หน้าแรก สมาชิก รายการวัตถุมงคล ตะกร้าวัตถุมงคล วิธีชำระวัตถุมงคล วิธีบูชาวัตถุมงคล ประวัติวัด ติดต่อวัด เว็บบอร์ด
สมาชิก Log in
อีเมล์
รหัสผ่าน
สมัครสมาชิกใหม่
ลืมรหัสผ่าน
















ค้นหาวัตถุมงคล
 
 
 
หมวดวัตถุมงคล
  เครื่องราง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง หลวงพ่อสวัสดิ์
  พระเครื่อง หลวงปู่พิมพ์มาลัย
  พระเครื่อง หลวงพ่อสง่า
วัตถุมงคลของคุณ
รหัสวัตถุมงคล ราคา จำนวน
ยังไม่มีวัตถุมงคลอยู่ในตะกร้า
  • ชำระค่าวัตถุมงคล
  • แก้ไขรายการวัตถุมงคล
  • วิธีสั่งบูชาวัตถุมงคล
  •  

    คนดีผีคุ้ม
    คนดีผีคุ้ม
    โดย ท.เลียงพิบูลย์

    จากหนังสือกฎแห่งกรรม
    ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เล่ม ๒



    เมื่อข้าพเจ้าได้รับจดหมายมีมากด้วย ความบางฉบับก็บันทึกชีวิตที่ได้เกิดขึ้นแก่ผู้บันทึกมาแล้ว ได้พิจารณาก็ทำให้เศร้าใจ คิดว่าสังคมของมนุษย์ทุกวันนี้จิตใจเสื่อมทราม คนประกอบกรรมชั่วผิดศีลธรรมเห็นแก่ตัว ไม่สนใจว่าใครจะเดือดร้อน ได้รับความเสียหายทำลายอนาคตของผู้อื่นให้ย่อยยับ เพียงให้ตัวได้รับความสนุกสนานตามอารมณ์ที่ปรารถนา มนุษย์พวกเป็นมารสังคมนั้น มีจิตใจวิปริตผิดปกติธรรมดาของบุคคลทั่วไป

    ข้าพเจ้าขอพาท่านไปพบกับมารสังคม ที่ท่านสุภาพสตรีเป็นผู้บันทึกมาให้ บางทีท่านจะได้มีเวลาพิจารณามนุษย์จิตชั่ว แต่ปากหวาน คอยเอาอกเอาใจ แสดงท่าทางเป็นสุภาพบุรุษ กำลังมาอยู่ใกล้ตัวท่าน จะได้มีเวลาพิจารณาดูว่าเป็นสุภาพบุรุษแท้หรือปลอม จะได้ปลีกตัวให้ห่างไกลก่อนที่จะสายเกินไป เมื่อได้เห็นลวดลายดังเรื่องที่เกิดขึ้นมาแล้ว ข้าพเจ้าได้บันทึกมาถ่ายทอดให้ท่าน ได้มีโอกาสอ่านแล้วใช้สติปัญญาเพื่อความไม่ประมาทต่อไป

    ดิฉันได้ทำงานอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่ง มีตำแหน่งการงานพอจะเลี้ยงตัวได้ หากเราไม่ฟุ่มเฟือยเกินไป ฉะนั้นดิฉันมีชีวิตอยู่ด้วยความมักน้อยสันโดษ ชีวิตครองเรือนของดิฉันก็อยู่ได้โดยปกติไม่เดือดร้อนอะไร แม้ดิฉันจะมีบุตรที่ต้องเลี้ยงดูอีก ๒ ชีวิต เพราะแกขาดพ่อที่ให้ความอบอุ่น

