หน้าแรก สมาชิก รายการวัตถุมงคล ตะกร้าวัตถุมงคล วิธีชำระวัตถุมงคล วิธีบูชาวัตถุมงคล ประวัติวัด ติดต่อวัด เว็บบอร์ด
สมาชิก Log in
อีเมล์
รหัสผ่าน
สมัครสมาชิกใหม่
ลืมรหัสผ่าน
















ค้นหาวัตถุมงคล
 
 
 
หมวดวัตถุมงคล
  เครื่องราง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง หลวงพ่อสวัสดิ์
  พระเครื่อง หลวงปู่พิมพ์มาลัย
  พระเครื่อง หลวงพ่อสง่า
วัตถุมงคลของคุณ
รหัสวัตถุมงคล ราคา จำนวน
ยังไม่มีวัตถุมงคลอยู่ในตะกร้า
  • ชำระค่าวัตถุมงคล
  • แก้ไขรายการวัตถุมงคล
  • วิธีสั่งบูชาวัตถุมงคล
  •  

    นิราศพระแท่นดงรัง
    นิราศพระแท่นดงรัง

    นิราศรักหักใจอาลัยหวน

    ไปพระแท่นดงรังตั้งแต่ครวญ มิได้ชวนขวัญใจไปด้วยกัน
    ด้วยอยู่ห่างต่างบ้านนาน ๆ ปะ เหมือนเลยละลืมนุชสุดกระสันต์
    แต่น้ำจิตต์คิดคนึงถึงทุกวัน จะจากกันเสียทั้งรักพะวักพะวน
    ในปีวอกนักษัตร์อัฐศก ชาตาตกต้องไปถึงไพรสณฑ์
    ลงนาวาหน้าวัดพระเชตุพน พี่ทุกข์ทนถอนใจครรไลจร
    เหลืออาลัยเหลียวหลังจะสั่งน้อง เฝ้ามอง ๆ มุ่งเขม้นไม่เห็นสมร
    เห็นวัดโพธิ์โสภาสถาพร สง่างอนงามพริ้งทุกสิ่งอัน
    โอ้วัดโพธิ์เป็นวัดกษัตริย์สร้าง ไม่โรยร้างรุ่งเรืองดังเมืองสวรรค์
    แต่ตัวเรียมร้างนุชสุดรำพัน สักกี่วันจะได้คืนมาชื่นชม
                                                            .....
    พี่สั่งพลางโศกพลางมากลางน้ำ ถึงหน้าตำหนักแพกระแสสินธุ์
    เห็นนางในใสสดหมดมณฑิล ทำดีดดิ้นดัดจริตสะกิดกัน
                                                            .....
    มาตะบึงถึงคลองบางกอกน้อย ยิ่งเศร้าสร้อยเสียใจเป็นใหญ่หลวง
    โทรมนัสกลัดกลุ้มถึงพุ่มพวง จนเลยล่วงครรไลเข้าในคลอง
    เห็นตลาดท้องน้ำประจำขาย บ้างแจวพายอึงอื้อมาซื้อของ
    เห็นสาว ๆ แม่ค้าน่าประคอง พี่ลอง ๆ ปะตาน่าเอ็นดู
    ช่างงามเหมือนโฉมเฉลาเยาวยอด ยังไม่ถอดกำไลใส่ต่างหู
    น่าสงสารคอนพายมาขายพลู ถ้าได้อยู่กับพี่จะดีครัน
                                                            .....
