|
|
รามัญนิกาย (พระสงฆ์มอญ)
รามัญนิกาย (พระสงฆ์มอญ)
คณะสงฆ์รามัญนิกาย
พระมหาจรูญ ญาณจารี
กำเนิดรามัญนิกาย
พระเจ้าธรรมเจดีย์กษัตริย์แห่งรามัญประเทศ พระองค์ทรงใฝ่พระทัยในการศาสนาเป็นอย่างยิ่ง ด้วยเหตุที่
พระองค์ทรงเลื่อมใสในพระรัตนตรัยอย่างมั่นคงและเคยผนวชเป็นพระภิกษุ ตามที่ปรากฏหลักฐานในพงศาวดารมอญ
เรื่องราชาธิราช ซึ่งมีพระนามว่า "พระปิฎกธร" เมื่อพระองค์ขึ้นเสวยราชย์ในเมืองหงสาวดีแล้ว คณะสงฆ์ใน
เมืองหงสาวดีเกิดแตกแยกกัน ต่างรังเกียจไม่ยอมทำสังฆกรรมร่วมกัน และถือพิธีปฏิบัติผิดแผกกันออกไปตาม
คติความเห็นของแต่ละฝ่าย พระองค์ทรงวิตกว่า ในกาลภายหน้า การถือปฏิบัติของพระสงฆ์จะเป็นเหตุให้พระพุทธศาสนา
เสื่อมถอยลง และจะเสื่อมสูญไปในที่สุด พระองค์ทรงประสงค์เพื่อที่จะชำระพระพุทธศาสนาให้บริสุทธิ์และให้พระสงฆ์
ถือวัตรปฏิบัติเป็นอย่างเดียวกัน จึงทรงรับ
สั่งให้คณาจารย์ของแต่ละฝ่ายให้ไปรับการอุปสมบทจากพระสงฆ์ในลังกาทวีป เพื่อให้มีพระสงฆ์รามัญที่บริสุทธิ์เกิดขึ้น
มาก่อน แล้วกลับมาให้การอุปสมบทแก่ลูกศิษย์ต่อไปเพื่อให้พระสงฆ์ในรามัญประเทศเป็นวงศ์เดียวกัน เหล่า
พระคณาจารย์จึงเห็นชอบให้พระเถระ ๒๒ รูป และพระอนุจรอีก ๒๒ รูปไปรับการอุปสมบทในลังกา เมื่อพระสงฆ์รามัญ
บวชแปลงเป็นวงศ์ของลังกาเสร็จแล้วเดินทางกลับมายังรามัญ
ประเทศแล้วพระเจ้าธรรมเจดีย์ก็ทรงรับสั่งให้เริ่มบวชแปลงภิกษุรามัญตามอย่างลังกา ซึ่งสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ
ทรงเล่าไว้ในหนังสือเที่ยวเมืองพม่าว่า "เมื่อมีพระสงฆ์ซึ่งได้บวชแปลงเป็นลังกาอย่างบริสุทธิ์แล้ว พระเจ้าธรรมเจดีย์จึง
ทรงเลือกหาสถานที่สร้างพระอุโบสถ ได้ที่ควรเป็นวิสุงคามถูกต้องตามพระวินัยที่ชายเมืองหงสาวดีทางด้านตะวันตก
ของพระธาตุมุเตา แล้วจึงทรงรับสั่งให้สร้างพระอุโบสถขึ้น ณ ที่นั้น ให้พระสงฆ์ที่ไปบวชแปลงมาจากลังกาทำพิธี
ผูกพัทธสีมา สำหรับเป็นที่ทำสังฆกรรมของเหล่าพระสงฆ์ เรียกว่า "กัลยาณีสีมา" ด้วยเหตุที่พระสงฆ์ที่ตั้งขึ้นใหม่นั้น
ได้รับการอุปสมบทมาจากอุทกสีมาในแม่น้ำกัลยาณีลังกาทวีป เมื่อผูกพัทธสีมาแล้วก็ทรงโปรดให้กุลบุตรชาว
เมืองหงสาวดีบวชเป็นลังกาวงศ์ในสีมากัลยาณี แต่ขัดข้องด้วยเหตุที่พระสงฆ์ที่ไปบวชแปลงมาจากลังกานั้น
ก่อนบวชต้องสึกเป็นคฤหัสถ์เสียก่อน เมื่อบวชใหม่แล้วพรรษายังน้อยเป็นอุปัชฌาย์ไม่ได้ จึงตรัสสั่งให้เที่ยว
หาภิกษุที่บวชแปลงมาจากลังกา ก็ได้พระสุวรรณโสภณซึ่งได้ไปบวชมาจากคณะมหาวิหาร ณ อุทกสีมาใน
แม่น้ำกัลยาณีเช่นเดียวกัน ซึ่งมีพรรษาได้ ๒๖ พรรษาแล้ว พระเจ้าธรรมเจดีย์จึงโปรดให้นิมนต์พระสุวรรณ
โสภณมาเป็นอุปัชฌาย์องค์แรก ให้การอุปสมบทแก่กุลบุตรชาวเมืองหงสาวดีในสีมากัลยาณีเป็นต้นมาโดยลำดับ”
รามัญนิกายสมัยกรุงสุโขทัย