    เมื่อมีชีวิตอยู่แกก็ต้องกำพร้าพ่อเมื่ออายุยังน้อย ดิฉันได้เลี้ยงดูแกมาด้วยความถนอมกล่อมเกลี้ยง สั่งสอนอบรมศีลธรรม เมื่อโตขึ้นจะได้เป็นพลเมืองดี หลังจากสามีได้จากไปอย่างไม่มีวันกลับ นอกจากบุตรสองคนแล้ว ดิฉันยังมีคุณแม่ของสามีที่ต้องเลี้ยงดูอีกท่านหนึ่ง ดิฉันทะนุบำรุงท่านเหมือนพระที่เคารพบูชา เพราะถือว่าท่านมีพระคุณสูงสุดผู้หนึ่ง

    แม้ดิฉันจะมีสามีและบุตรสองคนก็ดี แต่สุขภาพของดิฉันก็มีผิวพรรณเปล่งปลั่งเป็นที่ต้องตาคนทั่วไป มีผู้ร่วมงานเป็นผู้หญิงหลายคนถามดิฉันว่า "พี่มีวิธีเสริมสวยได้อย่างไรนะ รูปร่างสวยพริ้งอยู่เสมอ หญิงสาวๆ สู้ไม่ได้ หรือมียาที่กินแล้วไม่แก่ หรือบริหารร่างกายอย่างไร บอกหนูบ้างซิ หนูจะได้ปฏิบัติให้สวยอย่างพี่"

    ดิฉันหัวเราะไม่รู้ตอบอย่างไร เพียงแต่แนะนำว่า ทำให้ใจสบาย อย่ามีกังวล อย่ามีโมโหง่าย ก็คงจะทำให้เราแก่ช้า แต่เรื่องก็เป็นความจริง เพราะแม้แต่ดิฉันจะต้องเสียสามีที่รักยิ่งต้องจากไปอย่างไม่มีวันกลับ แต่ดิฉันก็หักใจ มิให้ความเศร้าโศกเสียใจเกินไป เพราะนึกว่าการตายจากกันเป็นธรรมดาต้องตายด้วยกันทุกคน ไม่มีใครหนีพ้น เมื่อคิดได้แล้วเราจะเสียอกเสียใจทำไม ทำให้ร่างกายสุขภาพและจิตใจเสื่อมโทรม โดยมีแต่โทษไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรดีขึ้น ฉะนั้นดิฉันจึงระงับได้ปัดความเสียใจทิ้งไป

    ดิฉันเคยเห็นมาแล้วมีหญิงบางคนสามีที่รักตายจากไป เธอจะเศร้าโศกเสียใจมากเพราะขาดสติ ไม่เป็นอันกินอันนอน ถึงกับร้องไห้โฮ ตีอกชกดิ้นเหมือนเด็กๆ แล้วก็อยากจะฆ่าตัวตายตามสามี เช่น อยากกระโดดน้ำตาย อยากกินยาตาย ต้องมีคนคอยปลอบคอยระวัง แต่แล้วไม่นานเธอก็มีคู่ควงคนใหม่ ลืมความเสียใจสุดสิ้นลง จิตใจเบิกบาน ที่ดิฉันพูดมิใช่ว่าดิฉันจะติเตียนหัวอกลูกผู้หญิงด้วยกัน แต่เป็นความจริงที่เคยพบเคยเห็นมาก่อน

    สำหรับดิฉันตั้งใจว่าจะไม่ยอมมีคู่ครองอีกอย่างเด็ดขาด เพราะดิฉันมีปัญญามีความรู้พอที่ไม่ต้องพึ่งใคร ดิฉันสามารถเลี้ยงตัวเองและเลี้ยงลูกให้การศึกษาแกได้อย่างไม่ต้องเดือดร้อน ไม่อยากให้ลูกได้รับความกระเทือนใจ เมื่อแม่ขาดความเอาใจใส่ใกล้ชิด เพราะแม่มีพ่อเลี้ยงเป็นอันขาด ดิฉันได้ตั้งใจอย่างแน่วแน่ และจะปฏิบัติตัวเป็นโสดตลอดไป เมื่อเลี้ยงลูกจนโตให้การศึกษามีวิชาความรู้พอเลี้ยงตัวได้ ก็อยากจะปลีกตัวหาเวลาศึกษาธรรม หาความสุขในทางสงบในบั้นปลายของชีวิต

