|
|
พระพุทธสิหิงค์ ศิลปะสุโขทัย-ล้านนา
คอลัมน์ เดินสายไหว้พระพุทธ
|
เนื่องในวันดิถีขึ้นปีใหม่ 2554 สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร โดยพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ได้จัดกิจกรรม "ฤกษ์ดีปีใหม่ ไหว้พระพุทธรูปวังหน้า พระปฏิมาแห่งแผ่นดิน"
อัญเชิญพระพุทธรูปอันเป็นมงคลพิเศษแต่โบราณ ซึ่งเก็บรักษาอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร รวมพระพุทธรูปสำคัญ 9 พระองค์ เพื่อให้ประชาชนชาวไทยได้มีโอกาสกราบสักการบูชาอย่างใกล้ชิด เพื่อความเป็นสิริมงคลทั่วกัน ณ หอพระวังหน้า พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร กรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ 2-9 มกราคม 2554
พระพุทธรูปสำคัญ 9 พระองค์นั้น 'พระพุทธสิหิงค์' ถือเป็นพระพุทธรูปที่ชาวไทยรู้จักคุ้นชื่อเป็นอย่างดี
พระพุทธสิหิงค์ เป็นพระพุทธรูปศิลปะสุโขทัย-ล้านนา ประมาณปลายพุทธศตวรรษที่ 20-21 วัสดุหล่อด้วยสำริด กะไหล่ทอง ขนาดสูง 47 เซนติเมตร หน้าตักกว้าง 63 เซนติเมตร
สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท (วังหน้ารัชกาลที่ 1) ทรงนำมาจากเมืองเชียงใหม่เมื่อ พ.ศ.2338 เพื่อประดิษฐานที่หอพระวังหน้าที่ประทับของพระองค์ คือ พระที่นั่งสุทธาสวรรค์
ต่อมา ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ได้มีการปรับปรุงพระที่นั่งองค์นี้แล้วเปลี่ยนชื่อเป็นพระที่นั่ง พุทไธสวรรย์
พระพุทธสิหิงค์ สร้างขึ้นตามตำนานที่ยังปรากฏอยู่ในนิทานพระพุทธสิหิงค์ที่แต่งเป็นภาษาบาลีโดยพระโพธิรังสี พระภิกษุชาวเชียง ใหม่ในระหว่าง พ.ศ.1945-1985 ตำนานกล่าวไว้ว่า พระพุทธสิหิงค์เป็นพระพุทธรูปที่พระมหากษัตริย์ลังกา ได้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.700 ให้มีลักษณะใกล้เคียงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากที่สุด จนกระทั่งในสมัยสุโขทัย พระพุทธศาสนาจากลังกาได้เข้ามาเผยแผ่และเป็นที่นิยมนับถือ
พ่อขุนรามคำแหงกษัตริย์สุโขทัย ทรงทราบถึงลักษณะที่งดงามของพระพุทธสิหิงค์ จึงให้พระยานครศรีธรรมราช แต่งทูตอัญเชิญพระราชสาส์นทูลขอพระพุทธสิหิงค์มาจากพระเจ้ากรุงลังกา ซึ่งก็ได้ตามพระราชประสงค์ จึงอัญเชิญมาประดิษฐานไว้ที่สุโขทัย และได้กราบไหว้บูชากันสืบเนื่องมา
กระทั่งกรุงสุโขทัยได้เสื่อมอำนาจลง พระพุทธสิหิงค์ได้ถูกเคลื่อนย้ายไปตามหัวเมืองสำคัญต่างๆ หลายครั้ง จนเมื่อมีการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นแล้ว สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท วังหน้าในรัชกาลที่ 1 ได้ยกทัพไปเชียงใหม่ และได้นำพระพุทธสิหิงค์กลับมาประดิษฐานที่พระที่นั่งพุทไธสวรรย์
พระพุทธสิหิงค์ หล่อขึ้นด้วยสำริดกะไหล่ทอง ประทับนั่งขัดสมาธิราบพระหัตถ์ทั้งสองวางซ้อนกันบนหน้าตักแสดงปางสมาธิ ครองจีวรห่มเฉียงบางแนบพระวรกาย มีสังฆาฏิพาดอยู่บนพระอังสาซ้ายแบนยาวจรดพระนาภี ชายสังฆาฏิเป็นลายเขี้ยวตะขาบ พระอุระกว้าง บั้นพระองค์คอดกิ่ว ได้สัดส่วน งดงาม พระพักตร์กลม แย้มพระสรวลเล็กน้อย
พระเนตรหลุบลงต่ำเมื่อมองแล้วทำให้เกิดความสงบ ขมวดพระเกศาเป็นก้นหอย พระรัศมีมีลักษณะคล้ายเปลวเพลิง ประทับอยู่บนฐานบัวหงาย 3 ชั้น ที่รองรับด้วยฐานสิงห์ที่น่าจะทำเพิ่มเติมขึ้นในภายหลังอีกชั้นหนึ่ง
แม้ตำนานจะกล่าวถึงพระพุทธสิหิงค์ ว่ามีความเก่าแก่และเคารพนับถือสืบเนื่องมายาวนานตั้งแต่ พ.ศ.700 แต่รูปแบบศิลปะที่ปรากฏอยู่นั้นทำให้สันนิษฐานได้ว่า พระพุทธสิหิงค์ที่อยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนครนั้น น่าจะเป็นพระพุทธรูปที่ปั้น-หล่อขึ้น ในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 20-21 ในรูปแบบศิลปะสุโขทัย-ล้านนา ซึ่งมีความแตกต่างจากพุทธศิลปะลังกาอย่างชัดเจน
นอกจากนี้ ยังปรากฏพระพุทธสิหิงค์องค์อื่นๆ ที่น่าจะสร้างขึ้น ตามคติความเชื่อหรือตำนานเดียวกัน เช่น พระพุทธสิหิงค์ที่ประดิษฐานในวัดพระสิงห์ จ.เชียงใหม่ และพระพุทธสิหิงค์ ในหอพระพุทธสิหิงค์ จ.นครศรีธรรมราช เป็นต้น
จึงเชื่อได้ว่า พระพุทธสิหิงค์ เป็นพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นโดยอ้างอิงตำนานที่เกี่ยวข้องกับการประดิษฐานพระพุทธศาสนาแบบลังกาในประเทศไทย
การมีพระพุทธสิหิงค์ไว้เคารพบูชา ก็หมายถึงพระพุทธศาสนาได้เป็นที่เคารพบูชาในดินแดนแถบนั้น
ดังข้อความของพระโพธิรังสี กล่าวไว้ว่า "พระพุทธสิหิงค์เมื่อประทับอยู่ ณ ที่ใด ย่อมทรงทำให้พระพุทธศาสนารุ่งเรืองดั่งดวงประทีป ชัชวาล เหมือนหนึ่งว่าพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์ ชีพอยู่"
|
Update : 10/5/2554
|
|