หน้าแรก สมาชิก รายการวัตถุมงคล ตะกร้าวัตถุมงคล วิธีชำระวัตถุมงคล วิธีบูชาวัตถุมงคล ประวัติวัด ติดต่อวัด เว็บบอร์ด
สมาชิก Log in
อีเมล์
รหัสผ่าน
สมัครสมาชิกใหม่
ลืมรหัสผ่าน
















ค้นหาวัตถุมงคล
 
 
 
หมวดวัตถุมงคล
  เครื่องราง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง หลวงพ่อสวัสดิ์
  พระเครื่อง หลวงปู่พิมพ์มาลัย
  พระเครื่อง หลวงพ่อสง่า
วัตถุมงคลของคุณ
รหัสวัตถุมงคล ราคา จำนวน
ยังไม่มีวัตถุมงคลอยู่ในตะกร้า
  • ชำระค่าวัตถุมงคล
  • แก้ไขรายการวัตถุมงคล
  • วิธีสั่งบูชาวัตถุมงคล
  •  

    ขุนช้าง ขุนแผน ในพงศาวดาร 8
    พระพันวษาให้พรากนางลาวทอง
    พระพันวษาได้ยินก็โกรธ ที่ขุนแผนบังอาจปีนกำแพงวังออกไป โทษนั้นถึงตาย แต่ด้วยเคยมีความดีความชอบ ก็ให้ไปพานางลาวทองมา ส่วนตัวขุนแผนนั้นไม่ต้องให้เข้ามาในวังอีก แต่ให้คุมไพร่ตรวจตามด่านอยู่ที่กาญจนบุรี เมื่อใดมีราชการศึกจึงจะให้ไปรบ
    ฝ่ายนางลาวทองเมื่อหายไข้แล้ว ก็ฝันไปว่ามียักษ์เข้ามาในห้อง แล้วจับตนมัดลากไปใส่ไว้ในกรงเหล็ก ขุนแผนตามไปก็เกิดตกเหว แต่มีชายคนหนึ่งมีวิชาดี ได้อุ้มตนกับขุนแผนจากแดนยักษ์กลับมาส่งที่บ้าน
    เมื่อตื่นขึ้นก็เล่าความฝันให้ขุนแผนฟัง ขุนแผนรู้ว่าเป็นฝันร้ายและตนจะต้องพลักพรากจากนางลาวทองไปนาน แต่จะมีคนมาแก้ไขให้ได้พบกันอีก แต่จะบอกความจริงก็กลัวนางลาวทองจะตกใจ จึงแกล้งบอกว่า ฝันนี้ไม่ร้ายไม่ดี คงจะเป็นเพราะเป็นไข้ครั้งก่อน ธาตุคงแปรปรวนก็ได้ ก่อนรุ่งเช้าก็เกิดอาเพท จิ้งจกทัก แมงมุมตีอก เหมือนจะบอกเหตุร้าย เมื่อเห็นตำรวจในวังมาที่บ้าน ขุนแผนตกใจเหมือนใครควักหัวใจออกจากร่าง รีบไปหาตำรวจ แล้วถามว่ามีเหตุอะไร หรือมีศึกมาที่อยุธยา ตำรวจกับบอกข่าวแก่ขุนแผนว่า ขุนช้างกราบทูลพระพันวษาว่าขุนแผนปีนข้ามกำแพงวังมา ขุนช้างขัดขวางแล้วก็ไม่เชื่อฟัง ซึ่งจะมีโทษถึงตาย แต่ด้วยมีความชอบที่ตีเมืองเชียงทองได้ จึงเพียงแต่ห้ามเข้าเฝ้า แล้วให้นำตัวนางลาวทองไป ขุนแผนจึงเล่าให้นางลาวทองฟัง แล้วบอกว่าที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้เป็นเพราะผลกรรมที่เราได้ทำไว้ ขอให้รักษาตัวให้ดี อย่าทำในสิ่งที่ชั่วช้า หากมีบุญอยู่บ้างนานเข้าก็จะหมดกรรมนี้แล้วก็พานาง