จากหลักฐานในพงศาวดารและตำนานต่าง ๆ ของไทย เช่น ชินกาลมาลีปกรณ์ ตำนานมูลศาสนา ศาสนวงศ์
เป็นต้น แสดงให้เห็นว่าไทยได้รับพุทธศาสนามาจากลังกาโดยผ่านมอญที่เรียกว่า "รามัญนิกาย" เข้ามาเผยแพร่ตั้ง
แต่สมัยกรุงสุโขทัย บางครั้งพระภิกษุชาวไทยได้เดินทางไปยังรามัญประเทศ บวชแปลงใหม่ตามลัทธิวิธีของรามัญ
แล้วอยู่เรียนพระธรรมวินัยในประเทศนั้น จนมีความรู้ความสามารถแล้วจึงกลับมาเผยแพร่พระพุทธศาสนาตามอย่าง
ลัทธิรามัญในประเทศไทย บางครั้งพระมหากษัตริย์ไทยก็ส่งราชทูตออกไปยังรามัญประเทศ แล้วขอบวชอีกครั้งหนึ่ง
ในสำนักของพระอุทุมพรมหาสามีและได้อยู่ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยที่นั่น ต่อมาพระมหาสามีอุทุมพรได้ส่ง
พระสุมนเถระให้แก่พระเจ้าธรรมราชาแห่งกรุงสุโขทัยตามที่พระองค์ทรงขอเพื่อไปทำ
สังฆกรรมทุกอย่างในกรุงสุโขทัย เมื่อมาถึงสุโขทัยแล้วได้ทำการผูกพัทธสีมาและให้การอุปสมบทแก่พระสงฆ์ที่
สุโขทัยตามแบบรามัญนิกาย
รามัญนิกายสมัยกรุงศรีอยุธยา
ตามตำนานมูลศาสนา ปรากฏว่าพุทธศาสนาแบบรามัญนิกายได้เข้ามาประดิษฐาน ในกรุงศรีอยุธยาเป็นครั้งแรก
ในรัชสมัยของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (อู่ทอง พ.ศ. ๑๘๙๓-๑๙๑๒) กล่าวคือ หลังจากที่พระสุมนเถระเข้ามาอยู่สุโขทัย
ได้ระยะหนึ่งแล้วได้กลับไปยังรามัญประเทศอีก และได้นำพระภิกษุชาวสุโขทัยจำนวน ๘ รูปไปบวชใหม่และอยู่เรียน
พระพุทธศาสนาที่รามัญประเทศ เมื่อกลับมาถึงกรุงสุโขทัยแล้ว พระสงฆ์ทั้ง ๘ รูปได้แยกย้ายการเผยแผ่พุทธศาสนา
แบบรามัญนิกาย หนึ่งในจำนวนนั้น คือ พระปิยทัสสีเถระ ก็ได้นำเอาพระพุทธศาสนาแบบรามัญนิกายมาประดิษฐานใน
กรุงศรีอยุธยานี้ นับว่าเป็นครั้งแรกที่พระพุทธศาสนาแบบรามัญนิกายมาสู่กรุงศรีอยุธยา
ต่อมาในรัชสมัยของสมเด็จพระมหาธรรมราชา (พ.ศ.๒๑๒๒-๒๑๓๓) ปรากฏว่ามีพระเถระชาวมอญเข้ามาสู่
กรุงศรีอยุธยา และได้รับแต่งตั้งไว้ในตำแหน่งสำคัญอีกครั้งหนึ่ง กล่าวคือ พระมหาเถรคันฉ่อง ซึ่งเป็นผู้แจ้งข่าวให
้พระนเรศวรทรงทราบว่า พระเจ้าหงสาวดีคิดประทุษร้ายต่อพระองค์ สมเด็จพระนเรศวรทรงทราบความแล้ว จึงตรัสแก
่พระมหาเถรคันฉ่องว่า ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าเมตตาบอกเหตุการณ์แก่ข้าพเจ้าทั้งนี้พระคุณนั้นหาที่สิ้นสุดมิได้ อันพระผู้เป็น
เจ้าจะอยู่ในเมืองมอญนี้ พระเจ้าหงสาวดีแจ้ง อันตรายก็จะมีเป็นมั่นคง ข้าพเจ้าจะนำพระผู้เป็นเจ้า กับพระยาเกียรติ์
พระยาราม และญาติโยมทั้งปวงลงไปอยู่ ณ กรุงเทพมหานครศรีอยุธยา จะได้กระทำปฏิการสนองคุณพระผู้เป็นเจ้า
และปลูกเลี้ยงพระยาเกียรติ์ พระยารามด้วย พระมหาเถรคันฉ่องกับพระยาทั้งสองก็ยินยอมพร้อมด้วยพระราชบริพาร
จึงเสด็จพยุหยาตราทัพออกจากเมืองแครง พระมหาเถรคันฉ่องกับพระยาทั้งสองและญาติโยมก็มาโดยเสด็จ....
