หน้าแรก สมาชิก รายการวัตถุมงคล ตะกร้าวัตถุมงคล วิธีชำระวัตถุมงคล วิธีบูชาวัตถุมงคล ประวัติวัด ติดต่อวัด เว็บบอร์ด
สมาชิก Log in
อีเมล์
รหัสผ่าน
สมัครสมาชิกใหม่
ลืมรหัสผ่าน
















ค้นหาวัตถุมงคล
 
 
 
หมวดวัตถุมงคล
  เครื่องราง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง หลวงพ่อสวัสดิ์
  พระเครื่อง หลวงปู่พิมพ์มาลัย
  พระเครื่อง หลวงพ่อสง่า
วัตถุมงคลของคุณ
รหัสวัตถุมงคล ราคา จำนวน
ยังไม่มีวัตถุมงคลอยู่ในตะกร้า
  • ชำระค่าวัตถุมงคล
  • แก้ไขรายการวัตถุมงคล
  • วิธีสั่งบูชาวัตถุมงคล
  •  

    ประเทศเพื่อนบ้านของไทย-ประเทศอินเดีย
    ประเทศอินเดีย

    loading picture>

                ประเทศอินเดียตั้งอยู่ทางตอนใต้ของทวีปเอเซีย ลักษณะเป็นคาบสมุทรรูปสามเหลี่ยม ยื่นออกไปในมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งมักเรียกว่า อนุทวีป มีขนาดกว้างใหญ่ไพศาล มีพื้นที่ประมาณ ๓,๒๖๗,๕๐๐ ตารางกิโลเมตร ใหญ่เป็นอันดับเจ็ดของโลก หรือประมาณสองในสามของพื้นที่ทวีปยุโรป ที่ไม่รวมประเทศรัสเซีย เส้นพรมแดนทางบกยาวประมาณ ๑๕,๒๐๐ กิโลเมตร ทางทะเลประมาณ ๕,๗๐๐ กิโลเมตร มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศต่าง ๆ มหาสมุทรและทะเล ดังนี้
                        ทิศเหนือ  ติดต่อกับประเทศจีน ทิเบต และเนปาล
                        ทิศตะวันออก  ติดต่อกับประเทศบังคลาเทศ และพม่า กับมีหมู่เกาะอันดามัน และหมู่เกาะนิโคบาร์ ในทะเลอันดามัน ของมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งอยู่ใกล้ประเทศพม่า ไทย และอินโดนิเซีย
                        ทิศใต้  ติดต่อกับประเทศศรีลังกา มหาสมุทรอินเดีย และทะเลอาเรเบียน โดยมีหมู่เกาะลัคคาได์ว อยู่ในทะเลอาเรเบียน
                        ทิศตะวันตก  ติดต่อกับทะเลอาราเบียน และประเทศปากีสถาน
    ลักษณะภูมิประเทศ
                พื้นที่ของประเทศอินเดีย แบ่งออกได้เป็นเขตที่สำคัญอยู่สี่เขตด้วยกันคือ
                เขตภูเขา  ประกอบไปด้วย เทือกเขาหิมาลัย ทางตอนเหนือซึ่งเป็นเทือกเขาสามเทือกทอดตัว เป็นแนวที่เกือบขนานกัน สลับไปด้วยที่ราบสูง และที่ลุ่มหุบเขาในบางแห่ง เช่น หุบเขาแคชเมียร์ และหุบเขาคูล เป็นบริเวณที่มีความอุดมสมบูรณ์ และมีทิวทัศน์ที่งดงาม บรรดายอดเขาสูง ๆ ในเทือกเขาหิมาลัย มักจะอยู่ในแถบนี้ ภูเขาในเทือกเขาหิมาลัย จะมีระดับลดต่ำลง เมื่อเริ่มเข้าเขตตะวันออก เข้าสู่ชายแดนพม่า และบังคลาเทศ
                เขตที่ราบลุ่มแม่น้ำคงคาและแม่น้ำสินธุ  เป็นเขตที่ถัดลงมาจากเขตภูเขา มีขนาดพื้นที่กว้างประมาณ ๓๐๐ กิโลเมตร และยาวประมาณ ๑,๐๐๐ กิโลเมตร เป็นที่ราบอุดมสมบูรณ์ อันเกิดจากระบบแม่น้ำที่สำคัญ สามสายคือ แม่น้ำสินธุ   แม่น้ำคงคา และแม่น้ำพรหมบุตร บริเวณดังกล่าวเป็นที่ตั้งรกรากอยู่อาศัยของประชากร ที่หนาแน่นที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เป็นบริเวณที่พื้นที่ส่วนใหญ่ ราบลุ่มเสมอกันมาก จนเกือบจะไม่มีความสูงต่ำแตกต่างกันเท่าใดนัก ดังจะเห็นได้จากบริเวณลุ่มแม่น้ำยมนา ที่กรุงเดลฮี ไปจนถึงปากอ่าวเบงกอล ซึ่งอยู่ห่างกันประมาณ ๑,๖๐๐ กิโลเมตร แต่มีระดับความสูงต่างกันเพียง ๒๐๐ เมตร เท่านั้น
                เขตทะเลทราย  แบ่งออกได้เป็นพื้นที่สองส่วนย่อยคือ ส่วนทะเลทรายใหญ่ และส่วนทะเลทรายเล็ก
                    ส่วนทะเลทรายใหญ่  อยู่ตามแนวชายแดนของอินเดียกับปากีสถาน บริเวณรัฐราชสถาน ของอินเดีย กับจังหวัดสินธุ ของปากีสถาน
                    ส่วนทะเลทรายเล็ก  อยู่ทางตอนเหนือของส่วนทะเลทรายใหญ่ ขึ้นไปทางเหนือคือ จากบริเวณแม่น้ำลูนิ (Luni)  ระหว่างเมืองชัยซาลเมด์ (Jaisalmer )  และเมืองจอดห์ปุระ (Jodhpur)
                ส่วนของทะเลทรายทั้งสองนี้ มีส่วนที่ไม่ได้เป็นทะเลทรายคั่นอยู่ ซึ่งเป็นบริเวณที่เต็มไปด้วยโขดหิน ขาดแหล่งน้ำและฝนแล้ง ทำให้บริเวณแห้งแล้งไม่แพ้เขตทะเลทรายแท้ ๆ
                เขตที่ราบสูงคาบสมุทรภาคใต้ คือ เขตคาบสมุทรเดคคาน (Deccan)  มีอาณาเขตเริ่มจากตอนใต้ของเขตที่ราบลุ่มน้ำ โดยเริ่มจากแนวเทือกเขาใหญ่น้อยที่คั่นอยู่ เช่น เทือกเขาวินไชย (Vindhya)  เทือกเขาสัตปุระ (Satpura)  เทือกเขาไมคาลา (Maikala) และเทือกเขาอชันตา (Ajanta)  เทือกเขาเหล่านี้มีความสูงต่างกัน ตั้งแต่ ๔๖๐ - ๑,๒๒๐ เมตร จากระดับน้ำทะเล
                สองฝั่งของเขตคาบสมุทรเดคคาน ก่อนถึงชายฝั่งทะเลมีเทือกเขากัทส์ (Ghats)  ตะวันออก และเทือกเขากัทส์ตะวันตกขนาบอยู่ เทือกเขาดังกล่าวทางภาคตะวันออก อยู่ห่างจากชายฝั่งทะเลมากกว่าทางฝั่งตะวันตก ทำให้หาดชายฝั่งทะเลด้านตะวันออก ฝั่งอ่าวเบงกอลกว้างขวาง หาดชายทะเลในฝั่งตะวันตกด้านทะเลอาหรับ
                ฝั่งทะเลด้านตะวันตกมีภูเขาสูงชันตามชายฝั่ง ในฤดูมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ลมมรสุมจะพัดเกือบตั้งฉากกับชายฝั่ง ทำให้เกิดคลื่นลมแรง และไม่มีเกาะเป็นที่กำบังคลื่นลม มีท่าเรือตามธรรมชาติที่สะดวกต่อการจอดเรืออยู่สามแห่งคือ บอมเบย์  กัว และโคชิน
                ฝั่งทะเลด้านตะวันออก ไม่ได้รับคลื่นลมเต็มที่ ฝั่งทะเลลาดตื้นเรือใหญ่ไม่สามารถเข้าออกใกล้ฝั่งได้ ท่าเรือที่สร้างขึ้นทางฝั่งนี้ได้แก่ กัลกัตตา มัทราส และวิสาขาปัตนัม
                เทือกเขากัทส์ ทั้งสองฝั่งมาบรรจบกันตรงปลายคาบสมุทรในตอนใต้ บริเวณนี้เรียกว่า เขตเนินเขานิลคีรี (Nilgiri)
                ระบบแม่น้ำ  แม่น้ำในอินเดียแบ่งออกได้เป็นสี่ประเภทคือ แม่น้ำหิมาลัย แม่น้ำคาบสมุทรเดคคาน แม่น้ำชายฝั่ง และแม่น้ำในดินแดนภายใน
                    แม่น้ำหิมาลัย  ปกติจะเกิดจากน้ำที่ละลายมาจากหิมะ ในภาคเหนือของอินเดีย ดังนั้น แม่น้ำเหล่านี้จะมีน้ำไหลเต็มที่อยู่ตลอดเวลา ในฤดูมรสุมเมื่อฝนตกมาก แม่น้ำเหล่านี้จะรับน้ำไว้ได้ไม่หมด จึงทำให้เกิดน้ำท่วมอยู่เสมอ