    ลาวทองไปหานางทองประศรี บอกว่าพระพันวษาให้พรากนางลาวทองไปไว้ที่ในวัง ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะขุนช้างคนเดียว จากนั้นตำรวจในวังก็พานางลาวทองมาที่อยุธยา เข้าเฝ้าพระพันวษา พระพันวษาก็สั่งให้แจ้งขรัวนางไปสั่งนายประตูไว้ คอยดูนางลาวทองไม่ให้ออกไปนอกวัง และอยู่ในวังให้ปักสะดึงกรึงไหมและให้อาศัยที่ริมคลัง
    กำเนิดกุมารทอง
                ฝ่ายขุนแผนให้คิดถึงแต่นางลาวทอง  แล้วก็ให้แค้นใจขุนช้างมากที่แย่งนางวันทองไป  ทั้งยังทูลยุยงต่อ
    พระพันวษาว่าตนปีนกำแพงวังออกมา พระพันวษาก็หลงเชื่อและพิโรธตนโดยไม่ไต่ถามความจริง จนลาวทองต้องถูกขังอยู่ในวัง  ส่วนตนก็ถูกห้ามมิให้เข้าไปเฝ้าแต่ให้ตรวจตราอยู่แถวชายแดน ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้นใจ ขุนแผนก็คิดจะไปลักตัวนางวันทองกลับมา  เมื่อขุนช้างติดตามมาก็จะฆ่าเสีย  หากเกรงแต่พระพันวษาจะให้ทัพตามมาและตนเองก็ไม่มีกำลังจะต่อสู้ก็จะถูกฆ่าเสีย ขุนแผนจึงคิดจะตีดาบ  หาซื้อม้า  และปลุกกุมารทองขึ้น  เพื่อจะได้สู้รบกับศัตรูได้
          ".....จะตีดาบซื้อม้าหากุมาร                   ให้เชี่ยวชาญวิชาได้ฝ่าศึก....."
    ขุนแผนออกป่า
    รุ่งเช้าขุนแผนจึงบอกตาบัว คนรับใช้ว่า ตนจะไปราชการชายแดนแล้วจึงเดินทางไปตามป่าตามเขา  ถึงบ้านกระเหรี่ยงข่า ละว้า มอญ  เพื่อหาสิ่งที่ต้องการ
     
    มีชายคนหนึ่งชื่อ นายเดช  กระดูกดำ  อาศัยอยู่ที่บ้านถ้ำเป็นช่างใหญ่มีตำแหน่งเป็น หมื่นหาญ  เป็นนักเลงหัวไม้ที่มีฝีมือคนหนึ่ง  ลักษณะรูปร่างสูงเกือบสี่ศอก  ตาโตใหญ่  หนวดโง้ง  ผมหยิก  คงกระพัน  มีวัว ควาย บ่าวไพร่มากมาย  มีเมียชื่อ นางสีจันทน์  และลูกสาวอายุสิบเจ็ดปีชื่อ บัวคลี่  หมื่นหาญเป็นคนหวงลูกสาวมาก  เจ้าเมืองกรมการบ้านบนแต่งคนมาขอก็ไม่ให้  หากมีคนแปลกหน้ามาก็ให้ทหารจับตัว  แล้วไปฆ่าทิ้ง
    วันหนึ่งบัวคลี่ได้ชวนบ่าวไพร่ไปในไร่  ฝ่ายขุนแผนเดินทางมาถึงไร่ของหมื่นหาญเห็นนางบัวคลี่นั่งอยู่ที่ห้างกลางไร่  รูปร่างหน้าตาสวยงาม ก็ให้อยากได้นางเป็นเมียคงจะมีลูกหัวปีเป็นชาย  ขุนแผนจึงเข้าไปในไร่  พวกบ่าวไพร่เห็นเข้าก็ไล่ออกไป
     