    การทำงานอยู่ในกลุ่มชนก็ต้องมีการติดต่อทางสังคมเป็นธรรมดา เราจะเก็บตัวนักก็ไม่ได้ ฉะนั้นดิฉันก็ออกสังคมบ้างเป็นครั้งคราว มีผู้หญิงร่วมงานกับดิฉันและเพื่อนสนิทของเธออีกคนหนึ่ง ชอบมาชวนให้ดิฉันไปกินอาหารกับแกเสมอ โดยแกเป็นผู้ออกเงินตลอดเวลา แต่ดิฉันไม่ยอมเอาเปรียบเพื่อน ฉะนั้นดิฉันจึงไม่ค่อยจะไปบ่อยนัก โดยอ้างว่ามีงานมาก มีธุระ นานๆ เสียไม่ได้ เพราะเกรงใจจึงจะไปสักครั้งหนึ่ง ครั้งหลังๆ นี้เมื่อไปกินอาหารกัน ก็มีเพื่อนชายของเธอร่วมด้วยสามคน เป็นคนภูมิฐานแสดงกิริยาสุภาพเรียบร้อย แต่ดิฉันไม่ยอมให้ความสนิทสนมมากนัก เพราะคิดว่ามนุษย์ในยุคนี้มีพวกจิตทรามมาก

    แล้วต่อมาเย็นวันหนึ่งดิฉันไปกินอาหารค่ำกับเพื่อนหญิงทั้งสอง แต่ก็ไม่พบสุภาพบุรุษสามคนซึ่งคอยอยู่ที่ร้านอาหารก่อนแล้ว เนื่องด้วยอาการแสดงกิริยาเป็นสุภาพบุรุษเต็มตัว ดิฉันก็ไม่นึกอะไรมาก นอกจากเคยร่วมกินอาหารเที่ยงกันหลายครั้งแล้ว แต่คืนนั้นเป็นคืนแรกที่ไปกินอาหารค่ำ ดิฉันเกรงใจ ตั้งใจจะรีบกลับ เพื่อนทั้งสองทั้งอ้อนวอน ขอให้อยู่เป็นเพื่อนก่อน ดิฉันเสียอ้อนวอนไม่ได้ก็ยอม

    คืนนั้นหลังจากกินอาหารค่ำแล้ว ชายทั้งสามก็อาสาจะขับรถมาส่งดิฉันที่บ้าน และส่งเพื่อนหญิงอีกสองคนทีหลัง ดิฉันไม่ค่อยสบายใจนักเมื่อชายคนหนึ่งขอร้องให้ไปส่งที่ปากน้ำ ขอให้เราไปเป็นเพื่อนกันทั้งหมด ดิฉันไม่พอใจ แต่ก็ไม่อยากแสดงความรู้สึกออกนอกหน้า รถแล่นออกจากกรุงเทพฯ มุ่งไปปากน้ำ ดิฉันต้องอดทนนั่งนิ่ง ไม่ยอมพูดอะไรกับคนขับหรือผู้เป็นเจ้าของรถเก๋ง ซึ่งแกพยายามจะชวนพูดชวนคุยตลอดมา เพราะดิฉันรู้สึกว่าคนขับ กำลังจะแสดงสัญชาติชั่วออกมาทางวาจาให้เห็น ความเป็นสุภาพบุรุษกำลังจะหมดไป แกพูดแทะโลมดิฉันตลอดมา

