|
|
ขุนช้าง ขุนแผน ในพงศาวดาร 6
พลายแก้วได้นางลาวทอง
|
นายแคว้นบ้านจอมทอง ชื่อ แสนคำแมน มีเมียชื่อ นางศรีเงินยวง มีลูกสาวชื่อ ลาวทอง อายุสิบห้าปี เป็นหญิงที่สวยงาม และแสนคำแมนกับนางศรีเงินยวง ได้ปรึกษากันว่า เมื่อพลายแก้วมาตีเชียงใหม่นั้น ก็ตีทุกหมู่บ้านเรื่อยไป เว้นแต่บ้านจอมทองนั้นมิได้ทำอันตราย นับว่าเป็นบุญคุณมาก ตอนนี้จะยกทัพกลับแล้ว หากคงยังทำเฉย ก็อาจจะถูกกวาดต้อนผู้คน และทรัพย์สินไปได้ จึงน่าจะยกนางลาวทองให้ เมื่อนางลาวทองได้ไปอยู่อยุธยา พลายแก้วก็คงจะชุบเลี้ยงให้สุขสบาย และชาวบ้านจอมทองก็ไม่ต้องกลัวทัพไทยอีก เมื่อตกลงใจแล้วก็เรียกนางลาวทองมาบอกว่า พ่อแม่ก็แก่แล้ว จะยกนางลาวทองให้แม่ทัพไทย แล้วจะได้เป็นที่พึ่งในภายหน้า |
ถึงเวลาค่ำทั้งสองก็พานางลาวทองไปหาพลายแก้ว พลายแก้วรับนางไว้ จากนั้นก็ประชุมไพร่พลแล้วบอกว่า บัดนี้ได้เสร็จศึกสงครามแล้ว ให้ทำบัญชีทรัพย์สินที่ตีมาได้ทั้งหมด เช่น อาวุธยุทธภัณฑ์ ของพวกลาวให้ตีตราแล้วยึดเป็นของหลวง ทั้งช้างม้าดี ๆ ก็ให้ทำบัญชีไว้ ส่วนพวกวัวควายนั้นให้แบ่งกันในหมู่ทหาร ของใช้ต่าง ๆ ใครตีได้ก็ให้เป็นของคนนั้น อย่างแย่งชิงกัน อีกห้าวันจะยกทัพกลับอยุธยา สำหรับตัวเจ้าเชียงทองยังมีโทษอยู่ จะนำตัวไปอยุธยาด้วย หากพระพันวษาจะลงโทษก็จะทูลขอให้ ฝ่ายพลายแก้วเมื่อกลับจากประชุมทัพแล้ว ก็ไปหานางลาวทอง แล้วได้นางลาวทองเป็นเมีย แล้วบอกนางว่า ถึงตนจะมีเมียอยู่แล้วก็อย่ากลัว เพราะจะดูแลให้เท่ากันตามน้อยตามใหญ่ ฝ่ายนางลาวทองนั้น คิดว่าต่อไปนี้ตนจะไม่ได้อยู่ที่เมืองลำพูนนี้อีก จึงปรึกษาสองพี่เลี้ยงว่า ตนจะปักม่านและปั้นรูปนางลาวทองถวายไว้ที่วัดเจดีย์หลวง เมืองลำพูน เมื่อปักเสร็จแล้ว ก็อธิษฐานว่า ม่านนี้ปักเสร็จในหนึ่งคืนกับหนึ่งวัน เพื่อถวายพระพุทธปฏิมากร เพื่อเป็นทางไปสู่นิพพาน
"ปักเป็นเรื่องพระยามารา |
|
ยกพลโยธากองทัพชัย |
มาผจญใต้ต้นมหาโพธิ์ |
|
กริ้วโกรธกระทืบช้างที่นั่งไล่.... |
....ปักเขาสุทัศน์สัดตภัณฑ์ |
|
วินันตกการวิกยุคนธร |
ถัดมาหัวแถวแนวสมุทร |
|
คงคาใสสุดแลสลอน.... |
....ปักเป็นบัวบานตระการตา |
|
ภุมราบินร่อนกระพือผิน |
ปักเป็นสัตว์จัตุบาทดาดดิน |
|
กินรินร่อนร่าอยู่เรียงราย" |
