ไดอะแกรมขั้นตอนการเลี้ยงกุ้งก้ามกรามแบบพัฒนา
ปล่อยลูกกุ้งระยะที่คว่ำแล้ว 50,000-60,000 ตัว/ไร่
อนุบาลนาน 2-2 เดือนครึ่ง
ลูกกุ้งขนาด 200-300 ตัว/กิโลกรัม
ใช้อวนขนาดตา 1.7 เซ็นติเมตรลากคัดลูกกุ้งไปเลี้ยง 10,000 ตัว/ไร่
เลี้ยงนาน 2 –2 เดือนครึ่ง
คัดตัวเมียที่สมบูรณ์ไปเลี้ยงไว้ไปทำแม่พันธุ์ (30-60 ตัว/กิโลกรัม)
ตัวผู้ (20-30 ตัว/กิโลกรัม) ย้ายตัวผู้ไปเลี้ยงในบ่อใหม่ 6,000-8,000 ตัว/ไร่
เลี้ยงนาน 2 เดือนตัวผู้ขนาด 12-15 ตัว/กิโลกรัม
นำกุ้งตัวผู้น้ำหนักประมาณ 8-10 ตัว/กิโลกรัมเลี้ยงในห้องนาน 2-3 เดือน
จะได้กุ้งขนาด 4-5 ตัว/กิโลกรัม
ภาพที่ 7.28 ลูกกุ้งก้ามกรามระยะคว่ำ ภาพที่ 7.29 ลากกุ้งก้ามกรามอายุ 2-2.5 เดือน
ภาพที่ 7.30 นำลูกกุ้งไปชั่งน้ำหนัก ภาพที่ 7.31 ชั่งน้ำหนักก่อนการลำเลียง
ภาพที่ 7.32 ภาชนะสำหรับใส่กุ้งที่จะย้าย ภาพที่ 7.33 แขวนภาชนะที่ใส่กุ้งในถัง
ที่ให้ออกซิเจน
ภาพที่ 7.34 นำกุ้งที่ย้ายมาเลี้ยงในบ่อใหม่ ภาพที่ 7.35 ลากกุ้งก้ามกรามอายุ 4-4.5 เดือน
ภาพที่ 7.36 คนงานกำลังแยกเพศ ภาพที่ 7.37 กุ้งก้ามกรามเพศเมียหลังการคัดแยก
ภาพที่ 7.38 กุ้งก้ามกรามเพศผู้หลังการคัดแยก ภาพที่ 7.39 ลากกุ้งก้ามกรามอายุ 6-6.5 เดือน
ภาพที่ 7.40 กุ้งก้ามกรามเพศผู้ขนาด 12-15 ตัว/กิโลกรัม
ภาพที่ 7.41 ลักษณะการเลี้ยงกุ้งก้ามกรามแบ่งเป็นห้องขนาด 40x40 เซ็นติเมตร
7.2.4.1 การเตรียมบ่อและเตรียมน้ำ
หลังจากจับกุ้งจากการเลี้ยงรอบที่ผ่านมา ตากบ่อให้แห้ง ปรับสภาพบ่อโดยเอาเลนกลางบ่อออก ปรับระดับบ่อให้เหมาะสม ความลึกของบ่อสำหรับเลี้ยงกุ้งก้ามกรามประมาณ 1.20 เมตร สูบน้ำที่พักมาแล้วจากบ่อพักน้ำผ่านผ้ากรอง เพื่อป้องกันสัตว์น้ำชนิดอื่นเข้าไปในบ่อ ให้ระดับน้ำในบ่อประมาณ 1.0 เมตร หว่านปูนโดโลไมท์ในอัตรา 25 กิโลกรัม/ไร่ในเวลากลางวัน สำหรับดินที่มีพีเอชปกติ แต่ถ้าดินที่มีพีเอชเป็นกรดต้องเติมวัสดุปูนเพิ่มขึ้น หลังจากหว่านโดโลไมท์แล้วเปิดเครื่องให้อากาศตลอดทั้งคืน เพื่อให้น้ำในบ่อผสมกันดีทั่วบ่อ
การสร้างอาหารธรรมชาติ