แล้วจึงโปรดให้พระมหาเถรคันฉ่องอยู่วัดมหาธาตุ เป็นสมเด็จพระอริยวงศญาณปริยัติวราสังฆราชาธิบดี
ศรีสมณุตมาปริณายกติปิฏกธราจารย์ สฤษติขัติยสารสุนทร มหาคณฤศรอุดรวามคณสังฆารามคามวาสี สถิตอยู่
ณ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ วรวิหาร ฝ่ายพระยาเกียรติ์ พระยาราม ก็พระราชทานเจียดทอง เต้าน้ำทอง กระบี่บั้งทอง
เงินตรา เสื้อผ้าพรรณนุ่งห่ม และเครื่องอุปโภคบริโภคเป็นอันมาก และครอบครัวมอญซึ่งพามานั้น ก็พระราชทาน
ให้พระยาเกียรติ์ พระยาราม ควบคุมว่ากล่าวด้วย และพระยาทั้งสองให้อยู่ตำบลบ้านขมิ้น วัดขุนแสน ส่วนญาติโยม
ของพระมหาเถระคันฉ่องนั้น ให้อยู่ตำบลบ้านหลังวัดนก
ในพระสมณศาสนภาษาบาลีของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงมีไปถึงคณะสงฆ์ในลังกาทวีป
ครั้งยังทรงผนวชอยู่ ฉบับที่ ๖ ข้อที่ ๒๐ ว่า "ครั้งนั้นพระนเรศวรมหาราชทรงพาเอาหมู่ภิกษุและครัวรามัญเป็นอันมาก
เสด็จกลับมาเมืองไทย โปรดเกล้า ฯ พระราชทานพื้นที่สำหรับปลูกบ้านเรือนแก่พวกครัวรามัญและพื้นที่สำหรับสร้าง
วัดถวายภิกษุรามัญวงศ์ด้วย รามัญวงศ์มาประดิษฐานในเมืองไทยด้วยประการฉะนี้ ตั้งแต่นั้นมาถึงทุกวันนี้ เป็นเวลา
๓๒๐ ปีกว่ามาแล้ว" ตามความในพระราชนิพนธ์นี้ แสดงว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงถือว่า พระสงฆ์
รามัญคณะพระมหาเถรคันฉ่องซึ่งเข้ามาประเทศไทยครั้งนี้ เป็นการนำเอาพระพุทธศาสนาแบบรามัญนิกายเข้ามา
ประดิษฐานในประเทศไทยด้วย
จากการที่พระมหาเถรคันฉ่องตามเสด็จสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเข้ามาอยู่ในกรุงศรีอยุธยาครั้งนั้น คงมิได้มา
แต่เพียงท่านรูปเดียว คงจะมีพระภิกษุสามเณรรามัญที่เป็นศิษย์ของท่านติดตามเข้ามาด้วยเป็นจำนวนมาก จนถึงกับ
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงตั้งให้พระมหาเถรคันฉ่องเป็นเจ้าคณะสงฆ์รามัญ เพื่อปกครองว่ากล่าวกันเอง พระสงฆ์รามัญเหล่านี้คงได้เผยแผ่ลัทธิวิธีพระพุทธศาสนาแบบรามัญแก่ชาวกรุงศรีอยุธยาทั่วไปตามสามารถ และต่อ
มาก็ได้เผยแผ่ไปยังหัวเมืองใกล้เคียงต่าง ๆ อีกหลายเมือง เพราะในบัญชีรายชื่อเจ้าคณะเมืองในหัวเมืองปักษ์ใต้ ที่ขึ้น
คณะคามวาสีฝ่ายขวาครั้งกรุงเก่า มีรายชื่อพระครูเจ้าคณะเมืองฝ่ายรามัญปรากฏอยู่หลายชื่อ คือ พระครูรามัญญาธิบดี
พระครูอินทมุนี ประจำเมืองกาญจนบุรี พระครูอินทเขมา ประจำเมืองราชบุรี เป็นต้น
ในบัญชีรายชื่อพระราชาคณะในกรุงนอกกรุง ครั้งกรุงเก่ามีรายชื่อพระราชาคณะฝ่ายรามัญบางชื่อปรากฏอยู่ คือ
พระไตรสรณธัช วัดจอมปุ ขึ้นคณะซ้าย องค์หนึ่ง พระอริยธัช วัดจงกรม ขึ้นคณะขวา องค์หนึ่ง ทำให้สันนิษฐานได้ว่า
คณะสงฆ์รามัญนั้น คงจะได้มีเจ้าคณะใหญ่ปกครองกันมาตั้งแต่ครั้งกรุงเก่าแล้ว จึงได้มีพระราชาคณะชั้นรอง ๆ ลงมา
สำหรับช่วยการคณะอีกหลายรูปด้วยกัน
ตอนปลายกรุงศรีอยุธยาในรัชสมัยของพระเจ้าบรมโกศ (ระหว่าง พ.ศ.๒๒๗๕-๒๓๑๐) ได้มีชาวรามัญและพระสงฆ
์อพยพเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารอีกครั้งหนึ่ง พงศาวดารมอญพม่ากล่าวว่า พระเจ้าอลองพญา กล่าวหาพระสงฆ์รามัญ
ว่า ทำมงคลประเจียด ตะกรุด ลงเลขยันต์กันอาวุธให้ชาวมอญ ทำให้ชาวมอญพากันมีกำลังใจกล้าหาญในการทำสงคราม
กับพระองค์ จึงสั่งให้ทำการกวาดล้างพระสงฆ์มอญและให้จับประหารเสีย ครั้งนั้นพระสงฆ์มอญจึงได้พากันอพยพไปในที่ ๆ