และทั้งรูปปั้นกับม่านนี้อย่าให้สูญหายได้ หากเมื่อใดลำพูนสูญสิ้น ก็ขอให้ทั้งสองสูญสิ้นตามไปด้วย
พิมเปลี่ยนชื่อเป็นวันทอง
|
ฝ่ายนางพิมนั้นคอยอยู่แต่พลายแก้ว และไม่รู้ข่าวคราวทัพเลย ก็ล้มป่วยลง ฝ่ายนางศรีประจัน เห็นนางพิมล้มป่วยลง จึงหาหมอหลายคนมารักษา อาการก็ไม่ดีขึ้น ก็ได้ไปหาขรัวตาจูวัดป่าเลไลย เล่าเรื่องนางพิมให้ฟัง ขรัวตาจับยามดูแล้วบอกว่า ขณะนี้นางพิมมีเคราะห์ร้าย หากไม่จากผัวก็จะตาย ควรจะเปลี่ยนชื่อเสียใหม่ว่า วันทอง โรคภัยและเคราะห์ร้ายก็จะหมดไป |
" ครานั้นจึงท่านขรัวตาจู |
|
พิเคราะห์จับยามดูหาช้าไม่ |
ครั้นดูรู้ประจักษ์ก็ทักไป |
|
ออพิมพิลาไลยนี่เคราะห์ร้าย |
มันตกลงที่นั่งนางสีดา |
|
เมื่อทศพักตร์ลักพาไปสูญหาย |
ถ้าแม้นไม่จากผัวตัวจะตาย |
|
ถ้ายักย้ายแก้ไขไม่เป็นไร |
ผลัดชื่อเสียพลันว่าวันทอง |
|
จะครอบครองทรัพย์สินทั้งปวงได้ |
โรคนั้นพลันจะคลายหายไป |
|
หาบรรลัยไม่ดอกสีกายาย.." |
เมื่อกลับถึงบ้าน นางศรีประจันให้จัดพิธีรับขวัญนางพิม แล้วเปลี่ยนชื่อว่านางวันทอง อาการไข้ก็ค่อยหาย กินข้าวกินปลาได้ดังเดิม
ขุนช้างลวงว่าพลายแก้วตาย
ฝ่ายขุนช้างรู้ข่าวว่านางวันทองหายป่วย และพลายแก้วที่ไปทัพก็ไม่ได้ข่าวว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร ก็คิดจะไปขอนางวันทองอีก จึงไปหาแม่สื่อให้ไปขอนางวันทองให้ตน
แม่สื่อและขุนช้าง ก็มาหานางศรีประจันที่บ้าน โดยเอาหม้อกระดูกมาด้วย แล้วบอกว่านี่คือกระดูกพลายแก้ว ซึ่งตายเพราะถูกเจ้าเมืองเชียงทองแทงตาย นางศรีประจันได้ฟังก็ตกใจมาก เรียกนางวันทองออกมาบอกว่าพลายแก้วตายแล้ว นางวันทองออกมาจากห้องเห็นขุนช้างก็โกรธหาว่าขุนช้างแกล้งใส่ร้ายพลายแก้ว ฝ่ายแม่สื่อได้ทีก็เข้าไปกระซิบบอกนางศรีประจันว่า ตามกฎหมายอยุธยานั้น หากใครอาสาไปทัพแล้ว ไม่ชนะกลับมาให้ฆ่าเสีย แต่ถ้าหากตายในการทัพ ให้ริบลูกเมียเข้าหลวง หากจะไม่ให้นางวันทองต้องเป็นหม้ายหลวง ก็ควรจะยกให้ขุนช้างเสีย ขุนช้างนั้นมีเงินทองมากมาย ก็จะสามารถไกล่เกลี่ยให้ดีได้ นางศรีประจันตรึกตรองแล้วก็เห็นด้วย จึงให้มาอีกครั้งในวันแรมสามค่ำ ฝ่ายนางวันทองก็คิดถึงแต่พลายแก้ว โดยไม่รู้ว่าตายหรือยังไม่ตาย และตนก็ไม่เคยฝันหรือมีลางร้ายแต่อย่างใด แล้วก็ไม่เคยเข้าตัวเมืองอยุธยาเลย