อาหารธรรมชาติมีความจำเป็นสำหรับอัตรารอดและการเจริญเติบโตของลูกกุ้งก้ามกราม ดังนั้นการเตรียมน้ำให้พร้อมก่อนปล่อยลูกกุ้ง ปัจจุบันนี้ควรใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ แม้ว่าปุ๋ยคอกเช่นปุ๋ยมูลไก่จะช่วยให้เกิดอาหารธรรมชาติได้ดีก็ตาม แต่การเลี้ยงกุ้งก้ามกรามเพื่อการส่งออก ถ้ายังมีการใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยมูลไก่ในการเตรียมน้ำอาจจะมีความเสี่ยงไม่เฉพาะในเรื่องยาตกค้างที่อาจจะติดมากับมูลไก่ เช่นยาในกลุ่มไนโตรฟูแรนส์ซึ่งยังมีปัญหาในอุตสาหกรรมการเลี้ยงไก่ในบ้านเรา นอกจากนั้นการใช้มูลสัตว์ในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำอาจจะเป็นข้อรังเกียจหรือข้ออ้างของผู้ซื้อโดยเฉพาะจากประเทศสหรัฐอเมริกาสหภาพยุโรปและประเทศอื่นๆควรใช้ปุ๋ยสูตร 15-20-0 ไร่ละ 2 กิโลกรัมและใช้อาหารเบอร์ 1 ไร่ละ 2 กิโลกรัม รำละเอียดไร่ละ 2 กิโลกรัม ผสมน้ำ 10 ส่วนหมักทิ้งไว้ 1 คืน นำไปสาดให้ทั่วบ่อและเปิดเครื่องให้อากาศเพื่อผสมให้เข้ากันทั่วบ่อ รอจนสีน้ำสวยและมีสัตว์หน้าดินซึ่งจะเป็นอาหารธรรมชาติสำหรับลูกกุ้งอาจจะใช้เวลานาน 2-3 วัน
7.2.4.2 การปล่อยลูกกุ้ง
ลูกกุ้งระยะที่คว่ำแล้วนำมาปล่อยลงในบ่อเลี้ยง ควรปล่อยลูกกุ้งในขณะที่มีแสงแดดแต่อากาศไม่ร้อนจัด เนื่องจากปริมาณออกซิเจนที่ละลายในน้ำจะสูงกว่าการปล่อยตอนที่ไม่มีแสงแดด ควรเปิดเครื่องให้อากาศก่อนนำลูกกุ้งมาปล่อยเพื่อเพิ่มออกซิเจน และทำให้อุณหภูมิของน้ำในบ่อเท่ากันทุกระดับความลึก บริเวณที่จะนำลูกกุ้งมาปล่อยควรมีการเติมเกลือแกงลงไปเพื่อเพิ่มอัตรารอดของลูกกุ้ง
ปริมาณการใช้เกลือในการปล่อยลูกกุ้ง
ขึ้นอยู่กับจำนวนลูกกุ้งที่จะปล่อย สำหรับลูกกุ้งจำนวน 200,000-300,000 ตัวใช้เกลือ 400 กิโลกรัมโดยใส่เกลือในกระสอบๆละ 40 กิโลกรัม ดังนั้นลูกกุ้ง 200,000-300,000 ตัวจะใช้เกลือ 10 กระสอบ นำกระสอบที่บรรจุเกลือมาวางตามขอบบ่อบริเวณที่จะนำลูกกุ้งมาปล่อยเว้นระยะห่างกัน 2 เมตร ในบริเวณที่ปล่อยลูกกุ้งถ้ามีการเสริมการให้ออกซิเจนโดยใช้ซุปเปอร์ชาร์จด้วยก็จะยิ่งดี เพราะลูกกุ้งที่ผ่านการขนส่งมายังฟาร์มมีการอ่อนเพลีย ถ้าในบ่อมีปริมาณออกซิเจนสูงและมีความเค็มเล็กน้อยจากการใส่เกลือจะช่วยให้ลูกกุ้งฟื้นตัวเร็วและมีอัตรารอดที่สูง เมื่อเปรียบเทียบกับบ่อที่ไม่มีการใช้เกลืออัตรารอดจะต่ำกว่ามาก
ข้อสังเกตจะเห็นได้ว่าลูกกุ้งจะอยู่บริเวณที่มีปริมาณออกซิเจนสูงคือบริเวณที่มีการให้อากาศและบริเวณที่มีการวางกระสอบใส่เกลือ หลังจากเกลือละลายหมดแล้วลูกกุ้งจะค่อยๆกระจายตัวไปทั่วบ่อ
7.2.4.3 การให้อาหาร