ปลอดภัย เช่น กรุงศรีอยุธยา เชียงใหม่ และเมืองทวาย เป็นต้น นับแต่นั้นมาพระพุทธศาสนาแบบรามัญนิกายก็ประดิษฐาน
อย่างมั่นคงในประเทศไทย ได้มีผู้สืบลัทธินิกายต่อ ๆ มา ซึ่งมีทั้งบุตรหลานของพวกที่อพยพเข้ามาอยู่ก่อนและทำการบวช
เรียนในประเทศไทยและพระสงฆ์มอญที่อพยพเข้ามาอยู่ใหม่ตามลำดับ
รามัญนิกายสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ ๑ แห่งกรุง รัตนโกสินทร์ สภาพการณ์ของคณะสงฆ์ตก
อยู่ในความวิปริตเสื่อมโทรมและระส่ำระสาย สืบเนื่องมาจากการเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่าใน พ.ศ.๒๓๑๐ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงถือเป็นเรื่องรีบด่วนในการที่จะแก้ไขฟื้นฟูพระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์
ขึ้นใหม่ ในปีแรกแห่งรัชกาลนั่นเองก็ได้ทรงแต่งตั้งพระเถรานุเถระฝ่ายไทยให้ดำรงสมณศักดิ์ต่าง ๆ ตามสมควรแก่
คุณธรรมเพื่อเป็นศรีแก่ศาสนาและบ้านเมืองสืบไปแล้ว ก็ได้ทรงแสวงหาพระเถระฝ่ายรามัญ เพื่อทรงแต่งตั้งไว้ใน
ฐานานุศักดิ์อันสมควรต่อไป ก็ปรากฏว่า ทรงได้พระเถระรามัญผู้ทรงพระธรรมวินัยมาตั้งเป็นพระราชาคณะ ๓ รูป
ดังปรากฏในพระราชพงศาวดารว่า "อนึ่ง พระราชาคณะฝ่ายรามัญนั้นยังหาตัวมิได้ จึงทรงพระกรุณาให้จัดหา
พระมหาเถระฝ่ายรามัญ ซึ่งรู้พระวินัยปริยัติได้ ๓ รูป ทรงตั้งเป็น พระมหาสุเมธาจารย์องค์หนึ่ง พระไตรสรณธัชองค์หนึ่ง
และพระสุเมธน้อยองค์หนึ่ง ครั้นเมื่อสมเด็จพระอนุชาธิราชทรงสร้างวัดตองปุ (วัดชนะสงคราม) ขึ้นใหม่ โปรด ฯ ให
้พระสงฆ์รามัญมาอยู่วัดตองปุ และให้พระมหาสุเมธาจารย์เป็น เจ้าอาวาส พระไตรสรณธัชนั้น มีพระราชโองการให้
ไปอยู่วัดบางหลวง เป็น เจ้าคณะรามัญ ในแขวงเมืองนนทบุรีและสามโคก ส่วนพระสุเมธน้อยโปรดให้ไปครอง
วัดบางยี่เรือใน
การปกครองคณะสงฆ์รามัญในรัชกาลนี้ก็ใช้การปกครองแบบเดียวกับที่ใช้ในสมัยกรุงศรีอยุธยาเช่นกัน คือม
ีเจ้าคณะใหญ่ปกครองว่ากล่าวกันเอง ซึ่งปรากฏนามว่า "พระมหาสุเมธาจารย์" ต่อมาในภายหลังได้เปลี่ยนเป็น
"พระ สุเมธาจารย์" และมีพระราชาคณะชั้นรอง ๆ ลงมา ช่วยการคณะอีกหลายรูป ทำหน้าที่ปกครองว่ากล่าวพระสงฆ์
รามัญที่อยู่ในส่วนหัวเมืองต่าง ๆ
เจ้าคณะใหญ่ฝ่ายรามัญที่ได้รับแต่งตั้งในราชทินนามนี้ ตั้งแต่รัชกาลที่ ๑ ถึงรัชกาลที่ ๕ มีจำนวน ๕ รูป มีประวัติ
เท่าที่สามารถค้นหาหลักฐานได้ ดังนี้
รูปที่ ๑ คือ พระมหาสุเมธาจารย์ องค์ที่ปรากฏในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑ ซึ่งโปรดให้
แต่งตั้งเมื่อแรกเสวยพระราชสมบัติ แล้วโปรดให้มาครองวัดชนะสงคราม ซึ่งในประวัติวัดชนะสงครามกล่าวว่า เป็น
เจ้าอาวาสองค์แรกของวัดชนะสงคราม
รูปที่ ๒ คือ ที่ปรากฏในบัญชีพระเถรานุเถระนั่งหัตบาส คราวสมเด็จกรมพระราชวังหลังทรงผนวช
เมื่อปี พ.ศ.๒๓๔๕ จำนวน๓๐ รูปว่า "พระสุเมธใหญ่ วัดชนะสงคราม พระสุเมธน้อย วัดราชคฤห์ ” นั้น ยังหาหลักฐาน
ประวัติความเป็นมาไม่พบ
รูปที่ ๓ คือ ที่ปรากฏชื่อในหนังสือเรื่องแต่งตั้งพระราชาคณะผู้ใหญ่ในกรุงรัตนโกสินทร์ว่า "พระสุเมธ มีใน
พระราชปุจฉารัชกาลที่ ๓ (พ.ศ.๒๓๖๙)" นั้นเข้าใจว่า ได้แก่ พระสุเมธาจารย์ (เกิด) ซึ่งมีชื่ออยู่ในจดหมายเหตุ เรื่อง
