เคยสงสัยไหมคะว่า..เราสื่อสารทางภาษากันได้อย่างไร? จะว่าไปแล้วนั้น ภาษาในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งภาษาพูดและภาษาท่าทาง ล้วนเป็นสิ่งที่แสดงออกถึงความรู้สึกนึกคิดแทบทั้งสิ้น ซึ่งเด็กเล็กสามารถแสดงออกได้เป็นอย่างดีเสียด้วย หมอรามาฯ ไขปัญหาสุขภาพ สัปดาห์นี้จะมาไขข้อข้องใจคุณพ่อคุณแม่ที่สงสัยถึงพัฒนาการทางภาษาของลูกน้อยในช่วงต้นของอายุว่า..จะมีความผิดปกติหรือไม่
จริง ๆ แล้ว พัฒนาการทางภาษาเริ่มขึ้นตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาและการสื่อสารจากมหาวิทยาลัย นอร์ท เวสเทิร์น ได้สรุปในงานวิจัยว่า ช่วงไตรมาสที่ 3 ของการตั้งครรภ์นั้น คุณแม่ส่วนใหญ่จะสังเกตเห็นว่า ทารกในครรภ์จะเตะหรือขยับเขยื้อนไปมาเมื่อได้ยินเสียงเพลงหรือเสียงดัง ซึ่งสอดคล้องกับหลักความคิดเกี่ยวกับพัฒนาการทางดนตรีที่เริ่มต้นตั้งแต่ในครรภ์ ในขณะที่นักวิจัยจากโคลัมเบีย เมดิคัล เซ็นเตอร์ในนิวยอร์ก ค้นพบว่า อัตราการเต้นของหัวใจทารกในครรภ์มีแนวโน้มช้าลงเมื่อได้ยินเสียงคุณแม่พูดคำง่าย ๆ เช่น ว่าไงจ๊ะ..ลูก นักวิทยาศาสตร์จากฝรั่งเศสได้ให้แนวคิดที่สอดคล้องกันว่า ทารกในครรภ์มีความสามารถถึงขนาดที่จะจำได้ว่า คำว่า “ลูกว่าไงจ๊ะ” กับ “ว่าไงจ๊ะลูก” เป็นประโยคที่คล้าย ๆ กัน อีกทั้ง หลังจากคลอดแล้วตั้งแต่ 96 ชั่วโมงแรก เด็กทารกสามารถแยกแยะเสียงของแม่จากเสียงอื่น ๆ ได้ในทันที ซึ่งถ้าคุณแม่พูดในขณะที่กำลังให้นมด้วยแล้ว เด็กทารกจะมีแนวโน้มที่จะดูดนมได้คล่องแคล่วกระฉับกระเฉงมากขึ้น
เด็กทารกสามารถเริ่มต้นวิเคราะห์และใช้คำในประโยครวมทั้งแยกแยะความหมายของคำในประโยคได้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เรื่องนี้นักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัย วิสคอนซิน-เมดิสัน ได้ทำการทดสอบเด็กเล็กอายุ 8 เดือน โดยให้ฟังคำ 3 พยางค์ที่ไม่มีความหมาย เป็นเวลา 30 นาที แล้วนำคำ 3 พยางค์นั้นไปใส่รวมกับคำอื่น ๆ โดยให้ฟังจากเครื่องสังเคราะห์เสียง แล้วลองสังเกตปฏิกิริยาของเด็ก พบว่าเด็กสามารถแยกแยะคำ 3 พยางค์นั้นได้แทบจะทันที โดยแสดงการตบมือ นั่นก็แสดงให้เห็นว่า เด็กเล็กสามารถประมวลผลคำที่ถูกใช้บ่อย ๆ ได้ในเบื้องต้น