ในระยะ 30 วันแรกควรให้อาหารวันละ 4 มื้อเช่น 6.00 น., 12.00 น., 16.00 น. และ 20.00 น. ปริมาณอาหารสำหรับลูกกุ้ง 100,000 ตัวให้อาหาร 1 กิโลกรัม/วัน หลังจากนั้นค่อยๆเพิ่มขึ้นทีละน้อยไปเรื่อยๆ ที่อายุ 30 วันลูกกุ้ง 100,000 ตัวให้อาหารประมาณ 4 กิโลกรัม/วัน ปริมาณอาหารอาจมากหรือน้อยกว่าระดับนี้ก็ได้ขึ้นอยู่กับปริมาณอาหารธรรมชาติในบ่อและอัตรารอดของลูกกุ้ง
หลังจาก 30 วันควรให้อาหารวันละ 3 มื้อเวลา 6.00 น., 12.00 น. และ 16.00 น. ลักษณะการให้อาหารจะแตกต่างกับการเลี้ยงกุ้งทะเลเช่นกุ้งกุลาดำที่ตามปกติอยู่ในช่วงเดือนแรกจะให้อาหาร 3-4 ครั้ง/วัน แต่เมื่อกุ้งมีอายุเพิ่มขึ้นจะให้อาหารเพิ่มเป็น 4-5 ครั้ง/วัน สำหรับการเลี้ยงกุ้งก้ามกรามส่วนใหญ่เกษตรกรยังคงให้อาหารวันละ 2 ครั้งคือ 6.00 น. และ 18.00 น. ตั้งแต่เริ่มปล่อยลูกกุ้งจนกระทั่งจับ แต่ในการเลี้ยงแบบพัฒนาที่กล่าวมานี้จะให้อาหารระยะแรกถี่กว่าช่วงที่กุ้งโต เพราะให้ความสำคัญกับอัตรารอดของลูกกุ้งระยะแรก ส่วนในระยะที่กุ้งโตขึ้นการให้อาหารวันละ 3 ครั้งอยู่ในระดับที่เหมาะสม ไม่จำเป็นต้องให้จำนวนมากเท่ากับกุ้งกุลาดำ เนื่องจากกุ้งก้ามกรามกินอาหารช้ากว่ากุ้งกุลาดำและกุ้งขาวมาก
ข้อควรระวังในการให้อาหาร ถ้าอุณหภูมิของน้ำต่ำโดยเฉพาะในตอนเช้า เมื่ออุณหภูมิน้ำต่ำกว่า 28 องศาเซลเซียส ควรลดปริมาณอาหารและอาจจะเลื่อนเวลาการให้อาหารออกไปอีก เช่น เลื่อนเวลาออกไปเป็น 7.00 น. หรือมากกว่านั้น นอกจากอุณหภูมิของน้ำที่มีผลต่อการกินอาหารของกุ้งแล้ว ถ้าปริมาณออกซิเจนต่ำ กุ้งจะกินอาหารลดลงเช่นเดียวกัน ในกรณีที่สีน้ำในบ่อเข้มจัด ปริมาณออกซิเจนจะลดต่ำลงมากในตอนเช้า อาจจะต้องเลื่อนเวลาการให้อาหารออกไปจนกว่าจะเริ่มมีแสงแดดมากพอ เพื่อให้แพลงก์ตอนพืชสังเคราะห์แสงเพิ่มปริมาณออกซิเจนในน้ำ จะทำให้กุ้งกินอาหารดีกว่า
สำหรับกุ้งที่มีขนาดใหญ่จะกินอาหารลดลงเมื่อเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์กับน้ำหนักตัวเช่นกุ้งขนาดน้ำหนัก 50 กรัมกินอาหาร 1.8 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัว ส่วนกุ้งหนัก 100 กรัมกินอาหารเพียง 1 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัว
7.2.4.4 การจัดการคุณภาพน้ำที่สำคัญ
ในระหว่างการเลี้ยงกุ้งก้ามกรามควรจะมีเครื่องมือหรืออุปกรณ์สำหรับวิเคราะห์คุณสมบัติของน้ำที่สำคัญๆ เพราะจะเป็นประโยชน์แก่เกษตรกรในการประเมินสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนั้น และเป็นแนวทางในการจัดการด้านอื่นๆด้วย คุณสมบัติของน้ำที่ควรจะให้ความสำคัญ ได้แก่