ไต่สวนนายกุหลาบว่า "ข้อนี้พึงฟังได้ว่า สมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทว) ได้อุปสมบทในเวลาที่ใช้อุปัชฌาย์รามัญ
มีพระสุเมธาจารย์ (เกิด) เป็นอุปัชฌาย์ด้วยรูปหนึ่ง และเวลานั้นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็น
กรรมวาจาจารย์อยู่"
รูปที่ ๔ คือ พระสุเมธมุนี (ซาย พุทฺธวํโส) เจ้าอาวาสวัดบวรมงคล องค์ที่ ๒ (ระหว่าง พ.ศ.๒๓๖๕-๒๓๘๐) เป็นชาวมอญ
เกิดในรามัญประเทศ และบวชเป็นภิกษุมาแต่ในรามัญประเทศ เข้ามาอยู่เมืองไทยครั้งมอญอพยพในสมัย รัชกาลที่ ๒
ซึ่งโปรดให้ไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่เมืองปทุมธานีและปากเกร็ด พระสุเมธมุนีองค์นี้เองที่เป็นผู้ถวายวิสัชนาเกี่ยวกับสมณวงศ
์และวินัยปฏิบัติต่าง ๆ แด่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้งยังทรงผนวชอยู่ จนเป็นที่พอพระทัยและทรงเลื่อมใส
รับมาเป็นแบบปฏิบัติ กระทั่งเกิดเป็นคณะธรรมยุติกนิกายขึ้นในกาลต่อมา ในบั้นปลายชีวิตของพระสุเมธมุนีองค์นี้ บางท่าน
ก็ว่า ท่านเกิดขัดแย้งกับหม่อมไกรสร (กรมหลวงรักษรณเรศ) อย่างรุนแรง จากนั้นก็หายสาบสูญไป บางท่านก็ว่า หม่อมไกรสรขอพระบรมราชานุญาตถอดเสียจากสมณศักดิ์แล้วให้ประหารชีวิตในที่สุด สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ
ตรัสว่า "ถูกหม่อมไกรสรพยายามทำร้ายหนักขึ้น จนถึงหาเหตุให้สึกพระสุเมธมุนีที่เป็นพระอุปัชฌาย์ของ
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
รูปที่ ๕ คือ พระสุเมธาจารย์ (ศรี) เจ้าอาวาสวัดชนะสงคราม องค์ที่ ๒ (ระหว่าง พ.ศ.๒๔๑๐-๒๔๕๕) เป็นชาวบางพูด
จังหวัดนนทบุรี เกิดเมื่อ พ.ศ.๒๓๗๘ ในรัชกาลที่ ๓ บวชเป็นสามเณรที่วัดปรมัยยิกาวาส แล้วย้ายมาอยู่วัดชนะสงคราม
เป็นเปรียญ ๔ ประโยครามัญ เคยเป็นพระครูราชปริต ตอนปลายรัชกาลที่ ๔ ไปรั้งตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดบวรมงคลอยู่
คราวหนึ่ง ใน พ.ศ.๒๔๑๐ ได้เป็นพระราชาคณะที่ “พระอุดมญาณ” แล้วมาครองวัดชนะสงคราม ถึงรัชกาลที่ ๕ เลื่อนขึ้น
เป็นที่ "พระสุเมธาจารย์ บริหารธรรมขันธ์ รามัญสงฆคณาธิบดี ตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่พระสงฆ์รามัญ"
สำหรับเจ้าคณะรองฝ่ายรามัญนั้น มีหนึ่งตำแหน่ง คือ "พระคุณวงศ์" เดิมเป็นพระราชาคณะสามัญ ต่อมาในรัชกาลที่ ๕
ยกขึ้นเป็นเสมอชั้นเทพ และมี ๒ รูป คือ พระคุณวงศ์ (สน) พระคุณวงศ์ (จู) เจ้าอาวาสวัดปรมัยยิกาวาส รูปที่ ๑ และที่ ๒
ตามลำดับ พระราชาคณะรามัญ ๒ ตำแหน่งนี้ ต้องเป็นเปรียญทั้งสองตำแหน่ง และการทรงตั้งนั้น จะทรงตั้งต่อเมื่อทรง
เห็นว่ามีผู้ทรงคุณสมบัติสมควร
ในอธิบายคณะสงฆ์และสมณศักดิ์ ของพระยาพฤฒาธิบดี (อ่อน) ได้แสดงรายนามพระราชาคณะฝ่ายรามัญไว้ ๘ ชื่อ คือ
๑. พระคุณวงศ์ เดิมเป็น พระกูลวงษ์
๒. พระไตรสรณธัช
๓. พระอริยธัช
๔. พระธรรมวิสารท
๕. พระอุดมญาณ
๖. พระสุเมธน้อย (ในรัชกาลที่ ๑) เปลี่ยนเป็นพระสุเมธมุนี ในรัชกาลที่ ๕
๗. พระรามัญมุนี (ในรัชกาลที่ ๔)
๘. พระรามัญมหาเถร (ในรัชกาลที่ ๔)
ต่อมาในรัชกาลที่ ๓ ปรากฏหลักฐานตามพระอธิบายของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรสว่า
"คณะรามัญนั้น รวมวัดที่พระสงฆ์เป็นรามัญเข้าไว้ด้วยกัน มีพระสุเมธาจารย์เป็นเจ้าคณะเช่นเดิม” และมีคำกล่าวว่า