                    ส่วนแม่น้ำในคาบสมุทรเดคคาน โดยปกติได้น้ำจากน้ำฝน ดังนั้นปริมาณน้ำในแม่น้ำดังกล่าว จึงมักจะมากน้อยไม่แน่นอน นอกจากนี้แม่น้ำย่อย ๆ ซึ่งไม่มีต้นกำเนิดจากแม่น้ำทั้งสองประเภทดังกล่าว และอยู่ตามชายฝั่งโดยเฉพาะในฝั่งตะวันตก จะมีเส้นทางสั้น ๆ และมีขนาดแคบ จึงรับน้ไดได้ในปริมาณจำกัด
                    สำหรับแม่น้ำในดินแดนภายใน เป็นลำน้ำเล็ก ๆ ไม่มีทางออกทะเล ปลายทางของแม่น้ำหากไม่ไหลลงแอ่งน้ำ ทะเลสาป  ก็จะเหือดแห้งไปในทะเลทราย
                    ระบบแม่น้ำที่ใหญ่ที่สุดในอินเดียคือ แม่น้ำคงคา ซึ่งมีต้นกำเนิดจากเทือกเขาหิมาลัย แม่น้ำสาขาในระบบแม่น้ำคงคาคือ แม่น้ำยมนา แม่น้ำกากรา แม่น้ำกันดัค และแม่น้ำโคสิ
                    ที่ราบลุ่มแม่น้ำคงคา จัดได้ว่ามีความอุดสมบูรณ์ และกว้างใหญ่ไพศาลที่สุด เป็นบริเวณกว้างถึงหนึ่งในสี่ของประเทศ ส่วนลุ่มน้ำของระบบแม่น้ำอื่น ๆ ที่มีความสำคัญ รองลงมาได้แก่ ลุ่มแม่น้ำโคธาวารี (Godavari) ในเขตที่ราบสูงเดคคาน ระบบน้ำตาปี (Tapi) ในภาคเหนือ และระบบน้ำเพนเนอร์ (Penner) ในภาคใต้
                    การที่อินเดียถูกแวดล้อมด้วยพรมแดนธรรมชาติรอบด้าน คือมีทั้งภูเขาและฝั่งทะเลเป็นพรมแดน ได้แยกอินเดียออกจากส่วนอื่น ๆ ของทวีปเอเชีย ทำให้อินเดียตั้งอยู่โดดเดี่ยวตามลำพัง ซึ่งนับว่ามีอิทธิพลเป็นอย่างมากต่อวิถีชีวิตของชาวอินเดีย ทำให้ชาวอินเดียมีอารยธรรมและวัฒนธรรมที่มีลักษณะของตนเองโดยเฉพาะ และในโอกาสเดียวกัน พรมแดนธรรมชาติดังกล่าว ช่วยให้สามารถรักษาวัฒนธรรมของตนให้สืบเนื่องตลอดมาตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงสมัยปัจจุบัน
    ประชากรและวิถีชีวิตของประชากร
                ประชากรอินเดีย ประกอบด้วยชนชาติหลายเผ่า หลายเชื้อชาติ ศาสนาและวัฒนธรรม มีสีผิวตั้งแต่ผิวขาว ถึงผิวดำ ความสูงต่ำ ดำ จางของสีผมและสีตา ทั้งนี้ด้วยเหตุที่อินเดียเป็นศูนย์รวมของเชื้อชาติหลาย ๆ เชื้อชาติ ตั้งแต่เริ่มประวัติศาสตร์ของชนชาติอินเดีย
                เชื่อกันว่าชาวพื้นเมืองดั้งเดิมของอินเดียมีผิวดำ รูปร่างเล็ก เตี้ย จมูกแบน เป็นพวกเชื้อชาติดราวิเดียน คนไทยส่วนมากเรียกชาวอินเดียว่า แขกอินเดียภารตะ คนอินเดียเรียกดินแดนของตนว่า ภารตวรรษ แปลว่า ที่อยู่ของชาวภารตะ ชาวภารตะคือว่าเป็นผู้สืบเชื้อสายมาจากพระพรต ผู้เป็นกษัตริย์ต้นวงศเการพ และปาณฑพ ในมหากาพย์ภารตะ แต่คนทั่ว ๆ ไปเรียกดินแดนนี้ว่าอินเดีย ซึ่งมาจากคำว่า สินธุ อันเป็นชื่อแม่น้ำสำคัญสายหนึ่งของอินเดีย และเป็นแหล่งอารยธรรมเก่าแก่ของโลกสายหนึ่ง
                ชนชาติพวกแรกที่อพยพเข้ามาอยู่ในแถบลุ่มแม่น้ำนี้คือ ชนชาติเปอร์เซียน ชาวเปอร์เซียนเรียกแม่น้ำสินธุว่า ฮินดู
                ในสมัยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชแห่งกรีก ได้ยกกองทัพมารุกรานอินเดียจนถึงลุ่มแม่น้ำสินธุ ทำให้ชนชาติกรีกได้มาตั้งถิ่นฐานอยู่ในแถบแม่น้ำนี้ กรีกเรียกแม่น้ำนี้ว่า Indos  ชาวพื้นเมืองและชนชาติอื่นเรียกเพี้ยนไปเป็น Indus  และได้กลายเป็น India
                ชาวเปอร์เซีย เป็นเชื้อสายอินโด ยูโรเปียน สาขาอินโดอารยัน มีผิวขาว จมูกโด่ง รูปร่างสูงใหญ่ เข้ามสมัยโมเฮนโจ - ดาโร (Mohenjo - Daro) และฮารัปปา (Harappa) ซึ่งเป็นความเจริญที่เกิดขึ้นประมาณ ๒๕๐๐ - ๑๕๐๐ ปี ก่อนพุทธศักราช ชนพื้นเมืองที่เป็นชนผิวดำ เป็นเผ่าดราวิเดียน เรียกกันว่า พวกมิลักขะ หรือทัสยุ พวกอินโดอารยันได้รุกรานพวกมิลักขะ เมื่อประมาณ ๑๐๐๐ ปี ก่อนพุทธศักราช สามารถเข้าครอบครองดินแดนแถบลุ่มแม่น้ำสินธุ โดยได้ตั้งมั่นอยู่ในมณฑลปัญจาบ แล้วขยายอำนาจไปถึงลุ่มแม่น้ำคงคา ขับไล่พวกมิลักขะลงไปทางใต้แต่บางพวกไม่ยอมอพยพออกไป จึงตกเป็นทาษพวกอารยัน ดังนั้นคำว่า ทาส จึงมาจากคำว่า ทัสยุ นั่นเอง
                ในจำนวน ๒๒ รัฐของอินเดีย มีประชากรประกอบด้วย ชนหลายเชื้อชาติ ศาสนา และภาษา โดยมีเชื้อชาติต่างกันถึง ๒๐ เชื้อชาติ ส่วนใหญ่เป็นเผ่าอารยันและดราวิเดียน โดยเป็นเผ่าอารยันประมาณร้อยละ ๗๒ เผ่าดราวิเดียน ประมาณร้อยละ ๒๕ และเป็นเผ่ามองโกลอยด์ ประมาณร้อยละ ๓
                โดยอาศัยลักษณะภูมิประเทศ และภาษาพูด ประชากรอินเดียอาจแบ่งออกเป็นสามกลุ่มใหญ่ ๆ คือ
                    อินเดียภาคเหนือ  ประชากรมีลักษณะที่สืบเชื้อสายมาจากพวกอารยัน ซึ่งเข้ามาอยู่ในอินเดีย เมื่อประมาณ ๑,๐๐๐ ปี ก่อนพุทธกาล เป็นชนเผ่าที่มีอารยธรรมสูง และเป็นพวกปัญญาชน
                    ชาวอารยันอาจมีเชื้อชาติเดียวกับชาวยุโรป พวกนี้ได้แบ่งชีวิตสังคมของตนออกเป็นชั้นวรรณะ ส่วนใหญ่พูดภาษาฮินดี มีรัฐใหญ่ ๆ อยู่หลายรัฐ เช่น ปัญจาบ ราชสถาน อุตรประเทศ ใช้ภาษาและขนบธรรมเนียมประเพณีที่คล้ายคลึงกัน
                    สำหรับรัฐอื่น ๆ ที่ใช้ภาษาท้องถิ่นต่าง ๆ ที่สำคัญ เช่น แคว้นเบงกอลตะวันตก พูดภาษาเบงคลี ประชากรมีลักษณะที่สืบเชื้อสายมาจากพวกมองโกลอยด์ อาศัยอยู่ในที่ราบลุ่มแม่น้ำคงคา มีเมืองสำคัญคือ กัลกัตตา ประชากรใช้ภาษาอัสสมี และฮินดี ในรัฐปัญจาบ ประชากรพูดภาษาปัญจบี ภาษาเหล่านี้รวมเรียกว่า ภาษาอินโด - อารยัน
                    อินเดียภาคกลาง  เป็นเขตติดต่อระหว่างประชากรอินเดีย ที่ใช้ภาษาอินโด - อารยัน กับดราวิเดียน หรือภาษาทมิฬตอนใต้ ศูนย์กลางอยู่ที่เมืองบอมเบย์ แต่ก็มีประชากรในบอมเบย์ และที่อื่น ๆ ใช้ภาษาอื่น ๆ อีก เช่น พวกที่อยู่ทางด้านตะวันออกของที่ราบสูงเด็คคาน ใช้ภาษาเตลุคุ หรือที่เมืองปูนา ซึ่งเป็นศูนย์กลางของศาสนาพราหมณ์ ใช้ภาษาดุดรัต เป็นต้น