รู้จักแต่คลองบางลางที่ได้ปลูกต้นโพธิ์ไว้ด้วยกัน นางวันทองก็ร้องไห้ไปปรึกษานางสายทอง นางสายทองจึงชวนไปหาขรัวตาจูให้จับยามให้ เมื่อไปถึงจึงถามถึงพลายแก้วว่า พลายแก้วไปทัพยังไม่กลับมา มีคนบอกว่าตายแล้วเป็นความจริงหรือไม่ ขรัวตาจูจับยามดูแล้วว่าคนที่บอกว่าพลายแก้วตายนั้นโกหก แต่พลายแก้วนั้นรบชนะกลับมา และจะได้ความดีความชอบ พร้อมทั้งทรัพย์สินเงินทอง
"...พิเคราะห์จับยามดูหาช้าไม่ |
|
ยามสูรย์ยามจันทร์ก็มั่นใจ |
เห็นไม่เป็นไรก็ว่ามา |
|
ทักทายตามที่ยามตรีเนตร |
ใครบอกเหตุโกหกอย่าเชื่อหวา..." |
|
|
นางวันทองกับนางสายทองดีใจมาก กลับมาเล่าให้นางศรีประจันฟังว่า ขรัวตาจูว่าพลายแก้วยังไม่ตาย นางศรีประจันไม่เชื่อกลับบอกว่า การดูด้วยการจับยามจะมาเหมือนกับได้เห็นด้วยตาได้อย่างไร ขุนช้างนั้นถึงรูปจะชั่ว หัวล้านแต่ก็มีเงินทองมากมาย นางวันทองก็โศกเศร้ามากไม่ยอมจะไปเป็นเมียขุนช้าง และบอกกับนางศรีประจันว่า จะไปดูต้นโพธิ์ที่ปลูกไว้ นางศรีประจันนึกสงสารและกลัวนางวันทองจะผูกคอตายก็ตามใจ ฝ่ายขุนช้างอยู่บ้านไม่เป็นสุข ก็เดินทางมาที่บ้านนางศรีประจัน ได้ยินเสียงดังอึกทึก จึงเข้าไปแอบฟัง รู้ว่านางวันทองไปปลูกต้นโพธิ์ไว้ เมื่อรู้ที่ปลูกแล้ว ก็กลับมาบ้านพาบ่าวไพร่ไปที่ท่าบางลาง จึงพบว่ามีต้นโพธิ์สามต้นปลูกเรียงกัน มีใบเขียวชอุ่ม จึงตรงเข้าไปโยกต้นโพธิ์ของพลายแก้ว ด้วยต้นโพธิ์ยังอ่อน ก็ทำให้ใบเหี่ยวเฉาลง แล้วขุนช้างก็พาบ่าวไพร่กลับบ้าน รุ่งขึ้นนางวันทองกับนางศรีประจัน ก็ไปที่ได้ปลูกต้นโพธิ์ไว้ เมื่อไปเห็นต้นโพธิ์เหี่ยวเฉา ก็แน่ใจว่าพลายแก้วตายแล้ว ร้องไห้จนสลบไป เมื่อกลับมาถึงบ้าน นางวันทองก็บอกกับนางสายทองว่า ต้นโพธิ์ของพลายแก้วตาย นางสายทองเสียใจมาก แต่บอกนางวันทองว่าอาจจะเป็นแผนชั่วร้ายของขุนช้างก็ได้ เพราะเมื่อตอนเย็นวานนี้เห็นขุนช้างและพวกบ่าวมาแอบอยู่ที่นี่ และลางร้ายใด ๆ ก็ไม่มี ควรจะอยู่เฉย ๆ ไปก่อน รุ่งขึ้นนางวันทองกับนางสายทอง ขนข้าวของไปทำบุญให้พลายแก้วที่วัดป่าเลไลย ขรัวตาจูก็ถามว่า ร้องไห้ร้องห่มกันมานี่บ้านใครเป็นอะไรหรือ นางวันทองกับนางสายทอง จึงบอกขรัวตาจูว่า ได้ไปดูที่ต้นโพธิ์ที่อธิษฐานไว้ เห็นต้นโพธิ์ของพลายแก้วตาย จึงเอาข้าวของมาถวายพระ เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ ขรัวตาจูจึงบอกว่าทำบุญไปให้ก็ดี พลายแก้วจะได้กลับมาเร็ว ๆ แล้วก็ให้นางวันทองอธิษฐานให้พบพลายแก้วในวันพรุ่งนี้ นางวันทองจึงว่า หากพลายแก้วไม่ตายจะปลูกกุฎีถวายวัด ขรัวตาจูก็บอกว่าหากในเดือนนี้ไม่มาให้เอาไฟมาเผาวัดได้