    ถึงวังหลังเห็นวังสงัดเงียบ เย็นระเยียบรกตานิจจาเอ๋ย
    แต่ก่อนเปรื่องเรืองฟ้าสง่าเงย พระคุณเอยเย็นเกล้าชาวบุรี
    สามพระองค์ทรงชำนาญในการศึก ออกสอึกราญรบไม่หลบหนี
    แต่ครั้งก่อนพวกพม่ามาราวี พระตอนตีแตกยับอัปรา
    ทุกวันนี้มีแต่พระนามเปล่า พระผ่านเผ้านิพพานนานนักหนา
    เสียดายแต่องค์พงศ์กษัตริย์ขัตติยา ชลนานองเนตรสังเวชวัง
    ถึงบ้านบุบุขันสนั่นก้อง เขาหลอมทองเทถ่ายละลายไหล
    ทรวงพี่ร้อนเหมือนหนึ่งทองในกองไฟ ทำกระไรร้อนเราจะเบาบาง
    ถึงวัดทองทองทาบอยู่ปลาบเปล่ง พี่แลเล็งเนื้อทองยิ่งหมองหมาง
    คิดไปถึงแหวนทองของน้องนาง เคยสำอางค์ใส่อวดประกวดกัน
    พี่เคยขอแหวนยอดน้องถอดให้ มาสวมใส่นิ้วขวับแล้วรับขวัญ
    โอ้อกเอ๋ยเคยชื่นทุกคืนวัน คิดถึงขวัญนัยนาให้อาวรณ์
    มาถึงวัดชีปะขาวให้เศร้าสร้อย นาวาลอยลับไปไกลสมร
    พี่กล้ำกลืนโศกาอนาทร สะท้อนถอนจิตต์ใจไม่สบาย
    ถึงตำบลบางระมาดอนาถจิตต์  เหมือนพี่คิดมุ่งมาดสวาทหมาย
    ก็ได้สมชมน้องประคองกาย แล้วกลับกลายพลัดพรากไปจากทรวง
    มาถึงวัดไก่เตี้ยยิ่งเสียจิตต์ พี่ยิ่งคิดเสียดายไม่หายห่วง
    ยิ่งแลลับแก้วตาสุดาดวง ครรไลล่วงเลื่อนลอยนาวามา
    มาถึงวัดพิกุลให้ฉุนชื่น หอมระรื่นดอกดวงพวงบุปผา
                                                            .....
    เห็นต้นโศกเป็นดอกออกระดะ โศกปะทะสองช้ำทำไฉน
    โอ้โศกต้นเข้าระคนกับโศกใจ ทำกระไรโศกเราจะเบาบาง
    เห็นดงรังริมคลองทั้งสองฟาก ยิ่งรักมากมัวจิตต์พิศวง
                                                            .....
    ถึงบางกรวยให้ระทวยระทดทอด แทบม้วยมอดมรณังสิ้นสังขาร
    พี่แข็งขืนกลืนกล้ำที่รำคาญ ทำชื่นบานแย้มเยื้อนเป็นเพื่อนกัน
    มาตะบึงลุถึงบางอ้อยช้าง ไม่วายว่างวิโยคที่โศกศัลย์
    นั่งคนึงถึงนุชสุดรำพัน แล้วผายผันรีบมาในวาริน
    กระทั่งถึงบางขนุนให้ขุ่นจิตต์ นั่งพินิจนึกในฤทัยถวิล
    เห็นขนุนหนามหนาไม่น่ากิน แต่รสกลิ่นภายในชอบใจคน
    เหมือนรูปชั่วใจดีเจ้าพี่เอ๋ย ไม่เลือกเลยสุดแท้แต่กุศล
    ที่รูปดีใจชั่วตัวซุกซน ไม่เป็นผลคบยากลำบากใจ
                                                            .....