    ฝ่ายขุนแผนก็แกล้งทำเป็นกลัว  แล้วว่าตนไม่รู้ว่าเป็นที่ต้องห้ามสำหรับผู้ชาย แล้วที่นั่งอยู่นั่นเป็นลูกสาวเจ้านายบ้านเมืองไหน  บ่าวไพร่จึงบอกว่า นางชื่อ บัวคลี่ เป็นลูกสาวหมื่นหาญ  เมื่อขุนแผนรู้ว่านางชื่อ บัวคลี่ ลูกสาวหมื่นหาญที่เป็นคนมีฝีมือ  จึงน่าจะเข้าทอดสนิทกับหมื่นหาญ  โดยยอมให้ใช้สอยก็จะรักตน  แล้วก็คงจะยกนางบัวคลี่ให้
    เมื่อคิดดังนั้นขุนแผนจึงเดินตัดตรงมาที่บ้านหมื่นหาญ พวกบ่าวไพร่จึงเข้าไปเล่าให้ทหารฟังว่า มีคนหลบหนีนายมา หวังจะมาพึ่งบุญเจ้านายเรา  พวกทหารก็เข้าไปบอกนายซ่อง นายซ่องก็ให็ไปเอาตัวมาพบหมื่นหาญ  เมื่อหมื่นหาญออกมาเห็นว่าขุนแผนนั้นมีสง่าราศรี  น่าจะเป็นคนที่มีสกุลรุนชาติ จึงร้องถามว่าชื่ออะไร เป็นลูกน้องใครที่ใหน  แล้วมาทำอะไรที่นี่
    ขุนแผนจึงบอกว่าตนชื่อแก้ว อยู่กองข้างหกเหล่า ที่ด่านมีงานมาก เหนื่อยเข้าก็หนีมา เป็นคนไร้ญาติและยากจน จึงได้เข้ามาเพื่อขอพึ่งบุญ  แล้วก็เป่าคาถามหาละลวยไปจนหมื่นหาญงงงวย เพราะฤทธิ์เวทมนตร์  สิ้นความสงสัย และกลับรักใคร่ในตัวขุนแผนเหมือนลูกในไส้  แล้วอนุญาติให้ขุนแผนอยู่ด้วย จนกระทั่งใกล้ชิดกับครอบครัวหมื่นหาญ  นางบัวคลี่ก็เรียกว่าพี่แก้ว ส่วนเมียหมื่นหาญก็ให้ความเอ็นดูเป็นอย่างมาก
    ขุนแผนช่วยชีวิตหมื่นหาญ
    วันหนึ่งหมื่นหาญอยากจะไปล่ากระทิงป่า จึงให้พลายแก้วไปด้วย
    "ขุนแผนรับคำเจ้าคะจะไปด้วย   หมื่นหาญฉวยเอาย่ามมายื่นให้
    กับหอกคร่ำสำหรับไปเที่ยวไพร   แล้วสวมใส่เสื่อกั๊กกางเกงดำ
    เต้าชนวนเขนงคาดเอวมั่น   แกหยิบปืนสุตันสันคร่ำ
    กระสุนสามบาทชาติพันลำ   แบกนำหน้าตรงเข้าพงไพร"
    เมื่อเข้าไปในป่าพบกระทิงวิ่งสวนมา ขุนแผนเข้าขวางแล้วต่อสู้จนวัวล้มลง หมื่นหาญจึงคิดว่า หากไม่ได้ออแก้วตนคงตายไปแล้ว  เมื่อกลับมาจึงบอกเมียว่า  ไปป่าคราวนี้เคราะร้ายเกือบตาย แต่ออแก้วช่วยไว้ นับว่าเป็นบุญคุณมากควรจะได้ทดแทน บุญคุณโดยการยกนางบัวคลี่ให้เป็นเมีย
    "ถ้าคนอื่นไกลมิใช่แก้ว   เห็นแววชีวิตจะฉิบหาย
    คุณเขาอยู่กับเราก็มากมาย   แน่ท่านยายข้าจะว่าอย่าน้อยใจ
    จำต้องเกื้อหนุนแทนคุณเขา   ออบัวคลี่ลูกเราจะยกให้....."