                    อินเดียภาคใต้  เชื่อกันว่าประชากรในภาคนี้สืบเชื้อสายมาจากคนดั้งเดิมของอินเดีย ซึ่งอยู่มาตั้งแต่ก่อนประวัติศาสตร์คือ พวกดราวิเดียน หรือมิลักขะ พวกนี้มีรูปร่างเล็ก ผิวค่อนข้างดำ ส่วนใหญ่ใช้ภาษาทมิฬ มีศูนย์กลางอยู่ในแคว้นมัทราส มีเมืองทางชายฝั่งทะเลตะวันออก อันเป็นที่อยู่ของประชากรที่ใช้ภาษามลายลัม
                    นอกจากพวกอารยัน และดราวิเดียน จะเป็นประชากรดั้งเดิมของอินเดีย แล้วก็ยังมีพวกอื่น ๆ อีก เช่น เปอร์เซีย กรีก ฮั่น อาหรับ เตอร์ก มองโกล ชนชาติต่าง ๆ เหล่านี้ได้เข้ามาอยู่ในอินเดีย และได้เป็นบรรพบุรุษของชาวอินเดีย ในปัจจุบัน
                    ประชากรส่วนใหญ่ของอินเดีย ประมาณร้อยละ ๘๐ อาศัยอยู่ในหมู่บ้านชนบทประมาณ ๕๖๗,๐๐๐ แห่ง ที่เหลืออีกประมาณร้อยละ ๒๐ อาศัยอยู่ตามเมืองต่าง ๆ ประมาณ ๓,๖๐๐ เมือง คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ และศูทร พวกศูทรจะถูกเหยียดหยาม และถูกกีดกันจากคนที่มีวรรณะสูงกว่า แม้ว่ารัฐบาลกลางของอินเดีย จะไม่ยอมรับนับถือวรรณะ แต่ปัจจุบันการแบ่งชั้นวรรณะในสังคมอินเดียก็ยังมีอยู่
                    ปัญหาประชากรที่มีความแตกต่างในเชื้อชาติ มีอยู่หลายกลุ่มที่มีความแตกต่างจากส่วนใหญ่ จะมีความสำนึกในเรื่องชาติพันธุ์ของตนมากขึ้นเรื่อย ๆ และประสงค์จะมีการปกครองตนเอง เช่น ชาวนาคา ในแคว้นอัสสัม ชาวมัดกาในรัฐพิหาร เป็นต้น ชนเหล่านี้ได้เรียกร้องต่อรัฐบาลกลาง และแบ่งกลุ่มถึงกับใช้กำลัง เพื่อให้ได้สิทธิการปกครองตนเอง
                ประชากรในชนบท  ประเทศอินเดียมีลักษณะพื้นที่เป็นหมู่บ้านกระจายอยู่ทั่วไปประมาณร้อยละ ๗๐ ขนาดของหมู่บ้านมีตั้งแต่ที่มีประชากร ๕,๐๐๐ คน ไปจนถึงหมู่บ้านที่มีเพียง ๒๐๐ - ๓๐๐ คน
                ลักษณะของหมู่บ้านประกอบด้วยกลุ่มของครัวเรือน ที่ล้อมรอบด้วยทุ่งนาที่ทำกิน และที่เลี้ยงสัตว์ ติดต่อกับหมู่บ้านอื่น หรือโลกภายนอกด้วยถนนดินโคลนเหนียว ซึ่งส่วนมากในฤดูฝนจะใช้การแทบไม่ได้
                บ้านในชนบทโดยทั่วไปสร้างด้วยดินเหนียวผสมมูลวัว หลังคามุงด้วยใบไม้หรือใบปาล์ม ที่พักหรือห้องพักผ่อนจะเป็นที่เดียวกับที่นอน กล่าวคือกลางวันใช้เป็นที่พักผ่อน กลางคืนใช้เป็นที่นอน ห้องครัวจะมีขนาดเล็ก บางบ้านจะมีห้องสำหรับเก็บอาหารเมล็ดพืชและเครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ  ติดกับตัวบ้านจะเป็นคอกวัว หน้าบ้านจะมีสวนหน้าบ้าน และมีต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ชื่อตุลสี (Tulsi) ใช้เป็นยาขนานวิเศษรักษาโรคต่าง ๆ และเป็นที่สิงสถิตย์ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่คุ้มครองบ้านด้วย  ด้านข้างของลานหน้าบ้านจะมีบริเวณที่เรียกว่า นอกชาน (Veranda) เป็นสถานที่ที่สมาชิกในครอบครัวพบปะกัน และพบปะกับเพื่อนบ้าน เป็นศูนย์รวมข่าวและกระจายข่าว
                ตามหมู่บ้านที่ไม่มีแม่น้ำหรือลำห้วยผ่าน จะมีบ่อน้ำที่ใช้สำหรับเป็นน้ำดื่ม น้ำใช้  การใช้ประโยชน์จากบ่อน้ำดังกล่าวเป็นหน้าที่ของผู้หญิง ทำให้บรรดาผู้หญิง ได้มีโอกาสพบปะกัน และเป็นแหล่งข่าวสำคัญ บรรดาข่าวสารต่าง ๆ จะแพร่ออกไปจากแหล่งนี้ เพราะชาวอินเดียจะมีโอกาสอ่านหนังสือพิมพ์ หรืออ่านหนังสือได้เพียงประมาณร้อยละ ๓๐ เท่านั้น
                    แบบอย่างชีวิตในชนบทของอินเดีย  มีความใกล้ชิดกับหมู่บ้าน ซึ่งตั้งอยู่บนฐานของเศรษฐกิจคือการเกษตร อันมีความเกี่ยวโยงคนกับที่ดิน แต่ละครอบครัวมีที่ดินเป็นของตนเอง การทำงานจะใช้แรงงานคนในครอบครัว ที่ดินจึงมีความสำคัญต่อการผลิตภายในประเทศเป็นอย่างมาก ซึ่งได้กำหนดโครงสร้างทางสังคม ปรัชญาและอุดมคติสำหรับชาวชนบท
                    คุณลักษณะของชีวิตชาวชนบทของอินเดีย  พอจะประมวลได้ดังนี้
                        ทางด้านเศรษฐกิจ การผลิตทางเศรษฐกิจเป็นการผลิตเบื้องต้น และเป็นแบบเก่า ซึ่งได้กำหนดโครงสร้างทางสังคม และแบบแผนของการดำเนินชีวิตของชาวอินเดีย ในชนบททั่วอินเดีย การประกอบอาชีพของชาวชนบทคือการเกษตรกรรม และใช้แรงงานคนเป็นส่วนสำคัญ
                        มีความใกล้ชิดกับธรรมชาติ  อิทธิพลของธรรมชาติได้กำหนดวิถีชีวิตของชาวอินเดียในชนบทในหลาย ๆ ด้าน เช่น ขนบธรรมเนียมประเพณี บุคลิกภาพและความเชื่อต่าง ๆ
                        ขาดความชำนาญในการผลิตทางเศรษฐกิจ  ทำงานตามฤดูกาล  การดำเนินชีวิตเป็นแบบง่าย ๆ  ไม่มีการคิดค้นวิธีการใหม่ ๆ มาใช้
                        ถูกควบคุมโดยสถาบันของสังคมเก่า  เช่น ครอบครัว วรรณะ แบบแผนของการดำเนินชีวิต ถูกกำหนดให้ปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ
                        ข้อบังคับทางศาสนา  มีการปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด อิทธิพลของศาสนาได้กำหนดวิถีชีวิตของชาวชนบทในหลาย ๆ ด้าน เช่น ด้านสติปัญญา อารมณ์ แนวทางการปฏิบัติ รูปแบบของศิลปะ และบรรทัดฐานของสังคมทางเชื้อชาติ
                        วรรณะ (Caste)  ชาวชนบทในอินเดียประกอบด้วยกลุ่มวรรณะต่าง ๆ  วรรณะมีความสำคัญเป็นอย่างมาก ได้กำหนดหน้าที่สถานภาพ และอาชีพของบุคคลไว้อย่างชัดแจ้ง หน้าที่ทางการบริหารทั้งหมดถูกแบ่งโดยวรรณะ
                        การที่ประชาชนอินเดียส่วนใหญ่นับถือศาสนาฮินดู ซึ่งศาสนานี้ได้แบ่งชั้นวรรณะของคนตามชาติกำเนิด แต่ละวรรณะไม่สามารถเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันด้วยกิจกรรมใด ๆ เป็นอันขาด แต่ละวรรณะก็แบ่งหน้าที่ของตนโดยเฉพาะ จึงเข้าลักษณะต่างกลุ่มต่างวรรณะ ต่างคนต่างอยู่ ไม่ปะปนกัน มีความรังเกียจเดียดฉันท์ซึ่งกันและกัน นอกจากนี้ยังมีคนนับถือศาสนาอื่น เช่น พุทธ คริสต์ อิสลาม ซิกข์และเชน จึงต่างแยกกันอยู่เป็นหมู่เหล่า ไม่สังสรรค์กัน แต่ละกลุ่มต่างก็ปรับปรุงตนให้เข้ากับธรรมชาติ และสภาพของสังคม ผู้คนในชนบทจึงอยู่กันอย่างโดดเดี่ยว เฉพาะคนในศาสนาหรือวรรณะเดียวกัน
