หน้าแรก สมาชิก รายการวัตถุมงคล ตะกร้าวัตถุมงคล วิธีชำระวัตถุมงคล วิธีบูชาวัตถุมงคล ประวัติวัด ติดต่อวัด เว็บบอร์ด
สมาชิก Log in
อีเมล์
รหัสผ่าน
สมัครสมาชิกใหม่
ลืมรหัสผ่าน
















ค้นหาวัตถุมงคล
 
 
 
หมวดวัตถุมงคล
  เครื่องราง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง หลวงพ่อสวัสดิ์
  พระเครื่อง หลวงปู่พิมพ์มาลัย
  พระเครื่อง หลวงพ่อสง่า
วัตถุมงคลของคุณ
รหัสวัตถุมงคล ราคา จำนวน
ยังไม่มีวัตถุมงคลอยู่ในตะกร้า
  • ชำระค่าวัตถุมงคล
  • แก้ไขรายการวัตถุมงคล
  • วิธีสั่งบูชาวัตถุมงคล
  •  

    ผู้ผ่านยมโลก


    Image

    ผู้ผ่านยมโลก
    โดย ท.เลียงพิบูลย์

    จากหนังสือกฎแห่งกรรม
    ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เล่ม ๑



    เมื่อคุณนายน้อมได้ส่งหนังสือมาให้ข้าพเจ้าอ่านเกี่ยวกับเรื่องวิญญาณ เรื่องตายแล้ววิญญาณออกจากร่างท่องไปตามสถานที่ต่างๆ ผู้มีประสบการณ์ได้บันทึกเขียนขึ้นแล้ว เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๗ เมื่อท่านยังเป็นภิกษุนวกะ ขณะที่ท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดราชประดิษฐ์ ท่านมีนามฉายาว่า “กนฺตสิริ ภิกฺขุ” (ธนศิริ ศิริสัมพันธ์) พอที่จะคลี่คลายคำถามในเรื่อง “ตายแล้วไปไหน” ของท่านผู้สนใจ

    ท่านได้บันทึกไว้ท้ายเรื่องว่า การที่อาตมาบันทึกเขียนเรื่องนี้ขึ้น ในขณะที่อาตมารักษาศีลภาวนาถือพรหมจรรย์ มีสัจจะหากว่าอาตมายังอยู่ในเพศฆราวาส ท่านพุทธมามกะแม้จะเชื่อก็คงมีน้อย เพราะเรื่องเกิดขึ้นกับอาตมานั้นเป็นเรื่องจริง เป็นสิ่งที่ลี้ลับมหัศจรรย์ยากที่ผู้ที่ไม่ได้ประสบกับตัวเองก็ยากจะเชื่อง่ายๆ

    ฉะนั้น อาตมาคิดแล้วจึงได้บันทึกเรื่องนี้ขึ้น ไม่อยากปล่อยให้ผ่านไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็น่าเสียดาย จึงได้บันทึกไว้เพื่อให้อนุชนรุ่นหลังที่สนใจ จะได้เป็นแนวศึกษาค้นคว้าในสิ่งลี้ลับซับซ้อน ขณะอาตมายังอยู่ในร่มโพธิของพระพุทธศาสนา ห่มห่อด้วยผ้ากาสาวพัสตร์ มีศีลสัจจะที่ปฏิบัติ ทำจิตสะอาดบริสุทธิ์ มีสติสัมปชัญญะปกติธรรมดา มีจิตใจแจ่มใสขอให้ท่านผู้ที่สนใจอ่านจงได้ใช้วิจารณญาณดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับอาตมาในยมโลกนั้น ควรจะหยิบยกมาพิจารณาสิ่งลี้ลับในโลกมนุษย์มีจริงหรือไม่

    ต่อไปนี้เป็นเรื่องของท่านกนฺตสิริภิกฺขุ ที่ข้าพเจ้าได้เรียบเรียงขึ้นใหม่ และย่อเรื่องให้เหมาะกับหน้ากระดาษจำกัดที่จะพิมพ์

    เมื่อครั้งอาตมามีอายุ ๑๙ ปีเศษ ได้ติดตามญาติผู้ใหญ่ไปอยู่หัวเมืองชายแดน เป็นจังหวัดที่แห้งเล้งกันดาร ตามสภาพของท้องถิ่นทางภาคอีสานในเวลานั้น วันหนึ่งอาตมาเกิดปวดฟันปวดที่กรามเป็นกำลัง การปวดฟันนั้นถ้าไม่ได้เป็นกับตัวเองแล้วคงไม่รู้ว่าปวดแค่ไหน อาตมาจึงไปหาหมอฟัน เป็นชาวจีนที่ตลาด เป็นหมอฟันชั้น ๒ สมัยนั้นหมอฟันชั้นหนึ่งหายาก ยิ่งต่างจังหวัดหาไม่ได้ มีแต่หมอฟันชั้นสอง ที่เป็นชาวจีนทำตกทอดกันมาครั้งบรรพบุรุษถึงลูกหลานด้วยความชำนาญ เมื่อหมอถอนฟันซี่ที่ปวดออกแล้ว อาตมาก็ขึ้นสามล้อพ่วงข้างกลับที่พัก

    เมื่อกลับมาถึงที่พักประมาณ ๑๐.๐๐ น. แล้วอาการปวดก็ค่อยเบาบางลง แต่ความรู้สึกเวลานั้นมีความง่วงอยากนอน จึงเอนตัวลงนอน หลังติดที่นอนแล้ว เกิดความรู้สึกมีอะไรผิดปกติในร่างกายจากปลายเท้าปลายมือรวมกัน เหมือนมีเลือดฉีดแรงแล่นเข้ามารวมจุดที่ตรงหัวใจ ต่อจากนั้นอาตมาก็หมด สติหมดความรู้สึก

    แต่แล้วพอรู้สึกตัวก็คล้ายความฝัน แต่เป็นความฝันที่แจ่มแจ้งชัดเจนผิดกับความฝันธรรมดา ที่ได้เกิดขึ้นกับอาตมา และรู้ว่าร่างนั้นยังนอนออยู่ในท่าเดิม แต่มีบุรุษ ๒ นาย ผู้หนึ่งยืนอยู่ทางศีรษะ อีกคนหนึ่งยืนอยู่ที่ปลายเท้า บุรุษที่ยืนอยู่ทางหัวนอนนั้นถือคบเพลิง ด้ามทำด้วยทองเหลืองอยู่ในมือชูขึ้น บุรุษผู้ที่ยืนปลายเท้าเรียกให้อาตมาลุกขึ้น และบอกว่าไปด้วยกันเถิด อาตมาพิจารณาดูชายทั้งสอง รูปร่างใหญ่ ผิวเนื้อดำล่ำสัน อายุประมาณ ๓๐ และเข้าใจว่าไม่เกิน ๔๐ ปี อาตมาจึงถามบุรุษผู้นั้นว่า

    “จะพาไปไหน”

    แต่บุรุษผู้นั้นพูดคล้ายบังคับว่า “ไปก็แล้วกัน”

    ได้ยินเท่านั้นอาตมาก็ลุกขึ้นและเดินตามเขาไป ส่วนผู้ถือคบเพลิงนั้นบอกกับเพื่อนว่า “ให้พาอาตมาไปคนเดียวก็ได้ เพราะยังเด็กคงไม่กล้าขัดขืน” แล้วก็แยกทางไป

    อาตมารู้สึกว่ามีสภาพตกอยู่ในความควบคุมตัวไป หมดความเป็นอิสระ ไม่ทราบชะตากรรมข้างหน้าจะเป็นอย่างไร บุรุษผู้นั้นเดินนำหน้าอาตมาเดินออกจากบ้านไป ทางเดินผ่านป่าโปร่งมีต้นไม้ใหญ่ปกคลุมทั่วไป อาตมาพยายามสังเกตสองข้างทางผ่าน สองข้างทางเดินมีบ้านของชาวบ้านป่าปลูกอยู่เป็นกลุ่มมีเพียง ๓ หลังเท่านั้น ตั้งอยู่ห่างกันพอสมควร เมื่อผ่านหมู่บ้านสามหลังนี้ไปแล้วก็จะมองเห็นข้างหน้าเป็นหาดทราย มีน้ำใสสะอาด เห็นแล้วอยากจะอาบคิดอยู่ในใจว่า ถ้าได้อาบน้ำคงจะเย็นสบาย เมื่ออาตมาขอผู้ควบคุมลงไปอาบน้ำที่หาดทราย บุรุษผู้นั้นก็อนุญาตให้โดยดีแล้ว ตัวผู้ควบคุมก็ไปนั่งคอยอยู่บนตอไม้ใหญ่ที่ถูกเผาจนดำเกรียม

    เมื่ออาตมาได้ลงไปอาบน้ำที่ใสสะอาด รู้สึกจิตใจชุ่มชื่นเย็นสบาย อาบอย่างเพลิดเพลินไม่อยากขึ้นจากน้ำ จนบุรุษผู้ควบคุมอาตมาออกปากชวนให้ขึ้นจากน้ำเพื่อเดินทางต่อไป จึงต้องจำใจขึ้นจากน้ำมาอย่างเสียดาย รีบสวมใส่เสื้อผ้า เสร็จแล้วอาตมาก็เดินตามบุรุษผู้นำทาง ซึ่งไม่รู้ว่าจะไปสิ้นสุดที่ใด เมื่อเดินไปได้ไม่นานก็ถึงทางแยก รู้สึกว่าจะเคยผ่านมาแล้ว จึงหันไปดูให้แน่ใจ เมื่อหันกลับมาก็ปรากฏว่า มีกำแพงคล้ายกำแพงวัดสูงพอประมาณ บุรุษผู้นั้นได้นำอาตมาเดินผ่านประตู ซึ่งเปิดไว้ก่อนแล้วเข้าไปข้างใน

    ภายในกำแพง อาตมาเห็นสระน้ำมีดอกบัว และใบบัวชูสลอนข้างสระบัวมีศาลา บนศาลามีพระกำลังเทศน์อยู่บนธรรมาสน์ มีหญิงชายนั่งสงบนิ่งพนมมือตั้งใจฟัง ไม่สนใจอะไร ส่วนมากเป็นผู้ที่สูงอายุ เมื่ออาตมาผ่านถึงหน้าศาลาก็หยุดเดิน แล้วหันหน้าไปทางพระที่กำลังเทศน์ ยกมือขึ้นพนม ระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ คิดถึงเมื่อครั้งเป็นนักเรียน อาตมาเคยปฏิบัติอยู่เสมอ เพราะทางไปโรงเรียนจะต้องผ่านวัดผ่านโบสถ์ทุกวัน

    เมื่อเราเดินผ่านศาลาที่พระเทศน์ แล้วก็ถึงกำแพงชั้นใน เหมือนกำแพงชั้นแรก มองเห็นข้างในมีบ้านทรงมนิลาชั้นเดียวสูง อยู่ทางซ้ายมือหลังหนึ่ง ในบริเวณบ้านปลูกดอกไม้ ตบแต่งไว้เป็นระเบียบสวยงามน่าดูมาก แต่บริเวณเงียบสงัด ปราศจากเสียงใดๆ บุรุษนั้นพาอาตมาไปถึงบันไดชั้นสูง แล้วหันมาบอกอาตมาว่า

    “ยืนอยู่ตรงนี้ก่อน”

    แล้วบุรุษผู้นั้นก็หยุดนิ่ง คล้ายจะรอพบใครที่มีตำแหน่งสูงกว่า เมื่อเราหยุดยืนรอไม่นานนักก็ปรากฏว่า มีพวกบุรุษร่างสูงใหญ่ แต่งกายคล้ายทหารโบราณ มือถือหอกก็มี บางคนก็ถือขวานใหญ่ ออกมายืนเรียบแถวขนาบสองข้าง ท่าทางดุ ขนาบข้างละ ๓ คน เมื่ออาตมาเห็นเหตุการณ์เช่นนั้น ทำให้ตกใจสะดุ้งนึกหวาดกลัว นึกในใจว่าคงจะมีเหตุการณ์เกิดขึ้นกับตัวเราในทางไม่ดีเวลาไม่ช้านี้ แต่ก็พยายามสะกดใจให้สงบไว้ ไม่ยอมให้เกิดความกลัวจนเสียขวัญแล้วจะขาดสติ เมื่อคุมสติอยู่แล้วก็คอยดูเหตุการณ์ต่อไป

    บุรุษที่เป็นผู้คุมก็ยืนนิ่ง และอาตมาก็ยืนสงบนิ่งเป็นตุ๊กตาไปด้วย ในใจนั้นยังควบคุมสติไม่ให้ตื่นเต้นคอยดูว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นต่อไป

    ข้างหน้าเรายืนห่างออกไป มีม่านสีดำเป็นผ้าม่านกำมะหยี่ผืนใหญ่เหมือนฉากปิดอยู่ อาตมาคิดว่าภายในหลังม่านนั้นคงจะมีสิ่งลี้ลับซ่อนอยู่ภายใน อาตมาจ้องดูว่าต่อไปอะไรจะเกิดขึ้น ต่อมาไม่นานนัก ม่านนั้นก็รูดไปรวมอยู่ทางเดียว จึงมองเห็นภายในมีโต๊ะและเก้าอี้ ๓ ตัว ตั้งอยู่อย่างเป็นระเบียบ พิจารณาแล้วก็เหมือนบัลลังก์ผู้พิพากษาออกตัดสินความ ทางสุดของบัลลังก์อยู่ด้านหนึ่ง เป็นช่องทางเดินออกมาจากภายในตึก

    เมื่อม่านเปิดแล้วก็ปรากฏว่า มีบุรุษผู้หนึ่งเดินออกมามีแฟ้มเอกสารหนีบไว้กับตัว เมื่อเดินออกมาแล้วเขาก็ไปนั่งเก้าอี้ด้วยท่าทางอันสงบ บรรยากาศภายในนั้นเงียบสงัด เขาตั้งหน้าตั้งตาเปิดแฟ้มพลิกดู
    ไม่ได้สนใจอะไรเหมือนไม่มีพวกเรายืนห่างออกมาตรงหน้าไม่ไกลนัก อาตมาจับตามองดูว่าเหตุการณ์อะไรที่จะเกิดขึ้นต่อไป ต่อมาไม่นานก็มีบุรุษอีกผู้หนึ่งเดินออกมาจากข้างในมือเปล่า แล้วตรงไปนั่งเก้าอี้ตัวที่ ๓ ด้วยท่าทางอันสงบ

    ครู่หนึ่งก็มีบุรุษสูงใหญ่ท่าทางสง่าน่าเกรงขาม แต่งตัวในเครื่องแบบแปลก อาตมาไม่เคยเห็นมาก่อน จึงอธิบายไม่ถูก พอมาถึงก็นั่งลงที่เก้าอี้ตัวกลาง พอนั่งเรียบร้อยแล้ว ก็หันหน้ามาทางอาตมาว่า

    อาตมาเป็นคนใจบาป เมื่อเด็กอายุเท่านั้น ได้เอาก้อนอิฐขว้างลูกไก่ตาย อาตมาก็นิ่งฟังอย่างสงบ แล้วก็หวนไปนึกถึงอดีตเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก เป็นความจริงที่อาตมาเคยขว้างลูกไก่ตาย อาตมาอยากจะเรียกท่านผู้นั้นว่า “ยมบาล” แล้วยมบาลก็ลำดับเรื่องต่อไป ถึงเรื่องอะไรที่อาตมาทำบาปกรรมไว้ในโลกมนุษย์ ที่จำได้อาตมาก็รู้ว่าเป็นความจริง ที่จำไม่ได้อาตมาก็ว่าไม่ตรงกับความจริง

    เมื่อยมบาลหยุดพูด อาตมาจึงบอกว่า การที่เอาก้อนอิฐขว้างลูกไก่ตายนั้นเป็นความจริง นอกนั้นข้อกล่าวหาไม่เป็นความจริง ยมบาลเห็นอาตมาค้านเสียงแข็งเช่นนั้น จึงหันมาทางผู้ตรวจแฟ้มถามว่า คนที่ให้เอาตัวมานั้นชื่ออะไร อายุเท่าใด ผู้ตรวจแฟ้มดูในแฟ้มตอบว่า ๑๓ ปี ชื่อเดียวกับอาตมา ท่านยมบาลย้อนมาถามอาตมาว่า ชื่อนี้ใช่ไหม เดี๋ยวนี้อายุเท่าไร อาตมาบอกว่า ใช่ชื่อนี้ อายุเวลานี้ ๑๙ ปี รู้สึกว่าเมื่อยมบาลได้ยินแล้วทำท่าตกใจ รีบสั่งผู้ที่คุมตัวอาตมาแต่แรกว่า ให้รีบพาอาตมาไปส่งให้เข้าร่างประเดี๋ยวจะไม่มีเวลา ทางบ้านเขาจัดการไปแล้วจะลำบาก แล้วยมบาลก็ให้โอวาทว่า

    ใครไปเกิดเป็นมนุษย์สร้างแต่กรรมดีเป็นกุศล เมื่อสิ้นอายุขัยแล้วมาสู่ยมโลก ไม่ช้าก็กลับไปเกิดในโลกมนุษย์เพื่อสร้างบารมีต่อไป หากสร้างกรรมชั่ว เมื่อสิ้นชีวิตมาสู่ยมโลก ต้องใช้หนี้กรรมที่ทำบาปไว้ในโลกมนุษย์ กว่าจะได้กลับไปเกิดเป็นมนุษย์อีกนั้นแสนยากนานแสนนานกว่าจะใช้หนี้กรรมหมด ยมบาลยังได้บอกกำหนดเวลาที่อาตมาจะสิ้นอายุขัย ยมบาลบอกเสร็จแล้วก็สั่งให้ผู้คุมที่พาอาตมา มาให้รีบพาไปส่งกลับโลกมนุษย์

    ก่อนที่จะกลับ ยังมีเวลาก็ให้พาผ่านไปทางสถานที่มนุษย์ที่สร้างกรรมทำชั่ว รอคอยเวลาชดใช้กรรม บุรุษผู้คุมนั้นพาอาตมาขึ้นไปบนตึกสามชั้น รูปร่างตึกมีระเบียง คล้ายกระทรวงกลาโหมของเรา แต่มีห้องเป็นลูกกรงเหล็ก ภายในมีผู้ถูกคุมขังมากมายคงได้รับทุกข์ทรมานอย่างสาหัส อ้าปากร้องครวญครางเสียงแหบๆ

    เวลานั้นอาตมาเกิดหวาดกลัว ไม่อยากเห็นสิ่งที่ไม่น่าดู อยากจะหลับตา อาตมาไม่อยากเห็นภาพที่มนุษย์จิตเหี้ยมโหด สร้างบาปไว้มากทุกข์ทรมาน ไม่อยากถาม อยากจะให้เขาพากลับบ้าน จึงเร่งให้พาตัวออกจาสถานที่นั้นโดยเร็ว ผู้คุมคงจะรู้ใจจึงพาอาตมาออกมาส่งทางเก่า พอมาถึงทางแยก และทางที่ไปหาดทรายที่อาตมาอาบน้ำ บุรุษผู้คุมก็บอกว่า

    “ต่อจากนี้เดินไปเองเถิด ประเดี๋ยวก็ถึง”

    แต่อาตมากลัวจะหลงทาง จึงอ้อนวอนขอให้ไปส่งถึงบ้าน แต่ก็ได้รับคำปฏิเสธยืนคำว่า

    “เดินไปเถิด ไม่ต้องไปส่ง ประเดี๋ยวก็ถึงบ้านเอง”

    เป็นอันว่าอาตมาต้องเดินกลับคนเดียว แล้วรีบเดินอย่างตื่นกลัวว่า จะหลงทางกลับบ้านไม่ถูก ทั้งภาพที่ได้พบเห็นยังติดตาฝังอยู่ในความรู้สึกไม่รู้หาย มีความรู้สึกหวาดกลัวสยดสยองไม่รู้ลืม อาตมาอยากถึงบ้านเร็วๆ เดินไปเหลียวหน้าเหลียวหลังกลัวหลงทางกลับบ้านไม่ถูก บังเอิญเท้าไปสะดุดรากไม้ อาตมาก็หกล้มตีลังกานอนหงายไม่เป็นท่า แล้วก็หมดความรู้สึกไปทันที

    พอลืมตาขึ้นมาก็เห็นตัวเองมานอนบนฟูกอยู่ในห้องบ้านที่อาตมานอน พอรู้สึกตัวได้สติก็มองเห็นพี่สาวและชาวบ้านใกล้เคียงมานั่งอยู่ข้างที่นอน ต่างก็มีหน้าเศร้าเป็นทุกข์มีถาดบายศรีปากชาม ข้าวตอกดอกไม้บุหรี่อยู่ถาดหนึ่ง เมื่ออาตมาหันไปดูพี่สาวคนใหญ่และน้องๆ เห็นตาแดง ต่างเช็ดน้ำตาแสดงถึงการร้องไห้เป็นการใหญ่มาแล้ว เมื่ออาตมารู้สึกตัวมีสติปกติ ฟื้นขึ้นเป็นเวลาบ่ายมากแล้ว มีความรู้สึกกระหายน้ำมาก ลำคอแห้งผากน้ำลายไม่มีในปาก จึงร้องบอกพี่สาวซึ่งนั่งอยู่ใกล้ๆ ด้วยเสียงแหบๆ ขอน้ำดื่ม พี่สาวก้มหูฟังพอรู้เรื่อง ก็รีบสั่งน้องสาวให้รีบไปตักน้ำใส่ขันใบใหญ่มาให้ดื่ม

    อาตมาได้ดื่มน้ำด้วยความกระหายแทบจะขาดใจ แล้วค่อยทำให้จิตใจชุ่มชื่นสดใสสบายขึ้น เมื่อดื่มน้ำอิ่มแล้วพอมีกำลังและมีเสียงดังขึ้นก็บอกว่า อาตมาไม่ตายแล้ว พวกพี่สาว น้องสาวและเพื่อนบ้านที่นั่งอยู่ที่นั่นต่างพากันดีใจ

    อาตมาบอกว่าหิวข้าว น้องสาวก็ไปจัดสำรับมาให้อาตมากิน อิ่มแล้วก็เล่าเรื่องเหตุการณ์ที่ไปประสบมาให้ฟัง ต่างก็มีความตื่นเต้นต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับอาตมาในปรโลกด้วยความสนใจ

    นี่เป็นเหตุการณ์เกิดขึ้นที่พระภิกษุนวกะ วัดราชประดิษฐ์บันทึกเขียน เมื่อครั้งท่านยังเป็น กนฺตสิริภิกฺขุ ตายไปแล้วกลับฟื้นขึ้นครั้งแรก ยังมีการตายแล้วฟื้นขึ้นครั้งที่ ๒ ข้าพเจ้าแยกออกสองตอน เพราะต่างวาระต่างเวลากัน ทั้งบังเอิญหน้ากระดาษจำกัด หากมีเวลาพิมพ์ฉบับหน้าก็อยากจะเรียบเรียงตอนต่อไป ข้าพเจ้าได้รับความเห็นดีเห็นชอบจากท่านเจ้าของเรื่อง อนุญาตให้ข้าพเจ้าเรียบเรียงข้อความท่านผู้ผ่านยมโลกนี้คือ คุณธนศิริ ศิริสัมพันธ์ ปัจจุบันท่านอยู่บ้านสวน ข้าพเจ้าขอขอบพระคุณท่านเจ้าของเรื่อง ผู้มีประสบการณ์ในเรื่องผู้ผ่านยมโลกมาในที่นี้ด้วย



    ...................... เอวัง ......................

    ยมทูตนำไปดูสู่ยมโลก
    จิตเศร้าโศกเหตุจากกรรมที่ทำไว้
    ได้ไปเห็นเมืองนรกตื่นตกใจ
    ทำชั่วไว้ไฟโลกันตร์นั้นเผากาย
    ขอชี้เตือนเพื่อนมนุษย์หยุดก่อเวร
    ตั้งกฎเกณฑ์การกระทำก่อนจะตาย
    สร้างกรรมดีผลดีมีมากมาย
    แม้ชีพวายสู่สวรรค์นิรันดร์กาล

    ท.เลียงพิบูลย์


    • Update : 15/4/2554
    © Copyright 2011 www.watnongmuang.com All rights reserved 999arch