    มาถึงบางขุนกองให้หมองหมาง ระยะทางที่จะไปยังไกลเหลือ
    โอ้แต่นี้มีแต่จะหนาวเนื้อ  ไม่ได้เสื้อมาห่มยิ่งตรมใจ
    ถึงบ้านจีนจีนมีที่นี่หรือ จึงเรียกชื่อจีนจามให้ความฉงน
    ชื่อบ้านจีนแล้วทำไมให้ไทยปน โอ้ตำบลนี้วิบัติอัศจรรย์
    มาถึงบ้านนายไกรฤทัยหมอง คิดถึงเรื่องไกรทองยิ่งโศกศัลย์
    เขาเรืองฤทธิ์คิดฆ่าชาละวัน แล้วชมขวัญโฉมศรีวิมาลา
    นางกลับเป็นจรเข้เที่ยวเร่ร่อน ไกรทองนอนคนเดียวเปลี่ยวนักหนา
    คิดถึงน้องร้องไห้ฟายน้ำตา อุปมาเหมือนเรานี้เศร้าใจ
    มาถึงวัดอุทยานสำราญจิตต์ ที่เพ่งพิศพฤกษาบุปผาไสว
    เหมือนสวนสวรรค์ชั้นฟ้าสุราลัย หอมดอกไม้น่าดมลมรำเพย
    ถ้าน้องมากับพี่จะชี้บอก ว่าโนนดอกสารภีเจ้าพี่เอ๋ย
    รสสุคนธ์คนชมภิรมย์เชย เหมือนพี่เคยชมน้องในห้องนอน
                                                            .....
    ถึงบางระนกบางคูเวียงเคียงกันอยู่ เหมือนอย่างคู่เชยชมภิรมย์ขวัญ
    ทั้งสองบางปากบางไม่ห่างกัน อัศจรรย์บ้านนี้ดีสุดใจ
                                                            .....
    ถึงโรงหีบเห็นเขาหีบแต่น้ำอ้อย ดูหยดย้อยรองไว้ได้นักหนา
    พี่รักน้องถ้าระรองเอาน้ำตา คงมากกว่าน้ำอ้อยแล้วกลอยใจ
    ชะรอยรักโฉมฉายมาหลายชาติ เป็นบุพเพสันนิวาสหรือไฉน
    ยิ่งคิดถึงแก้วตาที่อาลัย ในจิตต์ใจพี่นี้ไม่มีสบาย
    ถึงบางม่วงเห็นพวงมะม่วงห้อย คิดจะสอยก็ไม่สมอารมณ์หมาย
    จะปีนต้นก็ยากลำบากกาย พี่นึกหมายนิ่งอดเหมือนมดแดง
                                                            .....
    ถึงบางใหญ่แต่ชื่อเขาลือเล่า ไม่ใหญ่เท่าทุกข์พี่ที่จากสมร
    พี่ทุกข์เท่าฟ้าดินคิรินทร ไม่หยุดหย่อนโศกาน้ำตาคลอ
    มาตามทางบางใหญ่ไกลนักหนา ไม่เห็นหน้าน้องแก้วพี่แล้วหนอ
    มาถึงด่านด่านเรียกให้เรือรอ แล้วเลยต่อไปในวนชลธาร
    มาถึงวัดส้มเกลี้ยงพอเที่ยงสาย สกนธ์กายร้อนเริงดังเพลิงผลาญ
    เห็นส้มเกลี้ยงน่าจะกลืนให้ชื่นบาน เปรี้ยวหรือหวานก็ไม่รู้ดูแต่ตา
                                                            .....
    ไม่รู้จักชื่อบ้านรำคาญจิตต์ นั่งพินิจแนวทางมากลางหน
    จนออกทุ่งมุ่งดูพระสุริยน เมฆหมอกหม่นหมองมัวเหมือนตัวเรา
    โอ้สงสารสุริยาฟ้าพยับ จะเลื่อนลับยุคนธรศิงขรเขา
    พระอาทิตย์ดวงเดียวเปลี่ยวเหมือนเรา กำสรดเศร้าโศกาเอ้กากาย
    ถึงมีเพื่อนเหมือนพี่ไม่มีเพื่อน เพราะไม่เหมือนนุชนาฏที่มาดหมาย
    มีเพื่อนเล่นก็ไม่เหมือนกับเพื่อนตาย มีเพื่อนชายก็ไม่เหมือนมีเพื่อนชม
                                                            .....