                ประชากรในเมือง  พื้นที่ที่เป็นเขตเมืองนับว่ามีส่วนสำคัญอยู่มากในประวัติศาสตร์ของอินเดีย
                ในสมัยเมื่อประมาณ ๑,๕๐๐ ปีก่อนพุทธศักราช อินเดียมีชุมชนที่เป็นเมืองใหญ่ ๆ อยู่สองแห่งคือโมเฮนโจ - ดาโร (Mohenjo - Daro) และฮารัปปา (Harappa)  แต่ละแห่งมีประชากรประมาณ ๔๐,๐๐๐ คน
                เมืองเก่าแก่บางเมืองของอินเดียเช่น เมืองพาราณสี มีประวัติความเป็นมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล
                เมืองที่มีประชากรมากกว่าแสนคน มีอยยู่ไม่น้อยกว่า ๑๕๐ เมือง ในจำนวนนี้มีอยู่ไม่น้อยกว่า ๑๐ เมือง ที่มีประชากรมากกว่าล้านคนคือกัลกัตตา ๗ ล้านคน บอมเบย์ ๖ ล้านคน เดลฮี ๔ ล้านคน มัทราช ๓.๕ ล้านคน ไฮเดอราบัด ๒ ล้านคน อาเมตบัด ๒ ล้านคน บังกาลอ ๒ ล้านคน กัมเปอร์ ๑.๕ ล้านคน พุเน ๑.๕ ล้านคน โดยประมาณเมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๕
                เมืองพารารสี เป็นเมืองเก่าแก่ที่รุ่งเรืองมาตลอด ส่วนเมืองกัลกัตตา บอมเบย์ และมัทราช เจริญและขยายตัวมากในช่วงที่อังกฤษเข้ามาครอบครองอินเดีย และมีการพัฒนาแบบประเทศทางตะวันตก
                ความแออัดเนื่องมาจากการพัฒนาเพื่อการชุมชน ไม่ทันกับการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของประชากร เป็นผลให้เกิดสลัมในเมืองใหญ่ ๆ มากมาย ชาวเมืองเป็นจำนวนมาก ไม่มีบ้านอยู่อาศัย ต้องอาศัยอยู่ตามริมถนน ทางเดิน อาศัยวัสดุที่พอหาได้มาทำเป็นที่กำบังให้พออยู่ได้
                ในเมืองเหล่านี้จะเห็นความเหลื่อมล้ำอย่างถึงที่สุดระหว่างคนรวยกับคนจน สลัมจะอยู่ริมร่มเงาของบ้าน ที่เป็นคฤหาสน์ใหญ่โตเหมือนวัง พวกขอทานตามถนน ห้อมล้อมรถยนต์คันใหญ่ราคาแพง เป็นสิ่งที่พบเห็นเป็นปกติของชุมชนใหญ่ ๆ ที่แออัดในอินเดีย
                ทัศนคติของคนอินเดียต่อชาวต่างประเทศ  อาจจำแนกออกได้เป็นสามประเภทคือ
                    ทัศนคติต่อชาวเอเซียด้วยกัน  ชาวอินเดียมีความยึดมั่นในความเป็นอินเดียสูงมาก คนอินเดียจะมองคนญี่ปุ่น และจีน เป็นเพื่อนผู้มีฐานะเท่าเทียมกันกับตน ส่วนคนชาติอื่น ๆ ในอาเซียด้วยกัน คนอินเดียจะมองว่าด้อยกว่าตน โดยเฉพาะคนไทย ชาวอินเดียจะมองว่าคนไทยเป็นลูกไล่ เป็นฝ่ายที่อินเดียถ่ายทอดวัฒนธรรมต่าง ๆ ให้ แม้พระพุทธเจ้าก็เป็นคนอินเดีย และเกิดหลังเทพของพราหมณ์ และฮินดู
                    การให้เกียรติคนอื่นและความเป็นสุภาพบุรุษ มีความเกรงอกเกรงใจผู้อื่นของชาวอินเดีย จึงมีน้อยมากในสายตาคนไทย จึงมองคนอินเดียว่าเป็นแขก และแขกคือ พวกที่มีนิสัยเห็นแก่ตัว เอาแต่ได้
                    พฤติกรรมดังกล่าว ของชาวอินเดียยังความเกลียดชังแก่ชาวเอเซียมาก และชาวเอเซียก็มองคนอินเดียในแง่ของความยากจน ทิฐิ ซึ่งก่อให้เกิดความช้ำใจแก่คนอินเดียมาก
                    ทัศนคติต่อชนผิวขาว  มีลักษณะแตกต่างไปจากทัศนคติต่อชาวเอเซียด้วยกัน อันเป็นผลสืบเนื่องจากพฤติกรรม ของชาวอังกฤษในระหว่างที่เข้ามายึดครองอินเดีย ชาวอังกฤษมีพฤติกรรมต่อชาวอินเดียเยี่ยงนายกับบ่าว พฤติกรรมดังกล่าวยังฝังใจชาวอินเดียสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน ทำให้เกิดทัศนคติที่ไม่ดีต่อชนต่างชาติผิวขาว
                    อย่างไรก็ดี ชาวอินเดียไม่ได้แสดงอาการเกลียดชังชนผิวขาวอย่างออกนอกหน้า โดยเฉพาะต่อชาวอังกฤษรวมทั้งประเทศในเครือจักรภพด้วย อินเดียถือว่าอังกฤษได้ช่วยสร้างสมพัฒนาบ้านเมืองให้มากมาย
                    ทัศนคติต่อชนในประเทศเพื่อนบ้าน  ด้วยเหตุที่อินเดียเป็นประเทศเก่าแก่ที่มีอาณาเขตติดต่อกับหลายประเทศ มีความขัดแย้งกัน และรบราฆ่าฟันกันมามาก ความรู้สึกของชาวอินเดียต่อประเทศเพื่อนบ้าน จึงเป็นความรู้สึกที่หนักใจ ขมขื่น ที่มีเสมือนหอกข้างแคร่ หรือหนามยอกอก เช่น กรณีปัญหาแคว้นปัฐจาบ ที่มีว่ามีประเทศเพื่อนบ้านทางด้านนั้นอยู่เบื้องหลัง ปัญหากับประเทศศรีลังกา บังคลาเทศ เนปาล ในกรณีที่ชาวบังคลาเทศและเนปาล อพยพเข้าไปทำมาหากิน ค้าขาย ตลอดจนมีตำแหน่งทางราชการ และมีอิทธิพลทางสังคมวัฒนธรรมเหนือชาวพื้นเมือง ก่อให้เกิดความไม่พอใจจากชาวพื้นเมือง เกิดการจราจลยกพวกขับไล่ชาวต่างชาติ ที่อพยพถึงขั้นฆ่าฟันกันอย่างนองเลือด โดยเฉพาะในมณฑลอัสสัม ก่อให้เกิดปัญหาอย่างมากแก่รัฐบาลกลาง
                    การหยิ่งในความเป็นอินเดีย อันเนื่องมาจากอารยธรรมของอินเดียเอง เป็นฐานหลักนำไปสู่ความมีชาตินิยมสูง ชาวอินเดียมีค่านิยม และทัศนคติ ที่น่าสนใจหลายประการด้วยกันคือ การห้าม และไม่ให้นิยมเห่อเหิมกับวัฒนธรรม และแม้แต่เทคโนโลยีใหม่ ๆ จากชาติที่เจริญพัฒนามาแล้ว การแต่งกาย ความเป็นอยู่ง่าย ๆ และการไว้ตัวของสตรีอินเดีย ก็เป็นส่วนหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงทัศนคติ ที่คนอินเดียมีต่อชนชาติของเขาเอง และต่อชาติอื่น ๆ

    พัฒนาการทางวัฒนธรรม
                อินเดียเป็นดินแดนเก่าแก่ และเป็นแหล่งอารยธรรมสำคัญของโลก เป็นต้นตอของวัฒนธรรมตะวันออก เป็นแหล่งศาสนาของโลก เป็นแหล่งกำเนิดวรรรณคดีที่สำคัญ อารยธรรมเหล่านี้มีความสำคัญ และมีอิทธิพลต่อดินแดนใกล้เคียงเป็นอย่างยิ่ง
                อารยธรรมแถบลุ่มน้ำสินธุ ได้ปรากฎมากว่า ๕,๐๐๐ ปีแล้ว สันนิษฐานว่า น่าจะมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด กับวัฒนธรรมกับ ชน "สุมาเรีย" มาก่อน ก่อนสมัยที่ชนชาวอารยันจะเริ่มอพยพเข้ามาสู่อินเดีย จากเอเซียกลาง ชนชาวอารยันได้นำเอาศาสนา ปรัชญา และขนบธรรมเนียมประเพณีของตนเข้ามาด้วย และเมื่อเข้ามาอยู่แล้ว ก็ได้รับเอาอารยธรรมซึ่งมีอยู่ก่อนแล้ว ในอินเดียเข้าไว้ด้วย