นางวันทองกับนางสายทอง ได้ฟังคำของขรัวตาจูที่รับปากหนักแน่นก็ค่อยคลายทุกข์ลง รีบกลับไปบอกนางศรีประจัน ตามคำบอกของขรัวตาจู นางศรีประจันไม่เชื่อ กลับบอกว่า ขรัวตาจูพูดเช่นนั้นเพราะเห็นแก่ข้าวของที่เอาไปให้
ศรีประจันยกวันทองให้ขุนช้าง
|
ฝ่ายขุนช้างได้เกณฑ์ผู้คนปรุงเรือนหอใหญ่มีห้องถึงเก้าห้อง เมื่อใกล้เวลาแต่งงานกับนางวันทอง จึงได้ชวนพี่ชื่อศรพระยา มาที่บ้านนางศรีประจัน แล้วบอกว่าได้ปรุงหอเสร็จแล้ว ใหญ่โตเหมือนวิมานของพระอินทร์ แล้วได้ขอให้รื้อเรือนหอของพลายแก้วไปถวายวัด นางศรีประจันเห็นด้วยก็ไปบอกนางวันทองว่า ตนนั้นสงสารพลายแก้วมากจะเป็นตายประการใดก็ไม่รู้ ควรจะรื้อห้องหอไปถวายวัดปลูกกุฎี เพื่อจะได้เป็นบุญแก่พลายแก้ว หากพลายแก้วกลับมาก็ปลูกใหม่ได้ |
นางวันทองหลงกลก็บอกว่า ตนก็ได้โมทนาไว้ว่าจะไปปลูกกุฎีเช่นเดียวกัน นางศรีประจันจึงรีบออกมาบอกขุนช้างว่า ได้ไปลวงวันทองแล้วเรื่องรื้อเรือนหอ นางวันทองก็ยินยอม ขอให้ขุนช้างกลับไปก่อน แล้วส่งบ่าวไพร่มารื้อเรือน ฝ่ายนางทองประศรีอยู่ที่บ้านเขาชนไก่กาญจนบุรี คอยลูกชายมานานก็ยังไม่เห็นกลับ แล้วก็คิดสงสารนางวันทองว่าจะโศกเศร้ามาก จึงเดินทางไปเยี่ยมนางวันทอง เมื่อไปถึงนางศรีประจันก็ร้องไห้ แล้วบอกว่าพลายแก้วที่ไปทัพนั้นตายแล้ว และนางวันทองต้องเป็นหม้าย ก่อนนั้นก็ล้มป่วยเกือบตาย จึงต้องเปลี่ยนชื่อเป็นวันทองก็หายไข้ พอรู้ข่าวว่าพลายแก้วตายก็โศกเศร้าแล้วให้รื้อหอไปถวายวัด นางทองประศรีจึงว่า ใครเป็นคนมาส่งข่าว หากตายก็คงต้องมีข่าวคราวมาบ้าง นางศรีประจันว่า พวกไพร่ที่ไปทัพกลับมาก็ติดคุกอยู่ ขุนช้างได้ข่าวก็มาเล่าให้ฟัง นางวันทองไม่เชื่อไปดูต้นโพธิ์อธิษฐาน ก็เห็นว่าตาย นางวันทองเมื่อรู้ว่า นางทองประศรีมาก็ดีใจออกมาหา แล้วว่าขุนช้างมันมาสอพลอกับแม่ แม่ก็เห็นด้วยยอมยกตนให้เป็นเมีย ตนได้ไปหาขรัวตาจูที่วัดป่าเลไลย ท่านบอกว่าพลายแก้วยังไม่ตาย แต่นางศรีประจันไม่เชื่อ กลับนัดขุนช้างมาแต่งงานในวันแรมสามค่ำ นางทองประศรีโกรธก็ลงจากเรือนนางศรีประจันมาหาพันโชติ กำนันแดง เล่าให้ฟังแล้วขอเชิญไปเป็นพยาน ฝ่ายพันโชติ กำนันแตง รู้เรื่องก็ไปที่บ้านนางศรีประจัน แล้วว่าพลายแก้วนั้นอาสาไปทัพ และยังไม่รู้ว่าเป็นตายอย่างไร ทำไมจึงวุ่นวายยกลูกสาวให้คนอื่น ขอให้คิดดูให้ดี นางศรีประจันจึงว่า จะเป็นอย่างไรก็ไม่กลัว ใครมีเงินก็จะยกให้ ถึงแม้ว่าพลายแก้วมีชัยชนะกลับมา ก็จะพึ่งพาอะไรได้ นางทองประศรีโกรธมากจึงว่าที่มาขอนางวันทองนั้น เพราะพลายแก้วให้มาขอ ตนได้ห้ามปรามแล้วแต่พลายแก้วไม่ฟัง เพราะหลงรักนางวันทอง หากจะพรากนางวันทองไปจากพลายแก้ว ตนก็ไม่เสียดาย แล้วรีบลงเรือนกลับไป เมื่อถึงวันนัด ขุนช้างก็ให้บ่าวไพร่ขนเครื่องหอมาที่บ้านนางศรีประจัน เมื่อมาถึงก็ลงเสาหมอ และปลูกเรือนหอบนที่เก่าเรือนหอพลายแก้ว นางวันทองเห็นเข้าก็โกรธแค้น ส่วนนางศรีประจันนั้นก็พาบ่าวไพร่มานิมนต์พระไปสวดในตอนเย็น
|
ฝ่ายขรัวตาจูรู้ว่าพลายแก้วยังไม่ตาย ก็บอกให้ฟังข่าวให้แน่ก่อน แล้วบอกว่าพลายแก้วนั้นเป็นหลานได้เลี้ยงดูมา คงจะไปสวดในงานให้ไม่ได้ หากพลายแก้วกลับมาก็จะหาว่าตนรู้เห็นเป็นใจ ให้ไปนิมนต์พระองค์อื่น นางศรีประจันจึงได้มานิมนต์พระที่วัดกลาง และวัดพลับ แทน |
ฝ่ายนางเทพทองก็ให้ยกขันหมากมาที่บ้านนางศรีประจัน
" ยกขันหมากเอกทั้งสี่ขัน |
|
เลือกสรรเชื้อผู้ดีที่มีหน้า |
ล้วนรุ่นสาวขาวสวยสะดุดตา |
|
แต่งตัวเต็มประดามาด้วยกัน |
ให้หามโหรีที่ดียอด |
|
ระนาดฆ้องหน่องหนอดเสนาะลั่น |
ได้ฤกษ์เอิกเกริก แล้วยกพลัน..." |
|
|
เมื่อถึงตอนเย็น ขุนช้างก็มาถึงบ้านนางศรีประจัน ส่วนนางวันทองไม่ยอมออกจากห้อง นางศรีประจันจึงให้พระสวดมนต์ แล้วประพรมน้ำมนต์เจ้าสาวในห้อง เมื่อพระสวดเสร็จ ขุนช้างก็ให้หาเสภามาขับรับกับมโหรี รุ่งเช้าขุนช้างลงมาใส่บาตร แต่นางวันทองไม่ยอมออกมา นางศรีประจันจึงบอกว่าตั้งแต่เจ็บคราวก่อน นางวันทองก็ใจคอไม่ดี ขุนช้างจึงบอกว่าไม่เป็นไร เมื่อขุนช้างนอนเฝ้าหออยู่สามวันแล้ว ก็บอกให้นางศรีประจันส่งตัวนางวันทองมาให้ นางวันทองไม่ยอมจึงถูกนางศรีประจันมัดมือโยงกับหลังคาแล้วตี นางสายทองจึงเข้าห้ามแล้วว่า อย่าหักด้ามพร้าด้วยหัวเข่า ตนจะปลอบน้องให้เข้าหอเอง
|
Update : 18/5/2554
|
|