้ว่าเหมือนกากี ที่ตนต้องเสียตัวให้ขุนช้างก็เพราะขุนแผนไม่เคยใยดีด้วย ที่มานี่เพราะนางลาวทองไปแล้วหรืออย่างไร จึงกลับมาหาเมียเก่า
    "นี่ลาวทองจากห้องไปแล้วฤๅ   จึงถึงดื้อเดือดมาเวลาค่ำ
    ไม่ตามใจขัดใจจึงเพ้อพำ   นี่อดน้ำแล้วสิเลี้ยวมากินตม"

    • Update : 18/5/2554
    © Copyright 2011 www.watnongmuang.com All rights reserved 999arch