    ฝ่ายนางสีจันทร์ ได้ฟังและด้วยตนรักขุนแผนเป็นทุนอยู่แล้ว ก็ดีใจและเห็นดีด้วย  แล้วได้เรียกขุนแผนมาถามว่า  มาอยู่ที่นี่ก็นานแล้วคิดจะกลับบ้านบ้างหรือไม่  และตอนนี้จะยกนางบัวคลี่ให้ จะชอบหรือไม่อย่างไรให้ตอบมา
    ขุนแผนแต่งงานกับนางบัวคลี่
    ฝ่ายพลายแก้วจึงตอบว่า  ตนนั้นลำบากยากจนมาพึ่งบุญ  หากยังให้ความเมตตาก็จะไม่คิดไปไหน   จะฝากชีวิตไว้ที่นี้  หมื่นหาญกับนางสีจันทร์ได้ยินก็ดีใจ ให้บ่าวไพร่จัดเตรียมข้าวของ แต่ด้วยแถวนี้ไม่มีวัดในวันแต่งงานก็ให้เซ่นเจ้าที่เจ้าทาง ตามอย่างโบราณแทน
    "จะสวดมนต์ก็ขัดวัดไม่มี   เราเซ่นผีเซ่นสางอย่างบุราญ
    ท่านยายสีจันทร์ผู้มารดา   ก็จัดแจงข้าวปลากระยาหาร
    เนื้อหมูปูปลาสุราบาน    ก็สำเร็จเสร็จการทุกสิ่งอัน"
    หลังจากที่ขุนแผนแต่งงานกับนางบัวคลี่แล้ว ต่อมานางก็ตั้งครรภ์ และขุนแผนไม่เคยช่วยทำงานใดๆเลย  นั่งอยู่แต่ในบ้าน  หมื่นหาญกับนางสีจันทร์ เห็นขุนแผนกลับเป็นคนดูดาย   ก็ปรึกษากันว่าคิดผิดที่ยกลูกสาวให้ แล้วจึงเรียกขุนแผนมาถามว่า  ต่อไปจะทำอะไรเลี้ยงตัว  ขุนแผนจึงตอบว่า เรื่องเป็นโจรนั้นตนคงทำไม่ได้ แต่ถ้าหากมีเหตุเพทภัยเกิดขึ้น ตนจะรับแทนเอง  หมื่นหาญโกรธก็ว่าขุนแผนว่า ดีแต่ชอบอวดตัว
    ขุนแผนจึงตอบว่า พวกทหารทั้งหลายที่อยู่ยงคงกระพัน หากเขารุมแทงก็คงจะตาย  สู้คนที่มีวิชาไม่ได้ หากถูกปืนหรืออาวุธใดๆ ก็จะแคล้วคลาด  หมื่นหาญจึงเรียกทหารยี่สิบคนให้เอาปืนมาลองยิง  พลายแก้วก็ลงจากเรือน แล้วอ่านคาถา  และให้หมื่นหาญยิง   หมื่นหาญให้ทหารทั้งยี่สิบคนยิงพร้อมกัน  แต่กลับไม่ถูกขุนแผน เมื่อเห็นดังนั้น ก็ให้นึกกลัวแล้วคิดว่า เป็นคนดีมีวิชา แต่แกล้งถ่อมตน  เมื่อเป็นอย่างนี้เห็นจะอยู่ด้วยกันไม่ได้
    "มาหมกคลุมซุ่มอยู่ไม่รู้แจ้ง   มันมาแกล้งถ่อมตนเหมือนคนบ้า
    กูก็เป็นคนดีมีวิชา   ยังอ้ายนี่ดีกว่าน่าน้อยใจ
    ดังพญาสีหราชอันกราดเกรี้ยว    อยู่ถ้ำเดียวสองตัวเห็นไม่ได้"