ที่จริงแล้วเด็กส่วนใหญ่สามารถเล่นเสียงและเล่นคำ เช่น ออกเสียงคำว่า คู คา หรือแม้กระทั่งกรีดร้องได้ในช่วง 6 เดือนแรก หลังจากนั้นเด็กจะเริ่มใช้ลิ้นในการออกเสียงมากขึ้น เช่น เด็กจะเริ่มพูดคำว่า ปาป๊า มาม้า โดยที่ยังไม่แน่ใจในความหมาย ซึ่งนักจิตวิทยาเชื่อว่า การเล่นเสียงนี้เป็นการเชื่อมโยงที่ทำให้เกิดการพูดเป็นคำและเป็นประโยคต่อไป ในขณะเดียวกัน นักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยแคนซัสได้กล่าวว่า การที่เด็กเล็ก ๆ ออกเสียงพยางค์แบบไม่ได้ศัพท์ เช่น อ่ะ ค่ะ คื่อ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คิดได้ว่าเด็กกำลังพูดอยู่ จริง ๆ แล้วเป็นความคิดไปเองของคุณพ่อคุณแม่ เพราะแท้จริงแล้วเด็กกำลังต้องการเล่นกับรูปแบบของคำ โทนเสียง และการออกเสียงสูงต่ำเท่านั้น
ส่วนนักวิทยาศาสตร์ด้านสติปัญญาจากมหาวิทยาลัยเอ็มไอที กล่าวว่า เด็กจะเริ่มเชื่อมโยงคำกับสิ่งต่าง ๆ แทนที่เด็กจะลองผิดลองถูกในการใช้คำได้ตั้งแต่ขวบปีแรก โดยจะใช้วิธีคาดเดาว่า สิ่งที่ตนเองพูดถึงนั้นคืออะไร เช่น เวลาพูดคำว่า “แมว” เด็กจะเหมารวมทันทีว่า แมวคือแมวทั้งตัว ไม่ใช่แค่หู หาง หรือ ขา รวมทั้งจะเรียกรวมสัตว์ที่มีลักษณะเหมือน ๆ กันว่า “แมว” ด้วย ไม่ว่าจะเป็นแมวสีขาว สีดำ หรือสีสวาด อีกทั้งแมวจะกลายเป็นคำทั่วไป ไม่ได้เฉพาะเจาะจงว่าเป็นแมวตัวไหน ถ้าคนรอบข้างกระตุ้นพัฒนาการด้านภาษาโดยการพูดคำศัพท์รอบตัวให้มากขึ้น ในท้ายที่สุดเด็กที่อายุ 18 เดือนขึ้นไปจะเก็บคำไว้ในคลังศัพท์ส่วนตัวได้ถึงวันละ 10-12 คำ และจะมีมากถึง 2,000 คำเมื่ออายุครบ 2 ขวบ เด็กที่อายุประมาณ 24-30 เดือนนั้น จะมีพัฒนาการทางภาษาที่ได้จากการลอกเลียนคำต่าง ๆ แล้วนำมาผสมกัน จะใช้วิธีการบวกประธานกับกริยาเข้าด้วยกัน เช่น ฉันกิน นอกจากนั้นยังสามารถแยกแยะความแตกต่างของรูปแบบประโยคที่มีความคล้ายคลึงกันได้อีกด้วย เช่น สามารถบอกได้ว่า หมากัดคน มีความแตกต่างกับ คนกัดหมา เป็นต้น
งานวิจัยล่าสุดโดยทีมนักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยนิวยอร์กได้กล่าวว่า แท้จริงแล้วสัญชาตญาณในการใช้ภาษาของมนุษย์นั้นมีมาตั้งแต่กำเนิด แม้แต่เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาระดับรุนแรงยังสามารถเรียนรู้ที่จะสื่อสารได้ ยกเว้นในกรณีที่เด็กเป็นโรคตั้งแต่กำเนิดหรือในช่วงต้นของชีวิต เช่น ออทิสซึม การบกพร่องทางการได้ยิน เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นโรคที่ขัดขวางพัฒนาการทางภาษาทั้งสิ้น นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มเด็กที่มีความบกพร่องทางภาษาอย่างชัดเจน อีกประมาณร้อยละ 3-7 ของเด็กทั้งหมด เด็กเหล่านี้จะมีการแสดงออกทางการได้ยินและสติปัญญาเป็นปกติและจะไม่มีความผิดปกติอื่น ๆ ร่วม แต่มักจะมีปัญหาด้านการพูดล่าช้า หรือเมื่อเริ่มพูดแล้วจะพูดเป็นคำตะกุกตะกัก และในท้ายที่สุดทำให้เกิดความบกพร่องทางการเรียนรู้ด้านการอ่าน งานวิจัยนี้ยังสรุปด้วยว่า จริง ๆ แล้ว ความบกพร่องทางการสื่อสารนั้นมาจากพันธุกรรมเสียเป็นส่วนใหญ่ เพียงแต่นักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถเจาะจงถึงยีนที่ทำให้เกิดโรคได้ในตอนนี้