คณะสงฆ์รามัญได้ไปขึ้นกับคณะกลาง ทั้งนี้คงเป็นเพราะวัดชนะสงครามซึ่งเป็นวัดเจ้าคณะไปขึ้นกับคณะกลางนั่นเอง แต่ความจริงแล้วมีแต่วัดชนะสงครามกับวัดในนครเขื่อนขันธ์เท่านั้นที่ขึ้นคณะกลาง ส่วนวัดรามัญในเขตเมืองใดก็ขึ้น
คณะเมืองนั้น
ในสมัยรัชกาลที่ ๔ การปกครองคณะสงฆ์ฝ่ายรามัญยังคงใช้แบบที่เคยปฏิบัติมาในรัชกาลก่อน และมีการตั้ง
ราชทินนามพระราชาคณะฝ่ายรามัญเพิ่มอีก ๒ ตำแหน่ง คือ พระรามัญมุนี และพระรามัญมหาเถร
ครั้นถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ การปกครองคณะสงฆ์ไทยยังคงแยกเป็น ๔ คณะเช่นเดิม แต่ได้มีการเปลี่ยนแปลงบาง
ประการขึ้น คือ ได้เพิ่มคณะสงฆ์ธรรมยุตขึ้นมาคณะหนึ่งแทนคณะอรัญวาสี และให้คณะอรัญวาสียุบไปรวมกับ
คณะธรรมยุต ส่วนคณะสงฆ์รามัญนิกายก็ยังคงแยกย้ายไปขึ้นกับคณะทั้ง ๔ ในครั้งนั้นเจ้าพระยาภาสกรวงษ์เสนาบดี
กระทรวงธรรมการเห็นควรที่จะรวมคณะสงฆ์รามัญนิกายทั้งในกรุงและหัวเมือง
ที่ขึ้นกับคณะต่าง ๆ เข้าด้วยกัน แล้วยกไปขึ้นคณะธรรมยุต เพราะมีวิธีการคณะแบบเดียวกัน และจะขอพระราชทาน
พระบรมราชานุญาตให้ตั้งพระสุเมธาจารย์ขึ้นเป็นเจ้าคณะใหญ่คณะรามัญตามเดิม และให้พระคุณวงศ์เป็นเจ้าคณะรอง
ด้วยเห็นว่าพระสุเมธาจารย์มีพรรษากาลอายุมากและหมั่นในการศึกษา ประกอบกับตำแหน่งพระสุเมธาจารย์นี้เป็น
ตำแหน่งใหญ่ฝ่ายรามัญมีฐานานุศักดิ์ตั้งฐานานุกรมได้ ๕ รูป ทั้งพระสุเมธาจารย์เองก็มีความประพฤติเรียบร้อย
หลังจากที่ได้รับพระบรมราชานุญาตให้กลับมาดำรงตำแหน่งเจ้าคณะตามเดิมแล้ว พระสุเมธาจารย์ได้มีหมายไปยัง
พระคุณวงศ์ให้ส่งบัญชีจำนวนวัดรามัญ เจ้าอาวาส เจ้าอธิการ ตลอดจนพระสงฆ์สามเณรที่ขึ้นกับพระคุณวงศ์ไปยัง
พระสุเมธาจารย์เพื่อจะได้รวบรวมส่งให้กับกรมสังฆการี กระทรวงธรรมการ แล้วจึงยกไปรวมกับธรรมยุตอีกทีหนึ่ง
ฝ่ายพระคุณวงศ์ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งดังกล่าว จึงไม่ยอมปฏิบัติตามและไม่ยอมขึ้นกับพระสุเมธาจารย์ กรมสังฆการีจึง
ต้องทำการไกล่เกลี่ยและรับเป็นผู้บังคับบัญชาพระคุณวงศ์ โดยเป็นผู้เรียกเก็บบัญชีวัดมอญที่เคยขึ้นกับพระคุณวงศ์ทั้งหมด
สำหรับพระสุเมธาจารย์นั้นก็ให้เป็นผู้จัดการคณะรามัญอื่น ๆ ส่วนการยกคณะสงฆ์รามัญไปรวมกับคณะธรรมยุตก็มีอุปสรรค
ไม่สามารถจัดการให้ลุล่วงไปได้ เนื่องจากสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมหมื่นวชิรญาณวโรรส เจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต
ไม่เต็มพระทัยที่จะรับเพราะเป็นภาระหนัก สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมหมื่นวชิรญาณวโรรส จึงทรงมอบคณะรามัญให้
พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอรุณนิภาคุณากร เจ้าคณะรองปกครอง พระองค์เจ้าอรุณนิภาคุณากรก็ไม่เต็มพระทัยเช่นกัน
ด้วยทรงอ้างว่า คณะรามัญกับวัดชนะสงครามนั้นมีขอบเขตและปริมาณงานมากเกินกว่าที่จะดูแลรักษาได้ จึงทรงสมควร
ให้้คณะสงฆ์รามัญไปขึ้นอยู่ในคณะมหานิกายไปตามเดิม ในที่สุดกรมสังฆการีจึงต้องรับหน้าที่ในการปกครองคณะรามัญ
ทั้งหมดที่ถอนมาจากคณะเหนือ คณะกลางและคณะใต้ และการสั่งราชการในคณะรามัญนั้น กรม สังฆการีต้องสั่งไป
ทั้ง ๒ ผ่ายคือ ฝ่ายพระสุเมธาจารย์และฝ่ายพระคุณวงศ์
ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๔๕ (ร.ศ.๑๒๑) ได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ แบ่งการปกครอง
