มีการพัฒนาและปรับปรุงสายพันธุ์กุ้งขาวในต่างประเทศมาเป็นเวลานานไม่ต่ำกว่า 20 ปี โดยเฉพาะที่สถาบัน Oceanic Institute มลรัฐฮาวาย ประเทศสหรัฐอเมริกาจนได้สายพันธุ์กุ้งขาวจำนวนมากที่มีการเจริญเติบโตรวดเร็ว มีขนาดใกล้เคียงกัน และสามารถเลี้ยงได้ในอัตราความหนาแน่นสูงมาก ให้ผลผลิตสูงในระยะเวลาสั้น การพัฒนาสายพันธุ์ (genetic improvement) ไม่ใช่เพียงแต่เป็นการนำเอากุ้งในธรรมชาติมาเลี้ยงในสภาพแวดล้อมที่เตรียมไว้ให้อาจจะเป็นบ่อดิน หรือแทงค์ในโรงเพาะฟัก แล้วกุ้งเหล่านั้นสามารถผสมพันธุ์สืบพันธุ์จนผลิตลูกออกมาได้ ลักษณะเช่นนี้เรียกว่า domestication เท่านั้น
การพัฒนาสายพันธุ์กุ้งต้องใช้เวลานานและมีนักวิจัย หรือนักวิทยาศาสตร์จากหลายสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง ทั้งในด้านพันธุศาสตร์ ชีวเคมี ด้านโรค อาหาร และการเพาะเลี้ยงร่วมกันทำงานในสถานที่ซึ่งมีการเตรียมไว้สำหรับการผลิตหรือ พัฒนาสายพันธุ์กุ้งโดยเฉพาะที่จำเป็นต้องมีระบบที่สามารถป้องกันเชื้อโรค ต่างๆได้ (Biosecure)
6.2.1 หลักการของการพัฒนาสายพันธุ์กุ้งขาว
ต้องมีสายพันธุ์ที่หลากหลายแล้วทำการผสมข้ามสายพันธุ์ ก็จะได้สายพันธุ์ใหม่เพิ่มขึ้นมา เพราะการนำกุ้งจากสายพันธุ์เดียวกันมาผสมกันจะเกิดลักษณะที่นักวิชาการเรียกว่า เลือดชิด (inbreeding) เกิดขึ้น มีผลทำให้การเจริญเติบโตช้าลง อัตรารอดต่ำ ลักษณะด้อยต่างๆจะปรากฏออกมาเรื่อยๆ ในการคัดเลือกสายพันธุ์ต้องใช้เทคโนโลยีชีวโมเลกุล และการวิเคราะห์พันธุกรรมเชิงปริมาณ ซึ่งจะคัดเลือกเอาเฉพาะกุ้งตัวที่มีลักษณะดีตามที่ต้องการเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่เหลือไม่เอา ดังนั้นในแต่ละรุ่น (generation) สามารพัฒนาให้มีลักษณะดีขึ้นได้เรื่อยๆ
ตามที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นสถานที่ในการพัฒนาสายพันธุ์กุ้งต้องปลอดโรคในทุกขั้นตอนของการผลิต ตั้งแต่โรงเพาะฟักที่ใช้สำหรับผลิตนอเพลียส และสถานที่เลี้ยงพ่อแม่พันธุ์หรือ NucleusBreedingCenter (NBC) ซึ่งจะเป็นศูนย์กลางคัดเลือกสายพันธุ์จะประกอบไปด้วยโรงเพาะฟักที่ใช้สำหรับผสมพันธุ์ มีแทงค์หรือบ่อสำหรับเลี้ยงแม่กุ้งให้มีการเจริญเติบโตของรังไข่หรือเจริญพันธุ์ (maturation) มีการคัดเลือกสายพันธุ์ที่มีคุณลักษณะเฉพาะ (trait) ตามที่ต้องการ
ภาพที่ 6.4 เทคโนโลยีการวิเคราะห์พันธุกรรมเชิงปริมาณกับกุ้งแต่ละตัวหรือกับทั้งสายพันธุ์
พ่อแม่พันธุ์กุ้งขาวจะได้รับการทำเครื่องหมายประจำสายพันธุ์ (tag) เพื่อจำแนก และคัดเลือกสายพันธุ์ที่มีคุณลักษณะที่ดีที่สุดในแต่ละรุ่น
