ทั้งโลกเปรียบเหมือนโรงละครใหญ่, |
ชายหญิงไซร้เปรียบตัวลครนั่น : |
ต่างมียามเข้าออกอยู่เหมือนกัน : |
คนหนึ่งนั้นย่อมเล่นตัวนานา , |
คือแบ่งเป็นเจ็ดปางอย่างนี้ไซร้ . |
หนึ่งลูกอ่อนนอนไห้อยู่จ้า ๆ |
ในวงเขนพี่เลี้ยงกล่อมเกลี้ยงมา . |
จนกว่าจะสามารถอาจเลี้ยงตน . |
สองคือเด็กนักเรียนแรกเขียนอ่าน |
ถือย่ามผ่านไปพลางทางพร่ำบ่น , |
หน้าแฉล่มแจ่มปานพระสุริยน , |
ไปโรงเรียนชอบกลราวหอยคลาน . |
สามคือหนุ่มรักสมรเฝ้าถอนใจ |
ราวเตาไฟที่เพลิงเร้าเริงผลาญ , |
แต่งเพลงยาวชมขนงเจ้านงคราญ . |
สี่ทหาร , เสียงดังตึงตึงไป , |
และหนวดเคราคล้ายเสือ , เหลือจะรัก |
เกียรติศักดิ์ , มักวิวาทปราดเข้าใส่ |
ถลันหาเกียรติยศแม้ที่ใน |
ปากปืนใหญ่ไม่พรั่นหวั่นวิญญา . |
ห้าลูกขุนผู้ใหญ่ไก่เต็มพุง |
จนท้องตุงตัวอ้วนท้วนหนักหนา , |
ตาขมึง , หนวดเคราเข้าตำรา |
ชำนาญในกติกาประเพณี . |
ตกลงมาถึงปางคำรบหก . |
เป็นตลกซูบแท้แก่เต็มที่ , |
ใส่แว่นตาคาดกระเป๋าเทราฤดี |
ถุงตีนที่เคยใช้แต่เยาว์วัย |
ก็หย่อนย่นร่นหลวมสวมเขาเหี่ยว , |
เสียงเคยห้าวกลับเรียวลงไปได้ |
ราวเสียงเด็ก , ยามสนทนาไป |
เสียงนั้นไซร้แห้งแหบหอบหืดครัน , |
ปางสุดท้าย , นี้หมายจบประวัติ , |
อันเห็นชัดเป็นเด็กอีกแม่นมั่น , |
มีแต่หลงลืมไป , อีกไร้ฟัน |
ไร้ตา , ไร้รสสรรพ์ , ไร้ทั่วไป |