    มาตะบึงลุถึงหัวโยงเชือก เป็นโคลนเทือกท้องนาชลาสินธุ์
    คลองเล็กล้ำน้ำตื้นเห็นพื้นดิน ไม่ได้กินน้ำท่าระอาใจ
    ต้องจ้างโยง ๆ เรือเหลือลำบาก ให้ควายลากเรือเลื่อนเขยื่อนไหว
    ผูกระนาวยาวยืดเป็นพืดไป ทั้งเจ๊กไทยปนกับสนั่นอึง
    ไม่พักแจวพักถ่อให้รอช้า เป็นราคาประจำลำสลึง
    ควายก็เดินดันดังเสียงกังกึง พอเชือกตึงเรือตามเป็นหลามมา
    จนพลบค่ำน้ำค้างลงพร่างพร้อย  พระจันทร์ลอยเด่นดวงช่วงเวหา
    ดาวประดับวับวาวอร่ามตา ดูท้องฟ้าอ้างว้างกลางอัมพร
                                                            .....
    ไม่มีมุ้งยุงกัดสะบัดหนาว ทั้งลมว่าวพัดต้องให้หมองหมาง
    เห็นเพื่อนเรือเมื่อตอนจะรุ่งราง มีมุ้งกางกอดเมียอยู่เคลียคลอ
                                                            .....
    ทั้งคับใจคับที่เจ้าพี่เอ๋ย ไม่หลับเลยจนสว่างกระจ่างฉาย
    เขาโยงเรือรับรุดไม่หยุดควาย มาจนสายจึงพ้นตำบลโยง
    มาถึงด่านบ้านนอกออกแม่น้ำ ดูลึกล้ำน่ากลัวจรเข้โขง
    พี่นั่งเรือขึ้นไว้มิให้โคลง แจวชะโลงล่องน้ำมาลำเดียว
    มาถึงลานตากฟ้าเวลาเช้า ยิ่งโศกเศร้าเสียใจอาลัยเหลียว
    เป็นทุ่งนาหญ้ารกวิหคเกรียว กะทุงเที่ยวเลียบหนองคอยมองปลา
                                                            ......
    ยิ่งรำพันตันจิตต์ให้คิดถึง  แทบประหนึ่งจะเด็ดดิ้นสิ้นสังขาร
    เรือก็ล่องตามคลองแม่น้ำมา ไม่รอรารีบรัดผลัดกันแจว
    ถึงงิ้วรายหมายคุ้งมุ่งเขม้น พี่แลเห็นต้นงิ้ว เป็นทิวแถว
    แต่ตัวน้องพี่มองไม่เห็นแล้ว เห็นแต่แนวแม่น้ำนั้นร่ำไป
    มาถึงบ้านสามประทวนหวนละห้อย น้ำเนตรย้อยซึมโซมชะโลมไหล
    ให้หิวหอบบอบช้ำระกำใจ พลางครรไลล่องลอยนาวามา
    ถึงนครไชยศรีมีโรงเหล้า เป็นของเมาตัดขาดไม่ปรารถนา
    ไม่เมาเหล้าเมาแต่รักหนักอุรา เมายิ่งกว่าเมาเหล้ายิ่งเศร้าใจ
    อันรักมักหลงพะวงรัก ใครจะรักฉกไว้ก็ไม่ไหว
    กำลังมืดเมามัวไม่กลัวใคร คงจะไปหารักที่พักพิง
    อันทุกข์โศกโรคร้อนนอนไม่หลับ เกิดสำหรับร่างกายทั้งชายหญิง
    ด้วยรักกันฟั่นเฝือเหลือประวิง อนาถนิ่งนอนนึกรำลึกกัน
                                                            .....
        ถึงบางแก้วมองเขม้นไม่เห็นแก้ว เห็นแต่แนวดงพฤกษาสลอน
    มีวัดหนึ่งโตใหญ่ใกล้สาคร สง่างอนช่อฟ้าศาลาสะพาน
    ดูเบื้องบนอาวาสก็ลาดเลี่ยน ต้นตะเคียนร่มรกปกวิหาร
    ทั้งสระโกสุมภ์ประทุมมาลย์ บ้างตูมบานเกษรอ่อนละออ
    พี่คิดถึงบัวทองของน้องแก้ว ยังผ่องแผ้วพรรณรายเสียดายหนอ
                                                            .....