นอกจาก NBC แล้วจะมีศูนย์เพิ่มจำนวนพ่อแม่พันธุ์หรือ BroodstockMultiplicationCenterหรือ MBC ซึ่งเป็นสถานที่ปลอดเชื้อโรคเช่นเดียวกัน เป็นสถานที่เลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ที่ได้คัดเลือกสายพันธุ์ที่เหมาะสมไว้สำหรับเพิ่มจำนวน
ภาพที่ 6.5 ศูนย์กลางการผสมสายพันธุ์
สำหรับด่านกักกันเชื้อโรคซึ่งเรียกว่า quarantine จะเป็นพื้นที่นอก NBC และ MBC ใช้เป็นพื้นที่กักกันกุ้ง ก่อนที่จะนำเข้าไปยัง NBC โดยแบ่งออกเป็นสถานที่กักกันขั้นแรกหรือปฐมภูมิ (primary quarantine) กุ้งที่ผ่านสถานที่นี้ถือว่าปลอดเชื้อแล้วจึงนำไปยังสถานที่กักกันขั้นที่สองหรือทุติยภูมิ (secondary quarantine) ซึ่งระยะกักกันโรคนี้อาจจะนานมากเป็นปี กุ้งที่ผ่านสถานที่กักกันโรคขั้นที่สองจึงนำเข้าไปยัง NBC ได้
ภาพที่ 6.6 การทำเครื่องหมายประจำสายพันธุ์
เพื่อจำแนกกุ้งแต่ละตัวหรือกับทั้งสายพันธุ์
6.2.1.1 สภาพแวดล้อมของการเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์กุ้งขาว
รายละเอียดที่จะนำเสนอต่อไปนี้เป็นแนวทางของ Mr. David Kawahigashi ซึ่งเคยเป็นนักวิจัยในโครงการปรับปรุงสายพันธุ์กุ้งขาวที่สถาบัน Oceanic Institute มาเป็นเวลานาน ปัจจุบันเป็นนักวิจัยของบริษัทเอกชนที่ผลิตพ่อแม่พันธุ์กุ้งขาวปลอดเชื้อ ข้อมูลต่างๆเหล่านี้ผู้เขียนหวังว่าคงจะเป็นประโยชน์แก่นักวิชาการ เกษตรกร และผู้ประกอบการที่มีโครงการจะนำพ่อแม่พันธุ์กุ้งขาวปลอดเชื้อเข้ามาเพื่อขยายและปรับปรุงสายพันธุ์ต่อไป
การเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์กุ้งขาวในฌรงเพาะฟักให้ถึงวันที่สามารถใช้ผสมพันธุ์ได้ มักจะนิยมเลี้ยงในแทงค์พื้นที่ขนาด 20 ตารางเมตรหรือใหญ่กว่า โดยเลี้ยงกุ้งในอัตราความหนาแน่น 5-12 ตัว/ตารางเมตร โดยมีอัตราส่วนเพศผู้ต่อเพศเมีย 1:1 รวมกันในบ่อเดียวกัน หรืออาจจะแยกบ่อก็ได้
ในระหว่างการเลี้ยงจะมีการเปลี่ยนถ่ายน้ำแบบมีน้ำเข้าและน้ำถ่ายออกตลอดเวลา (flow-trough) ในแต่ละวันจะมีการเปลี่ยนถ่ายน้ำถึง 300 เปอร์เซ็นต์
มีการควบคุมปริมาณแสงสว่างแบบอิงธรรมชาติ หรืออาจจะใช้การปิดและเปิดไฟ โดยเปิดไฟให้แสงสว่าง 13 ชั่วโมง และปิดไฟให้มืด 11 ชั่วโมง
ภาพที่ 6.7 บ่อเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ที่ ภาพที่ 6.8 บ่อเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ที่ควบคุมปริมาณ
ควบคุมปริมาณแสงตามธรรมชาติ แสงโดยการปิด-เปิดไฟ
อุณหภูมิของน้ำที่เหมาะสมระหว่าง 27.5-29.0 องศาเซลเซียส