    ฝ่ายขุนแผนเมื่อเสียงปืนสงบลงก็ลืมตาขึ้น  เหล่าทหารเกิดความกลัวก็ก้มลงกราบแล้วขอโทษ ส่วนหมื่นหาญนั้นให้ร้อนใจมาก เรียกนางสีจันทร์มาปรึกษาว่า  นายแก้วเป็นคนมีวิชาเก่งกล้ากว่าตน ต่อไปจะต้องต่อสู้กันจนตาย
    "มันก็เป็นช้างงาอันกล้าหาญ   เราก็เป็นคชสารอันสูงใหญ่
    จะอยู่ป่าเดียวกันนั้นฉันใด   นานไปก็จะยับอัประมาณ"
    เมื่อคิดดังนั้นแล้ว น่าจะฆ่ามันให้ตาย
    "ครานั้นสีจันทร์ภรรยา   ได้ฟังว่าอกสั่นขวัญหาย
    มันก็ชาติอสรพิษฤทธิ์แรงร้าย   ไม่เหมือนหมายมันจะทำเรารำคาญ
    ถ้าเสียที่เหมือนตีงูให้หลังหัก    มันคงจักพยาบาทชาติทหาร
    ได้ทำแล้วให้มันตายวายปราณ    จงตรองจิตคิดอ่านให้จงดี"
    นางบัวคลี่วางยาพิษขุนแผน
    ฝ่ายหมื่นหาญก็ว่า  นายแก้วเป็นคนมีวิชา จะใช้อาวุธฆ่าคงไม่ได้ ควรจะวางยาจะดีกว่าแล้วก็ให้บ่าวไปเรียก นางบัวคลี่มาหา  แล้วถามว่าพ่อกับแม่เลี้ยงลูกมาจนเติบใหญ่ ส่วนผัวเพิ่งจะมาได้กันเมื่อโตแล้ว เจ้ารักใครมากกว่ากัน นางบัวคลี่จึงตอบไปตามความจริง รักพ่อมากกว่า อันผัวนั่นรักกันเพียงใด เมื่อลงบันไดสามขั้นไปก็ขาดกัน  แต่พ่อแม่นั้นถึงลูกจะชั่วก็ตัดกันไม่ขาด  หมื่นหาญก็บอกว่า พ่อดูคนผิด ไอ้แก้วมันยากจนไม่อยากให้อยู่ด้วยกันอีกต่อไป จะหาผัวให้ใหม่ที่เป็นผู้ดีมีชาติตระกูล หากนางบัวคลี่ได้ผัวใหม่ก็จะยกทรัพย์สมบัติให้ทั้งหมด  แต่จะต้องวางยาให้ไอ้แก้วมันตายก่อน  จะเห็นเป็นอย่างไร
            ฝ่ายนางบัวคลี่แม้ว่าจะรักขุนแผนมาก  แต่ใจเกิดความโลภและเป็นคราวที่จะต้องตายทั้งกลม จึงตอบหมื่นหาญว่า สุดแล้วแต่พ่อ  หมื่นหาญก็ผสมยาพิษประกอบด้วย ดีนกยูง ดีหนู ดีงูเห่า และสารหนู   ผสมกับน้ำมะนาว  แล้วห่อใบพลูให้ลูกสาว
    "หมื่นหาญเห็นลูกพร้อมลงยอมจิต   จึงประกอบยาพิษหาช้าไม่
    เป็นหลายสิ่งผสมกันเข้าทันใด   ตำหรับใหญ่ได้มาจากตาครู
    ดีนกยูงดีหนูดีงูเห่า    บดเข้าคุลีการกับสารหนู
    น้ำมะนาวบีบประคนปนดีงู    ห่อใบพลูสั่งให้ลูกสาวพลัน
    ทำสำรับข้าวแกงแต่งขึ้นไว้    เอายานี้แทรกใส่ทุกสิ่งสรรพ์