    พระสุริยฉายสายแสงขึ้นแข็งกล้า รีบเรือมามิได้หยุดพี่สุดหมอง
    ยิ่งร้อนแดดแผดพยับอับละออง ไม่ผุดผ่องผิวค้ำระกำใจ
                                                            .....
    รำพันพลางทางมาถึงวัดสิงห์ พี่นั่งนิ่งนึกไปฤทัยหวาม
    ประณมหัตถ์ทัศนาพระอาราม แล้วมาตามคลองน้อยละห้อยใจ
        ถึงวัดท่าเป็นท่าที่เรือจอด ไม่เปล่าปลอดเรือแพแลไสว
    สิ้นหนทางคงคาชลาลัย จะขึ้นไปเดินป่าพนาวัน
    สัปรุษหยุดเรืออยู่พร้อมหน้า เสียงเฮฮาอึงอื้อหือฤาหรรษ์
    เป็นพวกพ้องเข้าประสพสมทบกัน จะผายผันพวกเดียวก็เปลี่ยวใจ
    ไปจ้างเกวียนชาวนาสิบห้าเล่ม บรรทุกเต็มพร้อมกันเสียงหวั่นไหว
    ทั้งหนุ่มสาวเฒ่าแก่ออกแซร่ไป จะเดินไพรสนุกไม่ทุกข์ร้อน
    เขาออกเกวียนพร้อมหน้าเวลาบ่าย แลดูควายเดินระดับสลับสลอน
    เจ้าของหวดด้วยตะพดให้บทจร เกวียนสะท้อนกงสะเทือนเขยื้อนดัง
    ดูดุมวงกงหมุนเป็นฝุ่นฟุ้ง คนเดินมุ่งมาตรมาทั้งหน้าหลัง
    ถืออาวุธกันภัยระไวระวัง ไม่รอรั้งรีบมาเป็นช้านาน
    ถึงบ้านธรรมศาลาพนาสณฑ์ เป็นตำบลใหญ่โตระโหฐาน
    เขาบอกว่าบ้านนั้นแสนกันดาร  ตำข้าวสารกรอกหม้อไม่พอกิน
    ดูเหย้าเรือนเคหา น่าสังเวช เต็มทุเรศรุงรังไปทั้งสิ้น
    ถึงยากจนทนสู้เขาอยู่ชิน ไม่ทิ้งถิ่นทิ้งทางให้ร้างโรย
    แต่ตัวเรียมร้างนุชมาสุดเนตร  แสนทุเรศร่ำไห้ไม่วายโหย
                                                            .....
        ถึงประโธนธารามพราหมณ์เขาสร้าง  เป็นพระปรางค์แต่โบราณนานนักหนา
    แต่ครั้งดวงพระธาตุพระศาสดา พราหมณ์ศรัทธาสร้างสรรค์ไว้มั่นคง
    บรรจุพระทะนานท่องของวิเศษ พี่น้อมเกศโมทนาอานิสงส์
    จุดธูปเทียนอภิวันด้วยบรรจง ถวายธงแพรผ้าแล้วพาจร
    ดูสองข้างมรรคาล้วนป่าไผ่ เขาตัดใช้ทุกกอตอสลอน
    หนามแขนงแกว่งห้อยรอยเขารอน บ้างเป็นท่อนแห้งหักทะลักทะลุย
    ที่โคนไผ่ไก่ป่ามาซุ่มชุก บ้างกอกุกเขี่ยดินกินลุกขุย
    พอเห็นคนวนบินดินกระจุย เห็นร่องคุ้ยรอบข้างหนทางจร
    บรรลุถึงพระปฐมประทับหยุด สัปบุรุษเซ็งแซร่แลสลอน
    แวะขึ้นไปไหว้พระปฐมประณมกร สโมสรโสมนัสนมัสการ