                ในสมัยต้นพุทธกาล การประกาศพระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้า และศาสนาเชน ของพระมหาวีระ ทำให้เกิดมีการปฎิรูปทางสังคม ตามหลักธรรมคำสอนของทั้งสองศาสนา
                เมื่อปี พ.ศ.๒๑๗  พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ได้ยกทัพมารุกรานอินเดีย ได้สร้างรอยจารึกในด้านความเชื่อถือเกี่ยวกับอำนาจลึกลับ มหัศจรรย์ และในด้านศิลปของอินเดียไว้อย่างลึกซึ้ง
                พระเจ้าอโศกมหาราช ทรงละจากการทำสงคราม หันมานับถือพระพุทธศาสนา ประกาศตนเป็นพุทธมามกะ ยึดถือมนุษยธรรมเป็นหลัก ก่อให้เกิดศิลปก่อสร้างทางสถาปัตยกรรม เจริญเฟื่องฟูอย่างมาก และได้ส่งผู้แทนคณะต่าง ๆ ออกไปเผยแพร่พระพุทธศาสนาในนานาประเทศ อิทธิพลของอินเดีย ก็ได้แผ่ขยายกว้างขวางออกไปถึงเอเซียตะวันออก พร้อมกันไปด้วย
                ในอีกหนึ่งพันปีต่อมา งานศิลปะประดิษฐอันยิ่งยงก็ได้ปรากฎขึ้นอย่างมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ ศิลปแกะสลัก และก่อสร้างทางศาสนา ดังที่ปรากฎอยู่ทั่วไปในอินเดีย จนถึงปัจจุบันนี้
                ชนชาวมุสลิม ทั้งที่เป็นพ่อค้าวานิช และที่เป็นผู้รุกรานได้เริ่มเข้ามาในอินเดียตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๓ ส่วนชาวโมกุลที่เข้ามายึดครองอินเดียไว้ จนถึงพุทธศตวรรษที่ ๒๔ นั้นได้พากันเข้ามาเมื่อต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๑ ผู้ที่เข้ามาครอบครองอินเดียใหม่นี้ ได้นำเอาแบบแผนประเพณี ศิลปการช่างต่าง ๆ รวมทั้งความรู้ ความสามารถอื่น ๆ ของตนโดยเฉพาะเข้ามาด้วย
                ชาวโมกุล ได้พยายามรวมอินเดียเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยอาศัยการก่อตั้งระบบการปกครองอันก้าวหน้า ขึ้นไว้ในภูมิภาคต่าง ๆ ระบบการปกครองดังกล่าวได้ถือปฎิบัติต่อมา จนประมาณพุทธศตวรรษที่ ๒๔
                เมื่ออำนาจการปกครองของชนชาวมุสลิมเสื่อมโทรมลง อังกฤษซึ่งเข้ามาในฐานะพ่อค้าก็ได้เข้าครอบครองอินเดียสืบต่อมา เป็นผลให้อินเดียสามารถรวมตัวกันเข้าอยู่ภายใต้อิทธิพล ตามแนวนึกคิดของตะวันตก
                สรุปแล้ว จะเห็นว่าในอินเดียนั้น ได้มีการผสมผสานทางเชื้อชาติ และวัฒนธรรมของชนต่างเผ่าพันธุ์ วรรณะ อย่างกว้างขวาง ในขณะที่ชนชาวอินเดียต่างก็ดำเนินชีวิต ความเป็นอยู่ตามแนวประเพณีที่ตนถือปฎิบัติกันอยู่แล้ว หลายศตวรรษโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง
                ปรัชญาและค่านิยม  วัฒนธรรมของอินเดีย ไม่สามารถแยกปรัชญา และศาสนาออกจากกันได้
                    ค่านิยมของอินเดีย  เป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ ยิ่งกว่าจีน และญี่ปุ่น ตามประวัติศาสตร์ยุคแรกของอินเดีย เป้าหมายที่สำคัญคือจิตใจของมนุษย์ และการเข้าถึงสันติทางวิญญาณเป็นเป้าหมายของมนุษย์
                    หลักคำสอนสำคัญของอินเดียเน้นถึงความจริงที่ไม่เปลี่ยนแปลง อยู่เหนือกาลเทศะ เหนือเหตุผลทุกอย่าง เป็นสิ่งที่สิ้นสุดแสดงออกเป็นถ้อยคำไม่ได้ มีลักษณะเป็นหนึ่ง สิ่งนั้นคือพรหมหรือพรหมัน พรหมเท่านั้นเป็นสิ่งที่แท้จริง ความแท้จริงที่สมบูรณ์เป็นนามธรรม ทุกอย่างจะกลมกลืนกันเมื่อเข้าถึงโมกษะคือพ้นจากพันธนาการโลก พ้นจากสังสารวัฏที่อวิชชาได้สร้างขึ้น
                ศิลปะของอินเดีย  ศิลปะอินเดียก็เหมือนกับลักษณะอื่น ๆ คือมุ่งสร้างความกลมกลืนระหว่างอดีตกับปัจจุบัน
                ในถ้ำคูหาโบราณสถานที่มิสซาฟุรและในที่อื่น ๆ จะพบภาพจิตรกรรมเก่าแก่ เขียนเป็นรูปสัตว์ต่าง ๆ  การเขียนภาพระบายสี มีหลักฐานแสดงว่า ได้ถือกำเนิดในยุคหินระยะหลังของอินเดีย  ในระหว่างสมัยพุทธกาล การเขียนภาพลวดลายได้ก้าวหน้าไปถึงขั้นสมบูรณ์สูงสุด อย่างชนิดที่จะหาสิ่งที่เจริญอื่นใดมาเปรียบเทียบได้
                คูหาวิหารที่สร้างขึ้นด้วยการสกัดถ้ำคูหาของโขดเขาที่อะชันตา มีความสูงส่งในแนวความคิดและความเด่นในฝีมืออย่างน่าอัศจรรย์  อาจกล่าวได้ว่า ไม่มีผลงานทางสถาปัตยกรรม ประติมากรรมและจิตรกรรมที่ใดที่จัดว่าสมบูรณ์ยอดเยี่ยมเช่นที่อะชันตา เอลลอรา และบาดามิ
                    ดนตรีและการฟ้อนรำ  ต้นกำเนิดของศาสนาของอินเดียมีมาแต่การบูชาบวงสรวง ชาวอินเดียเล่นดนตรีด้วยเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสาย คล้ายกับว่าความผสมกลมกลืนของเสียงดนตรีคือสรวงสวรรค์ เสียงขับร้องของคน และเสียงจากการบรรเลงของเครื่องดนตรี จะสะท้อนถึงกันและกัน
                    ในด้านการฟ้อนรำ เป็นการฟ้อนอย่างมีแบบแผนซึ่งมีมาช้านานกว่าสามพันปี ภารตะได้เขียนตำรานาฏศาสตร์ขึ้นไว้ในพุทธศตวรรษที่สาม ผู้ฟ้อนรำบรรยายเรื่องราว โดยใช้การเคลื่อนไหวของมือและเท้า ประกอบกับการแสดงท่าทีอาการด้วยตา และใบหน้า
                    ปัจจุบัน การฟ้อนรำแบบแผนสำคัญ ๆ มีอยู่สี่แบบคือ ภารตนาฏยัม เป็นการฟ้อนตามกฎเกณฑ์แต่โบราณของภาคใต้ แสดงโดยนักฟ้อนรำประจำวัดวาอารามต่าง ๆ ในการประกอบพิธีบวงสรวง ตามแบบอย่างที่ได้ปฏิบัติติดต่อกันมารหลายศตวรรษ กถึกกาลิ เป็นแบบฟ้อนรำที่เกิดจากเดราลา แสดงให้ผู้ชมได้เห็นโลกของเทพเจ้า และภูติผีปีศาจ ผู้แสดงแต่งตนสีฉูดฉาด และแสดงบทบาทด้วยท่วงท่าเข้มแข็งคึกคัก มณีปุริ เป็นแบบฟ้อนรำของภาคเหนือ มีลีลาการแสดงที่ประกอบด้วย อาการเคลื่อนไหวอย่างนุ่มนวลละมุนละไม และกถึก เป็นแบบฟ้อนรำซึ่งวิวัฒนาการภายใต้การสนับสนุนส่งเสริมของราชวงศ์โมกุล การฟ้อนรำแบบนี้อาศัยจังหวะเป็นสำคัญ
                        ศิลปะฟ้อนรำพื้นเมือง  ประกอบด้วยลีลาร่ายรำหลายรูปแบบ ที่นิยมแพร่หลายที่สุดก็คือการฟ้อนรำแบบมณีปุระ ซึ่งผู้แสดงแต่งกายด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์สีสวยสดงดงาม
                เครื่องแต่งกาย  เครื่องแต่งกายชั้นหนึ่งของสตรีที่ดึงดูดความสนใจของชาวต่างชาติคือ ส่าหรี  ผ้าที่ใช้ทำส่าหรีจะมีความยาวระหว่างห้าถึงเก้าหลา เป็นได้ทั้งผ้าฝ้ายและผ้าไหมปักเป็นดอกดวงลวดลายต่าง ๆ กัน ส่งประกายวาววับ  เครื่องแต่งกายของบุรุษ ที่จัดไว้คู่กันเรียกว่า โคติ มีทั้งชนิดที่มีขอบ และไม่มีขอบ เป็นเครื่องแต่งกายของบุรุษที่เกิดขึ้น เมื่ออิทธิพลของเปอร์เซีย และโมกุล แผ่ขยายเข้ามาสู่อินเดีย
                สตรีในชนบทนิยมแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีฉูดฉาดบาดตา ผ้าโพกศีรษะเป็นเครื่องแต่งกายส่วนหนึ่งของบุรุษในรัฐราชสถาน และในหมู่ชาวซิกข์ ผ้าโพกศีรษะเป็นสิ่งที่ได้รับความพิถีพิถันเป็นพิเศษ  ส่วนชาวพื้นเมืองก็มีเครื่องแต่งกายมากมาย
                วรรณคดี   อินเดียมีวรรณคดีเก่าแก่ ลึกซึ้ง และมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง แม้ในต่างประเทศ เช่น เรื่องมหาภารตยุทธ และรามายณะ ซึ่งเป็นต้นฉบับของเรื่องรามเกียรติของไทย นอกจากนี้ยังมีเรื่องนิทานต่าง ๆ เช่น หิโตประเทศ นิทานเวตาล เป็นต้น
                รัฐบาลอินเดียได้จัดตั้งสถาบัน รวบรวมและศึกษาเกี่ยวกับวรรณคดีอินเดีย และได้แปลออกเป็นภาษาต่าง ๆ ที่ใช้อยู่ในอินเดียปัจจุบัน และเผยแพร่ให้แก่ชาวอินเดีย รวมทั้งประเทศอื่นได้ทราบอีกด้วย
                อินเดีย นั้น อาจกล่าวได้ว่าเป็นชาติเดียวในโลก ที่แนวทางชีวิตแบบดั้งเดิมพื้นเมือง และแบบก้าวหน้าตามสมัยนิยม ยังคงเดินควบคู่กันไป อย่างผสมกลมเกลียวกันตลอดมา แม้จะมีสภาพที่ยังมีการต่างพวกต่างวรรณะ ต่างศาสนา ต่างค่านิยม ที่มีอยู่อย่างมากหลาย แต่ชาวอินเดียก็รักชาติรักอินเดีย มีความภาคภูมิใจในอินเดียอย่างหาชาติใดเปรียบได้ยาก เพราะอินเดียมีอารยธรรม วัฒนธรรมเป็นตัวผูก เป็นฐานหลักให้อินเดียมีเอกลักษณ์ มีความพิเศษอยู่ในตัวของอินเดียเอง
                วัฒนธรรมของอินเดียได้แพร่เข้ามาสู่ไทย ทางศาสนประเพณีบางอย่าง ไทยได้นำเอามาใช้ตั้งแต่สมัยสุโขทัย ประเพณีส่วนมากที่ใช้กันอยู่ยึดถือแบบพราหมณ์ เช่น พิธีโกนจุก บวชนาค แรกนาขวัญ ทางสถาปัตยกรรม ก็มีเกี่ยวกับการปั้นพระพุทธรูป เป็นต้น
                การจัดลำดับชั้นของสังคม  ศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู เป็นศาสนาที่ชาวอินเดียส่วนใหญ่ ประมาณร้อยละ ๘๒ นับถือ ศาสนานี้มีความเชื่อเรื่องวรรณะ หรือชนชั้นในสังคม เป็นระบบที่เข้มงวดมานานนับพันปีแล้ว แต่ละวรรณะมีกฎเกณฑ์กำหนดระเบียบความประพฤติ และประเพณีในหมู่ของตน มีข้อกำหนดเรื่องการแต่งงาน อาหารการกิน การปฎิบัติทางศาสนา ผู้ที่ฝ่าฝืนกฎเกณฑ์วรรณะของตน อาจได้รับโทษหนักเบา แล้วแต่กรณี หรืออาจขับไล่ออกจากวรรณะก็ได้ ผิดกับระบบชั้นของสังคมของชาติอื่น ๆ
                คำว่า วรรณะ แปลว่า สี อักษร ชาติ กำเนิด ลักษณะ คุณสมบัติ รูป ประเภท
                ในคัมภีร์พระเวท สอนไว้ว่า มนุษยชาตินั้นหากจะแบ่งประเภทออกไปแล้ว ย่อมสามารถแบ่งได้เป็นสี่ประเภท หรือสี่วรรณะด้วยกันคือ พราหมณ์ กษัตริย์ แพศย์ และศูทร
                    วรรณะพราหมณ์  ได้แก่ ผู้ยังความแพร่หลายให้เกิดแก่วิทยาการด้านต่าง ๆ กล่าวคือ หากมีความชำนาญในวิชาหนึ่งวิชาใด แล้วนำเอาวิชานั้นไปสอน หรือเผยแพร่ให้แก่ผู้อื่น ๆ ถือว่าเป็นครู อาจารย์ ในวิชาหนึ่ง ๆ เช่น วิชาจิตศาสตร์ นิติศาสตร์ ดาราศาสตร์ วิทยาศาสตร์  อักษรศาสตร์ แพทยศาสตร์ บุคคลที่ทำหน้าที่นี้ถือว่าเป็นวรรณะพราหมณ์
                    คำว่า พราหมณ์ หมายถึง ผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับ พระพรหม พระเวท และอาตมัน ในคัมภีร์ธรรมศาสตร์บอกไว้ว่า ผู้เป็นพราหมณ์ ย่อมมีลักษณะ ๑๑ ประการ ตามธรรมชาติ หรือเรียกว่า ธรรมของพราหมณ์
                    ผู้ที่เป็นพราหมณ์อาจประกอบการกสิกรรม การค้าขายหรือธุรกิจอื่นได้ เพื่อการครองชีพที่สมควรในยามยากลำบาก หรือคราวภาวะคับขัน
                    วรรณะกษัตริย์  ได้แก่ ผู้ที่เป็นนักรบหรือผู้ป้องกัน เป็นวรรณะที่สองรองมาจากวรรณะพราหมณ์ มีสิทธิปกครองประเทศชาติ นั่นก็คือผู้ที่ทำหน้าที่เป็นกษัตริย์  ซึ่งวรรณะก็ต้องมีธรรมะของกษัตริย์ ๑๑ ประการ ทำนองเดียวกับวรรณะพราหมณ์ แต่ไม่เหมือนกัน
                    ผู้ที่อยู่ในวรรณะกษัตริย์มีหน้าที่รักษา คุ้มครองป้องกันรักษาดินแดน รู้จักใช้อาวุธต่าง ๆ  รู้จักใช้ยุทธวิธีตามสมัยตลอดจนรู้หลักวิชากฎหมายด้วย  แต่หากจำเป็นในยามวิบัติ พระธรรมศาสตร์ก็อนุญาตให้ประกอบอาชีพอื่นได้ เช่น เป็นครูอาจารย์การทำกสิกรรมและการค้าขาย เพื่อการครองชีพได้
                    วรรณะแพศย์  ได้แก่ ผู้ที่ทำหน้าที่ประกอบการกสิกรรมและพาณิชยการต่าง ๆ แต่ในยามวิบัติกาล พระธรรมศาสตร์
    ก็อนุญาตให้อาจประกอบอาชีพอื่นได้ทุกอย่างตามกาลเทศะ แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องเป็นอาชีพที่สุจริตเท่านั้น
                    วรรณะศูทร  เป็นวรรณะที่สี่ ถือว่าวรรณะนี้มีกำเนิดมาจากบาทของพระพรหม ฉะนั้นจึงทำหน้าที่เป็นผู้รับใช้ในกิจการต่าง ๆ โดยทั่วไป  วรรณะศูทรมีลักษณะเจ็ดประการ เพื่อทำหน้าที่เป็นผู้รับใช้วรรณะที่สูงกว่าทั้งสามวรรณะคือพราหมณ์ กษัตริย์ และแพศย์
                    ในอินเดียมีความพยายามที่จะเลิกระบบชนชั้นมาโดยตลอด ผู้ที่ดำเนินการท่านแรกคือพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ทรงนำแบบก้าวหน้า ในสังคมชาวพุทธจะไม่มีชนชั้น มีแต่ความเสมอภาคกัน  แต่สังคมอินเดียเห็นว่าเป็นอุดมคติเกินไป ชาวอินเดียส่วนใหญ่จึงรับไม่ได้ และศาสนาพุทธก็ถูกศาสนาฮินดู พยายามกลมกลืนในเวลาต่อมา