    จงระวังปกปิดให้มิดควัน    วางเสียวันนี้แหละอย่านอนใจ"
    เมื่อนางบัวคลี่จัดแจงอาหารคาวหวานไว้ให้ขุนแผน  โหงพรายเห็นก็กระซิบบอกขุนแผนว่า นางบัวคลี่คิดไม่ซื่อใส่ยาพิษในอาหารอย่าได้กิน
    ฝ่ายขุนแผนนั้น เมื่อได้ฟังว่า นางบัวคลี่คิดจะฆ่า ก็อยากรู้เป็นความจริงหรือไม่ ก็เอาข้าวแกงและอาหารทุกอย่างปั้นโยนขึ้นไปบนหลังคา ก็มีอีกามาโฉบไปกิน พอกินเข้าไปก็ชักตาย จึงเชื่อว่าเป็นความจริงแล้วก็คิดว่าคงจะเลี้ยงเป็นเมียอีกไม่ได้  จึงแกล้งทำเป็นไม่รู้แล้วบอกนางบัวคลี่ว่า ตนกินอีกก็ไม่ใด้จะอาเจียนจะขอนอนพัก สักครู่นางบัวคลี่เอาสำรับกับข้าวไปเก็บแล้วก็เข้าไปนวดเฟ้น  ขุนแผนก็ขอลูกในท้องนาง นางบัวคลี่พาซื่อตอบว่า  ลูกในทองนี้เกิดจากเราสองคน ทำไมจึงจะต้องขอ  ขุนแผนจึงว่าตนอยากได้ลูกเป็นกรรมสิทธิ์ ขอให้อนุญาติด้วย  นางบัวคลี่พูดอีกว่าจะวอนขอทำไม เพราะลูกนั้นเกิดมาก็เป็นลูกของขุนแผนด้วย  ขุนแผนก็ตัดพ้อว่า  ขอเท่านี้ก็ไม่ยอมให้
    ฝ่ายนางบัวคลี่ให้ถึงอายุที่จะสิ้นชีวิต ก็พลั้งปากประชดไปว่า  อยากได้ก็แหวะจากท้องไป  ขุนแผนจึงบอกว่า ถือว่าเป็นคำที่บอกว่ายกให้เป็นสิทธิ์ เพราะแม่ยกให้แล้ว และจะทำอะไรก็ได้ตามที่ต้องการ  แล้วก็แกล้งเข้าเล้าโลม นางบัวคลี่ให้ตายใจ  เมื่อถึงเวลาดึกทุกคนหลับกันหมด ก็ลุกขึ้นเตรียมสิ่งของที่จะทำกุมารทองเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เข้ามุ้งไปฆ่านางบัวคลี่ แล้วก็ผ่าแล่งตลอดอกจนถึงท้อง  แล้วแหวะรกออก จึงเห็นว่าเป็นลูกชาย แล้วอุ้มออกจากท้องห่อผ้าใส่ย่าม
    ขุนแผนปลุกกุมารทอง
    ขุนแผนเดินตัดป่าไปถึงวัดใต้ และเข้าไปในวิหารปิดประตูแน่นหนา แล้วจึงทำพิธีปลุกกุมารทองจนถึงรุ่งเช้า
    "วางย่ามเปิดกลักแล้วชักชุด   ตีเหล็กไฟจุดเทียนขึ้นแดงร่า
    เอาไม้ชัยพฤกษ์พระยายา   ปักเป็นขาพาดกันกุมารวาง
    ยันต์นารายณ์แผลงฤทธิ์ปิดศรีษะ    เอายันต์ราชะปะพื้นล่าง
    ยันต์นารายณ์ฉีกอกปกปิดกลาง    ลงยันต์นางพระธรณีที่พื้นดิน