สัญญาณเตือนที่บ่งบอกว่าเด็กอาจมีพัฒนาการทางภาษาบกพร่องนั้น แบ่งได้ตามช่วงอายุสมาคมภาษาและการพูดของสหรัฐได้สรุปไว้คร่าว ๆ ว่า ในช่วงอายุ 0-3 เดือน เด็กไม่ออกเสียง คู หรือ คา ส่วนอายุ 4-6 เดือน เด็กไม่หันตามเสียงแปลกหรือเสียงเรียก เช่น เสียงของเล่น อายุ 7-12 เดือน เด็กไม่พูดคำที่ยังไม่เป็นคำ เช่น ตาตา ปาปา มามา อายุ 1-2 ขวบ เด็กไม่สามารถใช้ประโยคที่ประกอบด้วย 2 คำได้ เช่น ไปไหน ใครมา อายุ 2-3 ขวบ เด็กไม่สามารถประกอบประโยคด้วยคำ 3 คำ อีกทั้งไม่เข้าใจความหมายของคำว่า หยุด ไม่ รวมทั้งไม่หันตามเสียงรอบตัว อายุ 3-4 ขวบ เด็กไม่สามารถตอบคำถามง่าย ๆ เช่น ใครทำอะไร อยู่ที่ไหน เมื่อไหร่ ได้ ส่วนคุณพ่อคุณแม่ที่เริ่มสังเกตว่าลูกน้อยอาจมีพัฒนาการทางภาษาล่าช้านั้น นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอพกินส์ ได้แนะนำไว้ว่าในช่วงต้นของอายุ คุณพ่อคุณแม่ควรจะใช้วิธีการช่วยให้เซลล์สมองของเด็กเกิดการเชื่อมโยงระหว่างเสียงต่าง ๆ ทำได้โดย คุณแม่ควรที่จะพูดคำนั้นช้า ๆ พูดซ้ำ ๆ เน้นคำ และพูดอย่างชัดเจน จะช่วยให้เด็กเข้าใจว่าควรจะออกเสียงในลักษณะเช่นไร ซึ่งวิธีการนี้นอกจากจะช่วยให้เซลล์สมองด้านพัฒนาการทางภาษาและการพูดเกิดการเชื่อมโยงแล้ว ยังส่งผลต่อพัฒนาการด้านการอ่านในอนาคตอีกด้วย ในขณะเดียวกันเด็กที่อายุตั้งแต่ 4 เดือนขึ้นไป จะสามารถสังเกตรูปปากที่จะสอดคล้องกับเสียงได้แล้ว คุณพ่อคุณแม่ควรที่จะพูดในลักษณะตัวต่อตัว พร้อมกับให้ฟีดแบ็กที่ดีกลับไปด้วย เช่น ถ้าเด็กพูดว่า กะ กะ กะ คุณพ่อคุณแม่อาจจะตอบว่า เก่งมากเลย เค้าเรียกว่าไก่ค่ะ
ยิ่งคุณพ่อคุณแม่พูดกับเด็กมากขึ้นเท่าไหร่ พัฒนาการทางภาษาของเด็กก็จะยิ่งดีขึ้นเท่านั้น และยิ่งคุณพ่อคุณแม่มีคำศัพท์ใหม่ ๆ ที่เหมาะสมกับช่วงอายุเสริมเข้าไปยิ่งมากเท่าไหร่ เด็กก็จะสามารถใช้คำได้ถูกต้องเหมาะสมมากขึ้นเท่านั้น แต่ต้องไม่ลืมว่า พูดกัน ในที่นี้หมายถึงพูดกันต่อหน้า ตัวต่อตัว ไม่รวมถึงการฟังจากโทรทัศน์หรือวิทยุ ซึ่งแทนที่จะเป็นการส่งเสริมพัฒนาการทางภาษา กลับกลายเป็นทำให้พัฒนาการถดถอยไปได้เช่นเดียวกัน.
อ.ดร.ปรียาสิริ มานะสันต์
ภาควิชาวิทยาศาสตร์สื่อความหมาย
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล