|
|
พระพุทธนเรศวร์สักชัยฯ วัดบุพพาราม จ.เชียงใหม่
คอลัมน์ เดินสายไหว้พระ
|
ดินแดนทางภาคเหนือของประเทศไทยนั้น เป็นแหล่งป่าไม้สำคัญโดยเฉพาะไม้สัก
ต้นไม้ในป่ามีโอกาสที่จะเจริญเติบโตอย่างเต็มที่ เราจึงมักได้ยิน ได้ฟังคำบอกเล่าถึงขนาดของต้นไม้ใหญ่สามคนโอบบ้าง สี่คนโอบบ้าง ซึ่งปัจจุบันเป็นเพียงตำนานที่เล่าขานสู่กันฟัง
แต่ประจักษ์พยานชิ้นหนึ่งที่ยืนยันความมีอยู่จริงของตำนานต้นไม้ใหญ่หลายคนโอบนั้น อยู่ในรูปพระพุทธรูปไม้สักที่มีนามว่า "พระพุทธนเรศวร์สักชัยไพรีพินาศ" ที่ประดิษฐานอยู่กลางเมืองเชียงใหม่
ตามเรื่องราวที่ปรากฏ กล่าวว่าในสมัยกรุงศรีอยุธยา เมื่อสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงยกทัพขึ้นมาทำศึกกับพม่าที่เมืองเชียงใหม่ในปี 2147 หลังจากทรงรุกไล่ข้าศึกถอยหนีเข้าไปทางเมืองแหงและเมือง ต๋วนในเขตไทยใหญ่ทางตอนเหนือของพม่าได้แล้ว โปรดให้สร้างพระพุทธรูปขนาดใหญ่หน้าตักกว้างวาเศษจากไม้สักขึ้นองค์หนึ่งไว้เป็นอนุสรณ์
เมื่อคิดถึงว่าพระพุทธรูปองค์นี้มีขนาดหน้าตักกว้างหนึ่งวาเศษและสร้างโดยวิธีแกะสลัก จากไม้สักขนาดใหญ่ทั้งต้น หมายความว่าไม้สักที่นำมาใช้แกะสลักพระจะต้องมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเกินกว่าหนึ่งวาขึ้นไป ซึ่งออกจะเป็นเรื่องที่ต้องใช้จินตนาการอย่างยิ่งสำหรับคนยุคปัจจุบัน
แต่ไม่ใช่สำหรับผู้ที่มีชีวิตอยู่เมื่อเกือบ สี่ร้อยปีที่แล้วขณะที่มีการสร้างพระองค์นี้
"พระพุทธนเรศวร์สักชัยไพรีพินาศ" ถือว่าเป็นพระพุทธรูปแกะสลักจากไม้สักที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่มีปรากฏ และยังมีความงดงามเป็นที่เคารพเลื่อมใสในหมู่ชาวบ้านทั่วไป ภายหลังเคลื่อนย้ายมาประดิษฐาน ณ วัดบุพพาราม เพื่อให้ชาวเมืองได้กราบไหว้สักการะตราบจนปัจจุบัน
ปัจจุบัน พระพุทธนเรศวร์สักชัยไพรีพินาศ ประดิษฐานอยู่ที่หอมณเฑียรธรรม วัดบุพพาราม ถนนท่าแพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
พระพุทธนเรศวร์สักชัยไพรีพินาศ มีพุทธลักษณะศิลปะอยุธยา ปางมารวิชัย ขนาดหน้าตัก 1 วา 1 คืบ สูง 9 ศอก วัสดุไม้สักลงสี
วัดบุพพาราม มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า วัดอุปปา ตั้งอยู่เลขที่ 143 ถนนท่าแพ ต.ช้างคลาน อ.เมือง จ.เชียงใหม่ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย มีที่ดินตั้งวัดเนื้อที่ 4 ไร่ 3 งาน 29 ตารางวา
เป็นวัดคู่เมืองเชียงใหม่ สร้างขึ้นในสมัยพระญาเมืองแก้ว กษัตริย์ล้านนาลำดับที่ 12 ราชวงศ์มังราย (ครองราชย์ระหว่างปี พ.ศ.2039-2068)
ในตำนานชินกาลมาลีปกรณ์ ได้กล่าวถึงการสร้างวัดบุพพารามว่า พระเจ้าติลกปนัดดาธิราช (ราชนัดดาของพระเจ้าติโลกราช คือ พระญาเมืองแก้ว) หลังจากที่ได้ราชาภิเษกแล้วในปีที่ 2 โปรดให้สร้างอารามขึ้นอารามหนึ่งในหมู่บ้านที่พระราชอัยกา ครั้งเป็นยุพราชและพระบิดาของพระองค์เคยประทับมาก่อน เมื่อวันอังคารขึ้น 7 ค่ำ เดือน 5 ปีมะโรง จุลศักราช 858 โดยพระองค์ตั้งชื่ออารามนั้นว่า บุพพาราม แปลว่าอารามตะวันออก
ทั้งนี้ โดยถือเอานิมิตว่าได้ตั้งอยู่ทางทิศบูรพาแห่งนพีสีราชธานี ซึ่งเป็นตำแหน่งมูลเมือง ตามคัมภีร์มหาทักษา
วัดแห่งนี้ ได้รับการบูรณะเมื่อปี พ.ศ. 2362 เจ้าหลวงธรรมลังกา โปรดให้สร้างวิหารหลังเล็กซึ่งเป็นเครื่องไม้ศิลปะล้านนา หน้าบันเป็นปูนปั้นประดับกระจกแกะลายสลักไม้อย่างงดงาม
ส่วนวิหารหลังใหญ่หน้าบันมีลวดลายไม้แกะสลักแบบพม่า เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปหล่อด้วยทองแดงล้วนหนัก 1 โกฏิ อายุ 400 ปีเศษ และพระพุทธรูปเชียงแสนหล่อด้วยสำริดอยู่ทางด้านซ้ายและขวาอีกหนึ่งคู่
ความสำคัญของวัดบุพพาราม คือ เคยเป็นที่สถิตของพระมหาสังฆราชปุสสเทวะ
นอกจากนี้ ยังเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ อีกทั้งมีประเพณีสรงน้ำพระบรมสารีริกธาตุในวันเพ็ญเดือน 6 เหนือ (เดือน 4 ภาคกลาง) ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ประจำทุกปี
|
Update : 2/10/2554
|
|