ความเค็มของน้ำระหว่าง 28-36 พีพีที
ความลึกของน้ำ 35-50 เซนติเมตร
น้ำที่ใช้ในโรงเพาะฟักทั้งหมดผ่านการกรองและฆ่าเชื้อด้วยแสง ultraviolet (UV) โอโซน หรือคลอรีน อาจจะใช้ระบบน้ำหมุนเวียนได้ถึง 90 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งการใช้น้ำหมุนเวียนคุณภาพน้ำจะนิ่ง ไม่เปลี่ยนแปลงมาก สามารถลดอัตราการตายได้
ภาพที่ 6.9 บ่อเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ในโรงเรือนแบบต่างๆกัน
6.2.1.2 การผสมพันธุ์และการวางไข่
ยังต้องมีการบีบตาหรือตัดตา (eyestalk ablation) เพื่อเร่งให้แม่กุ้งมีการพัฒนาไข่เร็วขึ้น จากการบีบตาจะไปยับยั้ง gonad inhibiting hormone ทำให้ความถี่ในการวางไข่ (spawning) เพิ่มขึ้นโดยรอบของการวางไข่จะใช้เวลา 3 วัน
การผสมพันธุ์นิยมใช้วิธีทางธรรมชาติ (natural mating) 100 เปอร์เซ็นต์ ส่วนการผสมเทียม (artificial insemination) นิยมใช้ในการคัดเลือกสายพันธุ์ (selective breeding)
นิยมปล่อยกุ้งเพศผู้และเมียรวมในบ่อเดียวกันในอัตราส่วน 1:1 วิธีนี้แม่กุ้งจะเครียดน้อยจากการจับ ประเทศในแถบอเมริกาใต้และอเมริกาใช้วิธีนี้กันมาก
การแยกเลี้ยงกุ้งเพศเมียและเพศผู้ เมื่อกุ้งเพศเมียไข่สุกพร้อมแล้วจึงย้ายไปใส่ลงในบ่อกุ้งเพศผู้ วิธีนี้กุ้งจะเครียดกว่า เพราะต้องจับแม่กุ้งหลายครั้ง การทำงานก็มากขึ้นด้วย วิธีนี้นิยมปฏิบัติในประเทศแถบเอเชียและออสเตรเลีย
ภาพที่ 6.10 การบีบตาหรือตัดตาแม่พันธุ์
การวางไข่
อาจจะใช้กุ้งตัวเมีย 1 ตัวต่อถัง ซึ่งต้องสิ้นเปลืองแรงงานมาก วิธีนี้นิยมปฏิบัติกันในการวิจัยเพื่อคัดเลือกทางพันธุกรรม
ส่วนใหญ่นิยมปล่อยกุ้งตัวเมียรวมกันในถังเดียวกัน อาจจะมากถึง 30 ตัว วิธีนี้ใช้แรงงานน้อยกว่า นิยมกันมากและประหยัด
ภาพที่ 6.11 ถังวางไข่แบบเดี่ยว ภาพที่ 6.12 ถังวางไข่แบบรวม
การรวบรวมไข่และนอเพลียส
หลังจากแม่กุ้งวางไข่แล้ว 4-6 ชั่วโมง ใช้ไอโอดีนฆ่าเชื้อภายนอกที่อาจจะปนเปื้อนไข่แล้วนำไข่ไปฟักในถัง สำหรับแม่กุ้งน้ำหนัก 45 กรัม จะสามารถผลิตไข่ประมาณ 200,000 ฟอง/ครั้งหรือมาากว่า ซึ่งสามารถผลิตนอเพลียสได้ประมาณ 100,000 ตัว/ครั้งหรือมากกว่า ในแต่ละวันจะมีแม่กุ้งที่ได้รับการผสมพันธุ์ประมาณ 8-10 เปอร์เซ็นต์ แม่กุ้งแต่ละชุดจะใช้ในการผลิตลูกกุ้งนานประมาณ 3-4 เดือน แม่กุ้ง 1 ตัวจะสามารถผลิตนอเพลียสได้ประมาณ 1,000,000 ตัวหรือมากกว่า ถ้าสภาพแวดล้อมทุกอย่างเหมาะสม
6.2.1.3 อาหารสำหรับพ่อแม่พันธุ์กุ้งขาว