                    ผู้นำการเคลื่อนไหวต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงระบบชนชั้นในอินเดียในยุคปัจจุบันคือ ดร.อัมเบ็คการ์ เป็นผู้ที่ชาวพุทธอินเดีย ยกย่องถึงกับให้เป็นสรณะที่สี่ต่อจากพระรัตนตรัย  ในปี พ.ศ.๒๔๙๙ ดร.อัมเบ็คการ์ ในฐานะรัฐมนตรียุติธรรมของอินเดีย ได้นำชาวอินเดียในชนชั้นต่ำสุดคือ พวกจัณฑาล (Untouchable) ทั่วประเทศชุมนุมประกาศตนเป็นชาวพุทธตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา เป็นเหตุให้จำนวนชาวพุทธเพิ่มขึ้นในอินเดีย
    ศาสนา
                อินเดียเป็นแหล่งกำเนิดของศาสนาสำคัญสามศาสนาคือศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู  ศาสนาพุทธ และศาสนาเชน  นอกจากนี้ยังมีศาสนาอื่น ๆ ที่ได้แพร่หลายเข้ามาในอินเดีย และได้ลงหลักปักฐานเจริญเติบโตขึ้นภายใต้บรรยากาศของความอดกลั้น ผ่อนปรนศาสนาสำคัญ ๆ ในลักษณะดังกล่าวได้แก่ ศาสนาอิสลาม และศาสนาคริสต์
                ประชากรส่วนใหญ่ของอินเดียนับถือศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู ที่มีกำเนิดมาจากการกราบไหว้บูชาผีสางเทวดาในรูปพิธีกรรมตามแบบอย่างง่าย ๆ ปรัชญาฮินดูมุ่งสอนมนุษย์ให้ยอมรับนับถือความเป็นอันหนึ่งอันเดียวของเทพวิญญาณ พระเวทเป็นคัมภีร์เก่าแก่ดั้งเดิมที่สุดในโลก
                ศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู เป็นต้นกำเนิดของศาสนาอื่น ๆ อีกสามศาสนาคือศาสนาพุทธ ศาสนาเชนและศาสนาซิกข์
                ศาสนาพุทธและศาสนาเชนเกิดร่วมสมัยเดียวกัน ส่วนศาสนาซิกข์เกิดในพุทธศตวรรษที่ ๒๑  ศาสนาอิสลามเข้ามาสู่อินเดีย พร้อมกับการรุกรานเข้ามาทางด้านทิศเหนือ และทิศตะวันตกของอินเดีย ได้นำวัฒนธรรมเปอร์เซีย และซาราเซนเข้ามา และได้มีส่วนปรุงแต่งภูมิปัญญา และรสนิยมที่มีอยู่ก่อนแล้ว จนเป็นผลให้เกิดประดิษฐกรรมทางด้านสถาปัตยกรรม จิตรกรรมและดนตรีที่สำคัญมากมายสืบต่อมา
                    การนับถือศาสนาของชาวอินเดีย  มีจำนวนประชากรที่นับถือศาสนาต่าง ๆ เรียงลำดับจากมากไปหาน้อยคือ ศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู ประมาณร้อยละ ๘๓ ศาสนาอิสลามประมาณร้อยละ ๑๑ ศาสนาคริสต์ประมาณร้อยละ ๓ ศาสนาซิกข์ประมาณร้อยละ ๒ ศาสนาพุทธประมาณร้อยละ ๑ และศาสนาเชนประมาณร้อยละ ๐.๕
                    อิทธิพลของศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู  การดำรงชีวิตของชาวอินเดียโบราณมีความสัมพันธ์กับศาสนามาก คัมภีร์พระเวท ซึ่งมีอายุประมาณ ๑,๕๐๐ - ๕๐๐ ปี ก่อนพุทธกาล เป็นตำราประวัติศาสตร์และวรรณคดีเล่มแรกของอินเดีย ประกอบด้วยคัมภีร์ฤคเวท ยชุรเวท และสามเวท รวมเรียกว่า ไตรเพท  ต่อมามีพวกอารยันเดิมทั้งสองพวกมีความสามารถ และความเจริญเท่าเทียมกัน จึงหาวิธีต่าง ๆ มาต่อสู้กัน จึงหันไปหาทางศึกษาวิธีการใช้คาถาอาคมต่าง ๆ จึงเกิดคัมภีร์อาถรรพเวทขึ้นอีกคัมภีร์หนึ่ง
                    ลัทธิฮินดูมีวิวัฒนาการมาจากศาสนาพราหมณ์ โดยนำเอาความเชื่อหลาย ๆ อย่างมารวมกัน ไม่มีผู้ใดทราบว่าลัทธิฮินดูเกิดขึ้นเมื่อใด ลัทธินี้แพร่หลายอยู่ทางตอนใต้ของอินเดียหลังพุทธกาลเล็กน้อย โดยยึดหลักจากคัมภีร์อุปนิษัท ซึ่งเป็นวรรณคดีภาษาสันสกฤต เขียนขึ้นเมื่อประมาณ ๒๕๐ - ๕๐ ปี ก่อนพุทธกาล มีทั้งร้อยแก้วและร้อยกรอง สาระของเรื่องเป็นปรัชญาทั้งสิ้นถือว่าเป็นแก่นแท้ของศาสนาฮินดู
                    ลัทธิฮินดูถือว่าคัมภีร์พระเวทเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พราหมณ์เป็นผู้แทนจากพระเจ้า พระเจ้าสมัยฮินดูเปลี่ยนจากการถือว่าพระพรหมเป็นเทพสูงสุด มานับถือนารายณ์เป็นเทพสูงสุดเรียกว่า ปรพรหม พระองค์ประสงค์จะสร้างโลกจึงแบ่งเป็นสามภาคเรียกว่าตรีเทพหรือตรีมูรติ ถือพระพรหมให้เป็นผู้สร้างโลก พระวิษณุให้เป็นผู้บริหารโลก และพระศิวะให้เป็นผู้ทำลายโลก
                    ในสมัยที่ฮินดูรุ่งเรืองในอินเดีย การแบ่งชั้นวรรณะเข้มงวดมากขึ้น ห้ามแต่งงานข้ามวรรณะ และในการอื่น ๆ ก็เป็นเรื่องของแต่ละวรรณะจะพึงประพฤติปฎิบัติ จะก้าวก่ายกันไม่ได้
                    ลัทธิฮินดูมีหลายนิกาย บางนิกายก็นับถือพระวิษณุ บางนิกายก็นับถือพระอิศวร บางนิกายก็นับถือพระพรหมและเทพเจ้าอื่น ๆ อีกหลายองค์เช่นพระอุมา พระอินทร พระจันทร์ เป็นต้น
                    คำสอนที่หล่อเลี้ยงชาวฮินดูอันสำคัญคือคัมภีร์ภควัตคีตา แปลว่าเพลงของพระเจ้า เป็นระบบคำสอนแบบรวม คำสอนของพวกพราหมณ์ที่เคยแพร่หลายเป็นเวลานาน เน้นสาระสำคัญสี่ประการประกอบกันคือ
                        - ความเจริญสูงสุดเกี่ยวกับสัญญาณของโลกเรียกพรหม
                        - ความไม่แน่นอนของวัตถุโลก
                        - การเวียนว่ายตายเกิดของวิญญาณ
                        - ความพยายามที่จะหนีจากการเวียนว่ายตายเกิด
                    พุทธศาสนากับอิทธิพลของวัฒนธรรมอินเดีย  พุทธศาสนาเกิดขึ้นท่ามกลางวัฒนธรรมอินเดีย ซึ่งมีแบบฉบับขนบธรรมเนียมสืบต่อกันมาหลายพันปี โดยเฉพาะศาสนาพราหณ์ - ฮินดู มีอิทธิพลมาก พุทธศาสนาได้ทำการปรับเปลี่ยนแก้ไขให้ดีขึ้นกว่าแบบเก่าของอินเดียหลายประการ บางอย่างได้แนวปฎิบัติในรูปวัฒนธรรมใหม่ จึงมีสิ่งดีงามใหม่ ๆ ขึ้นหลายประการ เช่น
                        - พุทธศาสนาได้สอนหลักแห่งกรรม โดยยืนยันความดีความชั่วตามกรรมที่ตนทำ ไม่ใช่เอาการกำเนิดเป็นเครื่องตัดสิน ใช้หลักคุณธรรมเป็นสำคัญ ในเรื่องนี้ มหาตม คานธี และเยาวหราล เนห์รู ผู้นำคนสำคัญของอินเดียได้สดุดีเกียรติคุณ ของพระพุทธเจ้าเป็นพิเศษ
                        - พระพุทธศาสนาไม่เห็นด้วยกับระบบการซื้อขายทาสในอินเดีย มีบทบัญญัติห้ามพระภิกษุมีทาส ซึ่งเป็นแนวทางสังคมใหม่ที่ในระยะต่อมา ก็มีการเลิกระบบทาส พุทธศาสนาจึงมีส่วนส่งเสริมสิทธิมนุษยชน
                        - ชาวอินเดียโบราณเชื่อในเรื่องพรหมลิขิตอย่างแพร่หลาย เป็นเหตุให้ปล่อยชีวิตไปตามยถากรรม ผู้ที่ต้องการความเจริญ หรืออยากพ้นทุกข์ ก็คอยให้พรหมบันดาล เอาแต่สวดอ้อนวอน ขาดการขวนขวายแก้ไขปัญหา พระพุทธศาสนาสอนหลักแห่งกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ปรับปรุงชีวิตของคน ให้สอดคล้องกับหลักการทางวิทยาศาสตร์