ออกเป็น ๔ คณะ คือ คณะเหนือ คณะใต้ คณะธรรมยุต และคณะกลาง ตามพระราชบัญญัตินั้นได้กำหนดให้มี เจ้าคณะ
ปกครองลดหลั่นกันลงมาตามลำดับ คือ มีเจ้าคณะใหญ่ เจ้าคณะมณฑล เจ้าคณะเมือง เจ้าคณะแขวง เจ้าคณะหมวด
และเจ้าอาวาส ส่วนคณะสงฆ์รามัญนิกายไม่ได้รับยกย่องเป็นคณะเอกเทศทำให้สิ้นสภาพไปโดยพฤตินัย เพราะวัดรามัญ
อยู่ในเขตเมืองใด คณะใด ก็ขึ้นเมืองนั้น คณะนั้น คณะรามัญเป็นอันมีแต่ชื่อ ดังนั้นตามพระราชบัญญัติฉบับนี้จึงทำให้
ตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่ฝ่ายรามัญสิ้นสภาพไปด้วย พระเถระรามัญที่ได้ดำรงตำแหน่ง "พระสุเมธาจารย์ บริหารธรรมขันธ์
รามัญสงฆคณาธิบดี ตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่ฝ่ายรามัญเป็นองค์สุดท้ายนั้น คือพระสุเมธาจารย์ (ศรี)
เจ้าอาวาสวัดชนะสงครามรูปที่ ๒ ซึ่งได้ดำรงตำแหน่งนี้มาแต่ต้นรัชกาลที่ ๕ จนถึงมรณภาพเมื่อ พ.ศ.๒๔๕๕ อันเป็นปีที่ ๒
ในรัชกาลที่ ๖ ต่อแต่นั้นมา ไม่ปรากฏหลักฐานว่ามีพระเถระรามัญรูปใดได้รับแต่งตั้งในตำแหน่งนี้อีก หรือหากว่าจะมีผู้ได้รับ
แต่งตั้งเป็นพระสุเมธาจารย์ก็คงจะไม่ได้เป็น "รามัญสงฆคณาธิบดี ฯลฯ ตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่ฝ่ายรามัญ”ดังแต่ก่อน
สมัยรัชกาลที่ ๖ ในยุคนี้ พระสงฆ์รามัญได้ลดจำนวนลงไปมาก วัดรามัญส่วนมากมักจะมีพระสงฆ์ไทยเข้าไปอยู่
เป็นจำนวนมากขึ้นตามลำดับ ความจริงข้อนี้จะพึงเห็นได้จากความบางตอนในลายพระหัตถ์ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า
กรมพระยาวชิรญาณวโรรสว่า "ในเวลานี้ (พ.ศ. ๒๔๕๘) วัดรามัญมีพระสงฆ์น้อยลง วัดมีมากกว่า ๑๐ รูปมีน้อย ไม่มีวัดใด
วัดหนึ่งมีถึง ๒๐ รูป" ภาวการณ์เช่นนี้เข้าใจว่าเริ่มเป็นมาตั้งแต่ต้นรัชกาลที่ ๔ แล้ว จะเห็นได้จากความเป็นไปของ
วัดชนะสงครามซึ่งเป็นวัดรามัญที่เป็นพระอารามหลวง และเป็นที่สถิตของเจ้าคณะใหญ่ฝ่ายรามัญมาหลายรูปเป็นตัวอย่าง
ซึ่งก็ได้กลายเป็นวัดพระสงฆ์ไทยไป เพราะมีพระสงฆ์ไทยมากกว่าพระสงฆ์รามัญ
การศึกษาของพระสงฆ์รามัญ
พระสงฆ์รามัญก็มีการเรียนการสอบพระปริยัติธรรมเช่นเดียวกับพระสงฆ์ไทย แต่ใช้หลักสูตรอีกแบบหนึ่งต่างหากจาก
ของไทย และยังไม่มีหลักฐานแน่นอนว่าหลักสูตรเปรียญรามัญนี้ กำหนดขึ้นโดยอนุโลมตามหลักสูตรที่เคยใช้อยู่ในรามัญ
ประเทศแต่โบราณหรือมากำหนดขึ้นใหม่ในประเทศไทย หนังสือที่ใช้เป็นแบบเรียนและใช้สอบก็ใช้แต่คัมภีร์พระวินัยปิฎก
เพราะการศึกษาของพระสงฆ์รามัญถือพระวินัยเป็นหลักสำคัญ กำหนดขั้นของการสอบเปรียญรามัญแต่เดิมมี ๓ ประโยค
ภายหลังเพิ่มประโยค ๔ ขึ้นอีกประโยคหนึ่งรวมเป็น ๔ ประโยคคือ
ประโยค ๑ สอบคัมภีร์อาทิกรรม หรือ ปาจิตตีย์ แล้วแต่นักเรียนจะเลือก เข้าใจว่าแต่เดิมถ้าแปลได้ประโยค ๑ ก็ได้เป็น
เปรียญ ครั้นตั้งประโยค ๔ ขึ้นจึงกำหนดว่า ต้องสอบประโยค ๒ ได้ด้วย จึงนับว่าเป็นเปรียญ
ประโยค ๒ สอบคัมภีร์มหาวรรค หรือ จุลวรรค แล้วแต่นักเรียนจะเลือก สอบได้นับว่าเป็นเปรียญจัตวา เหมือนเปรียญ
ไทย ๓ ประโยค
ประโยค ๓ สอบคัมภีร์บาลีมุตตกวินัยวินิจฉัยสังคหะ เรียกกันโดยย่อว่าบาลีมุต สอบได้เป็นเปรียญตรี เสมอเปรียญ
ไทย ๔ ประโยค
ประโยค ๔ สอบคัมภีร์ปฐมสมันตปาสาทิกา สอบได้เป็นเปรียญโทเสมอเปรียญไทย ๕ ประโยค
สันนิษฐานได้ว่าการศึกษาและการสอบพระปริยัติธรรมของพระสงฆ์รามัญคงจะมีมาตั้งแต่สมัยอยุธยาแล้ว เพราะ