ออกซิเจน ตามปกติปริมาณออกซิเจนที่ละลายในน้ำมีความสำคัญมากในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ระดับที่เหมาะสมแก่การเจริญเติบโตของสัตว์น้ำทั่วไปรวมทั้งกุ้งก้ามกรามไม่ต่ำกว่า 4 พีพีเอ็ม (มิลลิกรัม/ลิตร) แต่โดยทั่วไปเกษตรกรจะไม่มีเครื่องวัดปริมาณออกซิเจน จะใช้การสังเกตเท่านั้นเช่นกุ้งลอยตอนกลางคืนแสดงว่าปริมาณออกซิเจนไม่เพียงพอ หรือกุ้งขึ้นมาตามขอบบ่อมาก แสดงว่าปริมาณออกซิเจนต่ำเป็นต้น การสังเกตพฤติกรรมเหล่านี้เป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าจะให้การเลี้ยงได้ผลตามที่ต้องการแล้วสำหรับฟาร์มขนาดกลางและขนาดใหญ่ควรจะมีอุปกรณ์สำหรับวัดปริมาณออกซิเจนเพื่อป้องกันความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้
เมื่อใดที่ปริมาณออกซิเจนในตอนเช้าก่อนมีแสงแดดคือประมาณไม่เกิน 6.30 น. ต่ำกว่า 4 พีพีเอ็มควรลดปริมาณอาหารที่ให้มื้อนั้น ถ้าสีน้ำเข้มจัดควรจะถ่ายน้ำเพิ่มขึ้นเพื่อลดปริมาณแพลงก์ตอน จะทำให้ปริมาณออกซิเจนในตอนเช้าของวันต่อมาสูงขึ้น ในวันที่ท้องฟ้ามืดครึ้มไม่มีแสงแดดควรเปิดเครื่องให้อากาศตลอดเวลาและรอบความเร็วของเครื่องยนต์ไม่ควรต่ำกว่า 80 รอบ/นาที เพราะการเปิดเครื่องให้อากาศหรือเครื่องตีน้ำรอบช้าเกินไป แม้จะมีจำนวนใบพัดตีน้ำจำนวนมาก ไม่ทำให้ปริมาณออกซิเจนเพิ่มขึ้นมาก แต่ในทางตรงกันข้ามจำนวนใบพัดตีน้ำมีไม่มากแต่รอบความเร็วมากพอทำให้ได้ปริมาณออกซิเจนที่ละลายในน้ำมากกว่า
พีเอช ระดับที่เหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตมีค่าระหว่าง 7.5-8.5 พีเอชตอนเช้าไม่ควรต่ำกว่า 7.5 และตอนบ่ายไม่ควรเกิน 8.5 ถ้าพีเอชตอนเช้าต่ำกว่า 7.5 กุ้งจะมีอัตรารอดต่ำและโตช้า ควรเติมวัสดุปูนเพิ่มพีเอช แต่ถ้าพีเอชตอนบ่ายสูงเกิน 8.5 กุ้งจะโตช้าเนื่องจากไม่ลอกคราบเปลือกจะสากและมักพบมีซูโอแทมเนียมตามผิวตัว พีเอชของน้ำตอนบ่ายที่สูงมักมีความสัมพันธ์กับสีน้ำที่เข้มจากปริมาณแพลงก์ตอนที่มีอย่างหนาแน่น ดังนั้นควรจะควบคุมไม่ให้สีน้ำเข้มจัด โดยการควบคุมปริมาณอาหารและมีน้ำเปลี่ยนถ่ายพอเพียง นอกจากนั้นควรใช้จุลินทรีย์เติมลงไปช่วยย่อยสลายสารอินทรีย์และทำให้พื้นบ่อสะอาด สีน้ำจะไม่เข้มมาก โดยทั่วไปจะนิยมเติมจุลินทรีย์ทุกๆ 7-10 วันเช่นเดียวกับการเติมโดโลไมท์ทุกๆ 10 วัน