    ต่างระรื่นชื่นจิตต์พิศวง เที่ยวเวียนวงไหว้รอบขอบสถาน
    พระปรางค์ใหญ่มีอยู่แต่บุราณ  สูงตระหง่านยอดเยี่ยมเทียมอัมพร
    มีบันไดขึ้นไปประทักษิณ แลเห็นสิ้นทุกทิศจิตต์สยอน
    ดูต้นไม้ในป่าเหมือนหญ้าบอน ระเนนนอนแนบชิดติดสุธา
    ดูแผ่นดินรายรอบเป็นขอบขันธ์ เป็นหมอกควันแลไปไกลนักหนา
    ข้างพื้นล่างกลางลานชานชลา มีพฤกษาร่มรื่น เป็นพื้นทราย
    พี่ชมพลางทางพบอภิวาท สุคนธชาติบุปผาบูชาถวาย
    สัปรุษพร้อมพรั่งทั้งหญิงชาย กราบถวายวันทาแล้วลาลง
    เที่ยวเลี้ยวลัดทัศนาพระอาวาส ดูอนาถน้ำจิตต์พิศวง
    บริเวณวัดวาเป็นป่าดง ดูงวยงงล่วงมาช้านาน
    พระปฐมของบรมกษัตริย์สร้าง เป็นพระปรางค์ใหญ่โตระโหฐาน
    สูงเท่านกเขาเหินเกินทะยาน พระยาพาลก่อสร้างไว้ล้างกรรม
    เธอหลงฆ่าปิตุรงค์ทิวงคต เขารู้หมดเรื่องความไม่งามขำ
    เธอทำผิดคิดได้ไม่เป็นธรรม จึงกลัวกรรมก่อสร้างพระปรางค์ทอง
    พี่ได้ฟังเรื่องราวเขาเล่ามาก เมื่อยามยากคิดไปฤทัยหมอง
    ข้ามห้วยหนองคลองบึงถึงอ้ายกอง สกุณาร้องรัญจวนถึงนวลระหงส์
    พอโพล้เพล้เวลาจะค่ำลง ให้งวยงงง่วงเหงาเศร้าฤทัย
    เสียงจักจั่นแจ้ว ๆ ให้แว่วหวาด หนาวอนาถนึกน่าน้ำตาไหล
    ยะเยือกเย็นเส้นหญ้านภาลัย วังเวงใจจะมาในราตรี
    แล้วหยุดนอนในป่าเวลาดึก คะนึงนึกถึงน้องให้หมองศรี
    หักใบไม้ปูลาดกวาดธุลี กองอัคคีรอบเกวียนเวียนระวัง
    บ้างก็กินโภชนากระยาหาร ต่างสำราญสู่สมอารมณ์หวัง
    บ้างหาร่มไม้ชิดให้ปิดบัง พอยับยั้งกายตามยามกันดาร
    แต่ตัวพี่นอนกลางหว่างต้นไม้ ยกมือไหว้เทพาพฤกษาสาณฑ์
    อย่าให้มีโภยภัยสิ่งใดพาล นมัสการแปดทิศแล้วนิทรา
    จนดึกดื่นเดือนสว่างกระจ่างแจ้ง จรัสแสงส่องสอดยอดพฤกษา
    น้ำค้างพรมลมว่าวหนาวอุรา พี่ห่มผ้าซ้อนผืนไม่ชื่นจิตต์
    ไม่อุ่นเหมือนแนบกายสายสวาท โศกไสยาศน์เกลือกกลับไม่หลับไหล
    ลุกขึ้นนั่งหลังอิงแล้วผิงไฟ ได้ยินไก่เถื่อนขันสำคัญยาม
    เสียงจิ้งหรีดกรีดกริ่งระหริงร้อง เย็นสมองเยี่ยมย่างเข้ายามสาม
    จนแสงทองส่องฟ้าสง่างาม

    • Update : 15/5/2554
    © Copyright 2011 www.watnongmuang.com All rights reserved 999arch