คณะสงฆ์รามัญได้มาตั้งเป็นหลักฐานมั่นคงในประเทศไทย และมีเจ้าคณะใหญ่ปกครองมาตั้งแต่สมัยอยุธยา และท
ี่แน่นอนคือ มีการสอบเปรียญรามัญในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ดังปรากฏว่า พระรามัญมุนี (ยิ้ม)
เจ้าอาวาสวัดบวรมงคล รูปที่ ๓ ได้เป็นเปรียญรามัญ ๔ ประโยค ในสมัยรัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
ในการสอบพระปริยัติธรรมของพระสงฆ์รามัญนั้น จะมีพระเถระของทั้งสองฝ่าย คือ ฝ่ายรามัญและฝ่ายไทยร่วม
ประชุมเป็นกรรมการ ฟังการแปลของพระผู้สอบ พระผู้สอบจะแปลประโยคในคัมภีร์ตามที่ตนจับสลากได้เป็นภาษารามัญ
เมื่อมีศัพท์อะไรที่แปลก กรรมการฝ่ายไทยจึงจะทักและให้กรรมการฝ่ายรามัญเป็นล่ามแปลความหมายของคำที่พระผู้สอบ
ตอบนั้นให้กรรมการฝ่ายไทยฟังว่าถูกต้องหรือไม่ เมื่อแปลเป็นภาษารามัญไปจนจบประโยคแล้ว พระผู้สอบก็ต้องบอก
สัมพันธ์มคธให้กรรมการฝ่ายไทยฟังอีกรอบหนึ่ง เพื่อจะได้ทราบว่าที่พระผู้สอบแปลเป็นภาษารามัญไปนั้นถูกต้องตาม
ความเกี่ยวเนื่องของศัพท์ต่าง ๆ ในประโยคที่แปลนั้นหรือไม่ เมื่อถูกต้องก็เป็นอันตัดสินว่าสอบได้ประโยคนั้น
วิธีการสอบดังกล่าวได้ใช้มานานจนตลอดสมัยรัชกาลที่ ๕ จึงเลิกไปด้วยเหตุที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า
กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ผู้ดำรงตำแหน่งสกลมหาสังฆปรินายกได้ทรงมีพระราชปรารภว่า การเล่าเรียนของ
ภิกษุสามเณรรามัญเสื่อมลง พระราชาคณะเปรียญรามัญก็มีน้อยรูปและไม่มีความรู้ความสามารถพอที่จะสอบ
ความรู้ของพวกรามัญได้ เพียงแต่ใช้เป็นล่ามแปลเท่านั้น การอนุญาตให้แปลเป็นภาษารามัญก็ไม่ได้เป็นการ
เพิ่มพูนความรู้แก่พวกรามัญเลย และยังเป็นเหตุให้พวกรามัญไม่เอาใจใส่ภาษาประจำชาติคือภาษาไทย นอกจาก
นี้พวกรามัญเองก็ไม่สามารถบำรุงความรู้ปริยัติธรรมของตนให้เจริญ ครั้นฝ่ายไทยจะช่วยบำรุงก็มีอุปสรรคที่ไม่ร
ู้ภาษารามัญ ดังนั้นสมเด็จพระมหา สมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส จึงทรงให้ยกเลิกการสอบพระปริยัติธรรม
แบบรามัญใน พ.ศ.๒๔๕๔ และให้พระภิกษุสามเณรรามัญหันมาศึกษาเล่าเรียนตามแบบไทยโดยใช้หลักสูตรเดียว
กับพระสงฆ์ไทย
ราชทินนามพระราชาคณะและพระครูฝ่ายรามัญซึ่งมีมาแต่โบราณ
๑. พระสุเมธาจารย์(เดิมเป็น พระมหาสุเมธาจารย์) เจ้าคณะใหญ่ฝ่ายรามัญ
๒. พระคุณวงศ์ (เดิมเป็น พระกูลวงษ์) เจ้าคณะรองฝ่ายรามัญ
๓. พระไตรสรณธัช
๔. พระอริยธัช
๕. พระธรรมวิสารท
๖. พระอุดมญาณ
๗. พระสุเมธมุนี (เดิมเป็น พระสุเมธน้อย)
๘. พระรามัญมุนี
๙. พระรามัญมหาเถร
๑๐. พระอุดมวิจารณ์
๑๑. พระครูอินทมุนี
๑๒. พระครูวิสุทธิวงศ์
๑๓. พระครูอินทเขมา
๑๔. พระครูรามัญสมณคุต
๑๕. พระครูสาครคุณาธาร
๑๖. พระครูรามาธิบดี
๑๗. พระครูรามัญญาธิบดี
๑๘. พระครูโวทานสมณคุต
๑๙. พระครูราชสังวร
๒๐. พระครูสุนทรวิลาส
๒๑. พระครูราชปริต
๒๒. พระครูสิทธิเตชะ
๒๓. พระครูวิสุทธิศีล
๒๔. พระครูธรรมลิขิต
๒๕. พระครูอุดมวงศ์
๒๖. พระครูวิเชียรมุนี
๒๗. พระครูนิโรธมุนี
๒๘. พระครูธรรมวิจารณ์
๒๙. พระครูอมราธิบดี
๓๐. พระครูปัญญารัตน์
๓๑. พระครูปิฎกธร
๓๒. พระครูอุตโมรุวงศ์ หรือ พระครูอุตโมรุวงศ์ธาดา
๓๓. พระครูนันทมุนี
๓๔. พระครูวินัยธรรม
|
Update : 18/5/2554
|
|