    เอาไม้รักปักเสาขึ้นสี่ทิศ    ยันต์ปิดปักธงวงสายสิญจน์
    ลงเพดานยันต์สังวาลอัมมรินทร์    ก็พร้อมสิ้นในตำราถูกท่าทาง
    เอาไม้มะริดกันเกราเถากันภัย    ก่อชุดจุดไฟใส่พื้นล่าง
    ตั้งจิตสนิทดีไว้ที่ทาง   ภาวนานั่งย่างกุมารทอง"
    หมื่นหาญและนางสีจันทร์เห็นลูกสาวถูกฆ่าเลือดนองอยู่ก็รู้ว่าขุนแผนชิงลูบคม  ก็เกณฑ์บ่าวไพร่ให้ไปตามจับขุนแผนมาให้ได้ พวกบ่าวไพร่ตามรอยเลือดไปถึงวิหารวัดใต้  แอบดูที่รูกุญแจเห็นขุนแผนนั่งอยู่ก็พังประตูเข้าไป
     
    ฝ่ายขุนแผนไม่สะทกสะท้าน กลับนั่งอ่านมนต์ปลุกลูกอยู่ จนผีลูกลุกขึ้นพูดได้  ขุนแผนจึงร่ายมนต์กำบังตัวแล้วขึ้นขี่คอกุมารทอง และบอกให้กุมารทองช่วยตนให้พ้นภัยด้วย กุมารทองก็พาพ่อออกทางรูกุญแจหนีไปได้ โดยที่พวกหมื่นหาญไม่เห็นตัว เมื่อออกมาแล้วจึงได้คลายมนต์ยืนจูงผีกุมารทองอยู่  พวกทหารและบ่าวไพร่ก็จะเข้าต่อสู้กับขุนแผน  ขุนแผนก็ร้องบอกว่า ต้องการฆ่าแต่หมื่นหาญ หมื่นหาญโกรธมาก ชี้หน้าด่าว่าขุนแผนเป็นคนเนรคุณ จะไม่ยอมไว้ชีวิตอีก 
    ขุนแผนโกรธบอกว่า  โทษของหมื่นหาญกลับไม่พูด ที่ได้คบคิดกับลูกวางยาพิษ  เพราะเหตุนี้จึงทำให้ต้องฆ่านางบัวคลี่  และหมื่นหาญก็จะต้องตายด้วย  แล้วก็ถือกริชตรงไปหาหมื่นหาญ หมื่นหาญเข้าต่อสู้แต่เพลี้ยงพล้ำ จึงขอชีวิต
    ฝ่ายขุนแผนเห็นดังนั้นก็กล่าวสำทับว่า โทษของหมื่นหาญนั้นสมควรตาย  หากตนไม่คิดว่าเคยมีบุญคุณได้เลี้ยงดูมา ทั้งนางสีจันทร์ได้ให้เสื้อผ้าและเงินทอง นับว่าเป็นบุญคุณ ครั้งนี้จึงจะยกโทษให้ แล้วก็ขึ้นขี่คอโหงพรายกำบังกายกลับไปบ้านกาญจนบุรี
    หมื่นหาญนั้นเมื่อเห็นฤทธิ์ขุนแผนแล้ว ก็เห็นว่าที่ตนมีวิชาดีนั้นยังไม่ได้เสี้ยวของขุนแผนทำให้แค้นใจ  และอับอายบ่าวไพร่ที่ตนพ่ายแพ้ขุนแผน จึงบอกให้บ่าวไพร่กลับไปบ้าน แล้วช่วยกันต่อโลงใส่ศพนางบัวคลี่ไปฝัง
    ขุนแผนตีดาบฟ้าฟื้น
    ฝ่ายขุนแผนนั้นดีใจมากที่ได้ลูกชายมาเป็นกุมารทองที่มีฤทธิ์เดช ก็คิดจะตีดาบไว้ปราบศึก  จึงเตรียมหาเหล็กในที่ต่างๆ ตามตำราเพื่อมาตีเป็นดาบ