การเจริญพันธุ์ของกุ้งขาวที่พร้อมจะผสมพันธุ์ให้ได้ลูกกุ้งที่มีคุณภาพและมีปริมาณมากต้องประกอบด้วยปัจจัยต่างๆ ตั้งแต่ คุณภาพน้ำที่ดี ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว อาหารมีความสำคัญมากในการพัฒนาและการสร้างรังไข่ของแม่กุ้ง สารอาหารที่มีความจำเป็นได้แก่ กรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง Omega-3 fatty acid, HUFA’s-highly unsaturated fatty acid DHA/EPA, เพรียงเลือด (blood worm)หรือเพรียงทราย ซึ่งจะต้องปราศจากการปนเปื้อนเชื้อไวรัสต่างๆ นอกจากนั้นยังมีอาร์ทีเมียที่ enriched ด้วย Omega-3 fish oils, อาหารสด เช่น หอย, krill (กุ้งขนาดเล็กคล้ายกุ้งเคย), คาโรทีนอยด์-แอสต้าแซนทิน ซึ่งเป็นคาโรทีนอยด์ที่สำคัญในรังไข่, วิตามินเอ,ซี และอี, ฮอร์โมน- hormone like (methylfarnesraste; MF) มีอยู่ในเพรียงเลือด และอาหารสำเร็จรูปเฉพาะพ่อแม่พันธุ์
การให้อาหารสำหรับพ่อแม่พันธุ์ให้อาหารวันละ 4-6 ครั้ง ปริมาณอาหาร 18-25 เปอร์เซ็นต์ น้ำหนักตัว/วัน ประกอบด้วยเพรียงเลือด 5-10, หมึก 5-10, อาร์ทีเมีย 3-6, หอย 3-6 เปอร์เซ็นต์น้ำหนักตัว/วัน และอาหารสำเร็จรูป (แห้ง) 1-2 เปอร์เซ็นต์น้ำหนักตัว/วัน
ภาพที่ 6.13 เพรียงเลือด
ภาพที่ 6.14 Krill
ตารางที่ 6.1 การเลี้ยงกุ้งขาวในโรงเรือนเป็นพ่อแม่พันธุ์แบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน
ระยะที่ 1
|
ระยะที่ 3
|
ระยะที่ 3
|
ระยะพี 10-1.5 กรัม
|
กุ้งขนาด 0.5-10 กรัม
|
กุ้งขนาด 10-45 กรัม
|
ระยะเวลา 1เดือน
|
ระยะเวลา 1.5 เดือน
|
ระยะเวลา 8 เดือน
|
ความหนาแน่น 40-10 ตัว/ลิตร
|
ความหนาแน่น 200-40/ตารางเมตร
|
ความหนาแน่น 40-15/ตารางเมตร
|
ตลอดระยะเวลาในการเลี้ยงกุ้งขาวเพื่อเป็นพ่อแม่พันธุ์ มีการตรวจสุขภาพตลอดเวลา โดยการตรวจโรคตไวรัสเป็นระยะๆ เช่น เมื่อกุ้งอายุประมาณ 30 วันมีน้ำหนัก 1 กรัม ครั้งที่สองเมื่อกุ้งมีน้ำหนักประมาณ 10 กรัม และครั้งที่สามเมื่อกุ้งมีอายุ 322 วันมีน้ำหนัก 45 กรัม โดยวิธีตรวจด้วยเทคนิค PCR โดยใช้ขาว่ายน้ำหรือ pleopods ตรวจเชื้อไวรัส WSSV, IHHNV, TSV และ YHV
อนาคตการเลี้ยงกุ้งขาวเพื่อให้เป็นพ่อแม่พันธุ์
- อาจจะต้องใช้อาหารสำเร็จรูป 100 เปอร์เซ็นต์แทนเพรียงทรายหรือเพรียงเลือด
- การเลี้ยงควรจะใช้ระบบน้ำหมุนเวียนเพื่อเป็นการประหยัดและลดความเสี่ยงจากภายนอก
- ไม่มีการตัดตาหรือบีบตาเพราะอาจจะได้รับการต่อต้านจากองค์กรต่างๆเช่นนักอนุรักษ์เพราะการบีบตาจะเป็นการทำร้ายหรือทรมานสัตว์
- ควรจะมีการพัฒนาสายพันธุ์ให้มีคุณภาพและเหมาะสมต่อการเลี้ยงในสภาพต่างๆมากขึ้น