                        - ชาวอินเดียโบราณแสวงหาบุญด้วยการฆ่าสัตว์บุชายัญ เพื่อบูชาเทพเจ้า ก่อความทุกข์โศกให้แก่มนุษย์และสัตว์ เป็นอย่างมาก พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เลิกวิธีการดังกล่าว ให้มาสร้างความดีด้วยการให้สงเคราะห์ซึ่งกันและกัน ไม่เบียดเบียนกัน ให้อภัยกัน ชำระจิตใจให้สะอาด เป็นวัฒนธรรมในแนวใหม่ ดีกว่าเดิมเป็นไปตามแนวสันติภาพ

    การเมืองและการปกครอง
                อินเดียเป็นรัฐเอกราชที่เกิดขึ้นใหม่ แต่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน อย่างน้อยก็สมัยอารยธรรมแห่งลุ่มแม่น้ำสินธุ ซึ่งได้ตั้งขึ้นเมื่อประมาณ ๒๕๐๐ ปีก่อนพุทธกาล
                เมื่อปี พ.ศ.๒๑๗  อเลกซานเดอร์มหาราชได้เข้ามายึดครองอินเดีย ทำให้อินเดียได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากกรีก ต่อมาเมื่อพุทธศตวรรษที่ ๙ พระเจ้าจันทร์คุปต์ที่ ๒ สามารถสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของอินเดียตอนเหนือ
                ในปี พ.ศ.๒๑๔๓ ชาวอังกฤษได้เริ่มเข้ามาค้าขายในอินเดีย พระราชินีเอลิซาเบธ แห่งอังกฤษ ได้มอบสิทธิบัตรให้กับบริษัทอินเดียตะวันออก โดยได้ตั้งศูนย์การค้าใหญ่ที่เมืองบอมเบย์ กัลกัตตา และมัทราส
                ในปี พ.ศ.๒๔๐๑ รัฐบาลอังกฤษได้ยุบบริษัทอินเดียตะวันออก และเข้าปกครองอินเดียโดยตรง
                ในปี พ.ศ.๒๔๖๓  โบฮันธาส การามจันท์ คานธี ผู้นำอินเดียได้ใช้วิธีอหิงสา และสามารถทำให้อินเดียได้รับเอกราชเป็นขั้น ๆ ในเวลาต่อมา
                ในปี พ.ศ.๒๔๙๐  นายกรัฐมนตรีแอตลี ของอังกฤษได้ประกาศเจตนาของรัฐบาลอังกฤษ ที่จะมอบอำนาจปกครองให้อินเดีย เนื่องจากมีความแตกแยกกัน ระหว่างฝ่ายมุสลิมกับฮินดู เกิดเป็นการจลาจลที่รุนแรง และแผ่ขยายทั่วประเทศ จึงต้องแบ่งแยกอินเดียออกเป็นสองประเทศคือ อินเดียกับปากีสถาน อินเดียประกาศเอกราชในปีเดียวกันนั้น
                หลังจากได้รับเอกราช สภาร่างรัฐธรรมนูญได้ร่างรัฐธรรมนูญกำหนดแนวทางในการปกครองประเทศไว้ครบทุกด้าน ทั้งระดับชาติ และระดับรัฐ ทำให้รัฐธรรมนูญอินเดียมีความยาวที่สุดในโลก มีบทบัญญัติถึง ๓๙๕ มาตรา ประกาศใช้เมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๓ ประกาศตนเป็นสาธารณรัฐ มีประธานาธิบดีเป็นประมุข แต่ยังคงยอมรับประมุขของอังกฤษว่า เป็นประมุขของเครือจักรภพอังกฤษ ซึ่งอินเดียรวมเป็นสมาชิกอยู่ด้วย
                โครงสร้างทางการเมือง  อินเดียได้นำเอาวิธีการจัดแบ่งอำนาจหน้าที่ทางการเมือง และการปกครองของสถาบันต่าง ๆ มาจากระบบของอังกฤษคือ
                    ประธานาธิบดี  มีฐานะเป็นประมุขของประเทศที่ปกครองในระบบรัฐสภาคือ มีฐานะอยู่เหนือการเมือง และใช้อำนาจหน้าที่ตามพิธีการเท่านั้น ตามปกติประธานาธิบดีจะใช้อำนาจของตนผ่านคณะรัฐมนตรี โดยนายกรัฐมนตรีจะทำหน้าที่เป็นผู้แนะนำให้ประธานาธิบดี ใชัอำนาจในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
                    ประธานาธิบดีอินเดียได้รับเลือกตั้งโดยทางอ้อมจากประชาชน ผู้มีสิทธิเลือกตั้งประธานาธิบดีคือ สมาชิกสภาทั้งสองสภาของรัฐบาลกลาง และสมาชิกสภานิติบัญญัติของรัฐต่าง ๆ ๒๑ มลรัฐ
                    อำนาจหน้าที่ของประธานาธิบดีอินเดีย แบ่งออกเป็นสามประเภทคือ
                        อำนาจบริหาร  มีอำนาจหน้าที่ต่าง ๆ ในฐานะประมุขของชาติ และเป็นตัวแทนของประชาชนอินเดียทั้งมวล ซึ่งรวมถึงด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
                        อำนาจนิติบัญญัติ  มีอำนาจในการลงนามประกาศใช้ หรือยับยั้งกฎหมายต่าง ๆ  ออกกฤษฎีกาต่าง ๆ นอกสมัยประชุมรัฐสภา เป็นต้น
                        อำนาจฉุกเฉิน  มีอำนาจประกาศภาวะฉุกเฉิน ในกรณีที่ความมั่นคงของชาติถูกคุกคาม กลไกการปกครองตามรัฐธรรมนูญ ในส่วนมลรัฐถูกทำลาย และเมื่อเกิดวิกฤตทางการคลังในประเทศ หรือส่วนหนึ่งส่วนใดของประเทศ
                    คณะรัฐมนตรี  เป็นเพียงที่ปรึกษาแนะนำ และช่วยเหลือประธานาธิบดีในการปฎิบัติหน้าที่ โดยประธานาธิบดีเป็นผู้แต่งตั้งนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ตามคำเสนอของนายกรัฐมนตรี ประธานาธิบดีจะต้องแต่งตั้งหน้าที่พรรคที่มีเสียงข้างมาก ในสภาผู้แทนราษฎรให้เป็นนายก ผู้ที่จะได้รับแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรี อาจไม่ได้เป็นสมาชิกรัฐสภาก็ได้ แต่มีเงื่อนไขว่า ถ้าผู้ใดจะเป็นรัฐมนตรีเกินกว่า ๖ เดือนได้ จะต้องจัดการให้ผู้นั้น เป็นสมาชิกสภาใดสภาหนึ่ง ภายใน ๖ เดือน
                    คณะรัฐมนตรีจะต้องลาออกจากตำแหน่ง เมื่อไม่ได้รับความไว้วางใจจากสภาผู้แทน  แต่คณะรัฐมนตรีอาจขอให้ประมุขยุบสภาได้ ซึ่งจะมีผลให้มีการเลือกตั้งใหม่
                        สภารัฐมนตรี  (Council of Ministers)  มีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้า รับผิดชอบต่อสภาผู้แทนราษฎร นายกรัฐมนตรีเป็นสื่อติดต่อระหว่างประธานาธิบดี และสภารัฐมนตรีในกิจการทุกอย่าง สภารัฐมนตรีประกอบด้วยรัฐมนตรีสามประเภทคือ ประเภทที่ ๑ รัฐมนตรีที่เป็นสมาชิกในคณะรัฐมนตรี มีสิทธิเข้าร่วมประชุมในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เป็นผู้กำหนดและวางนโยบายของรัฐบาล  ประเภทที่ ๒ รัฐมนตรีที่มิได้เป็นสมาชิกในคณะรัฐมนตรี ประเภทที่ ๓ รองนายกรัฐมนตรี
                    รัฐสภา  ประกอบด้วยสภาสองสภาคือ
         &


    • Update : 15/5/2554
    © Copyright 2011 www.watnongmuang.com All rights reserved 999arch