    "จะจัดแจงตีดาบไว้ปราบศึก   ตรองตรึกหาเหล็กไว้หนักหนา
    ได้เสร็จสมอารมณ์ตามตำรา   ท่านวางไว้ในมหาศาสตราคม
    เอาเหล็กยอดพระเจดีย์มหาธาตุ    ยอดปราสาททวารามาประสม
    เหล็กขนันผีพรายตายทั้งกลม    เหล็กตรึงโลงตรึงปั้นลมสลักเพชร
    หอกสัมฤทธิ์กริชทองแดงพระแสงหัก    เหล็กปฏักสลักประตูตะปูเห็ด
    พร้อมเหล็กเบญจพรรณกัลเม็ด    เหล็กบ้านพร้อมเสร็จทุกสิ่งแแท้
    เอาเหล็กไหลหล่อบ่อพระแสง   เหล็กกำแพงน้ำพี้ทั้งเหล็กแร่
    ทองคำสัมฤทธิ์นากอแจ   เงินที่แท้ชาติเหล็กทองแดงดง
    เอามาสุมคุมควบเข้าเป็นแท่ง    เผาให้แดงตีแผ่แช่ยาผง
    ไว้สามวันซัดเหล็กนั้นเล็กลง   ยังคงแต่พองามตามตำรา
    ซัดเหล็กครบเสร็จถึงเจ็ดครั้ง   พอกระทั่งฤกษ์เข้าเสาร์สิบห้า
    ก็ตัดไม้ปลูกศาลขึ้นเพียงตา   แล้วจัดหาสารพัดเครื่องบัตรพลี"
     
    เมื่อถึงเวลาพิชัยฤกษ์ตอนเที่ยงก็ให้ช่างตีเหล็กเป็นดาบ มีเนื้อสีเขียวคล้ายปีกแมลงทับ ด้ามทำด้วยไม้ชัยพฤกษ์มียันต์พุทธจักร แล้วเอาผมของผีพรายที่ดุร้ายประจุไว้  แล้วเอาชันกรอกทับ เมื่อเสร็จแล้วขุนแผนก็กวัดแกว่งดาบ ก็เกิดฟ้าร้องอื้ออึง ฝนตกและฟ้าผ่าลงมา ขุนแผนจึงได้ใช้นิมิตที่ฟ้าผ่านี้ตั้งชื่อดาบว่า ดาบฟ้าฟื้น
    "ครั้นได้พิชัยฤกษ์ราชฤทธิ์   พระอาทิตย์เที่ยงฤกษ์ราชสีห์
    ขุนแผนสูบเหล็กให้แดงดี   นายช่างตีรีดรูปให้เรียวปลาย
    ที่ตรงกลางกว้างงามสามนิ้วกึ่ง    ยาวถึงศอกกำมาหน้าลูกไก่
    เผาชุบสามแดงแทงตะไบ    บัดเดี๋ยวใจเกลี้ยงพลันเป็นมันยับ
    อานดีมิได้มีขนแมวพาด    เลื่อมปราดเนื้อเขียวดูคมหนับ
    เลื่อมพรายคล้ายแสงแมลงทับ    ปลั่งปลายวาบวับจับแสงตะวัน
    ด้ามนั้นทำด้วยไม้ชัยพฤกษ์    จารึกยันต์พุทธจักรที่เหล็กกั่น
    เอาผมพรายร้ายดุประจุพลัน    แล้วเอาชันกรอกด้ามเสียบัดดล"

    • Update : 18/5/2554
    © Copyright 2011 www.watnongmuang.com All rights reserved 999arch