    ส่วนพวกที่นั่งหลังตอนในหญิงสองชายสองนั่งสลับกัน เสียงหัวเราะคิกคักหยอกล้อกันเป็นคู่ๆ อย่างหมดความอาย ดิฉันนึกชั่งน้ำหน้านึกบัดสีแทนเพื่อนหญิง ไม่นึกว่าจะเป็นคนใจง่ายปล่อยตัวเหมือนอย่างหญิงขายตัว ทำให้ดิฉันนึกเอะใจขึ้นมาว่า นี่เขาคงร่วมใจกันวางแผนไว้นานแล้ว นี่เรากำลังตกหลุมที่เขาดักไว้ ดิฉันคิดแล้วไม่สบายใจ นั่งนิ่งคอยระวัง เมื่อถึงปากน้ำไม่มีใครลง เขาขอร้องว่าจะเลยไปบางแสนโดยไม่ผ่านเข้าไปในตลาดปากน้ำ ดิฉันขอร้องให้ส่งดิฉันกลับบ้านหรือไม่ก็ส่งลงปากน้ำ ดิฉันจะต่อรถกลับบ้านเอง

    แต่ทุกคนพูดจาอ้อนวอนขอร้องแกมบังคับให้ดิฉันไปเป็นเพื่อนถึงบางแสน และไม่ยอมให้ดิฉันลงจากรถ บอกว่าเดือนหงายๆ หาโอกาสเช่นนี้ได้ยากแล่นรถชมจันทร์ถึงบางแสนแล้วก็กลับ ดิฉันนึกในใจว่าเราเสียรู้เขาเสียแล้ว อยากโดดลงจากรถ คิดดูว่ารถกำลังแล่น ถ้าเราเปิดประตูโดดลงก็คงบาดเจ็บอาจขาหักถึงตายก็ได้ ทำไมเราจะต้องคิดเสี่ยงบ้าๆ อย่างนี้ แต่คนอย่างดิฉันจะไม่ยอมให้ใครมาข่มเหง รังแกเล่นง่ายๆ จึงคอยหาช่องทางที่จะให้หลุดพ้นจากเจ้าพวกบ้าตัณหา หาทางออกจากรถโสมมคันนี้ไปให้ได้ ดิฉันคอยระวังตัวอยู่ตลอดเวลา เจ้าคนขับรถลวนลามดิฉันหนักขึ้น ใช้มือข้างซ้ายสอดมาข้างหลังกำลังพยายามจะโอบกอดเหนี่ยวรั้งตัวดิฉันให้เข้าชิดตัวมัน ส่วนมือขวานั้นกุมพวงมาลัยมือเดียว สายตามันมองไปข้างหน้ารถ ดิฉันโกรธมาก ทำตัวแข็งขืนไว้ไม่ยอมให้มันทำเล่นง่ายๆ มันเห็นคนอื่นใจง่าย ต่ำช้าเลวทราม แล้วมันจะตีค่าตัวดิฉันต่ำไปด้วย

    แม้ดิฉันจะโกรธมากแต่ก็ไม่ยอมเสียสติ คอยจ้องคิดหาทางจะป้องกันตัวอย่างไรดี จะสั่งสอนพวกมนุษย์ใจชั่วให้มันรู้สึกว่า มันจะรังแกผู้หญิงเล่นง่ายๆ ไม่ได้ มันคงทำกับหญิงสาวแบบนี้มานานแล้ว นี่กลัวอับอายขายหน้าก็ไม่กล้าเปิดเผยมันจึงได้ใจ มันกำลังเหนี่ยวรั้งตัวดิฉันเข้าไปในอ้อมกอด

    พวกหญิงชายที่นั่งตอนหลังก็เห็นเป็นของสนุก เพราะหญิงทั้งสองชินต่อการทอดกายให้ชายกอดจูบอย่างสิ้นความอาย ดิฉันเห็นท่าไม่ดีเพราะไม่มีทางอื่น จึงใช้เสียงตวาดออกไปด้วยความอดทนว่า

    “หยุดนะ อย่าใช้กิริยาบ้าๆ อย่างสัตว์ป่ากับฉันเป็นอันขาด มิฉะนั้นพวกคุณจะเสียใจ ฉันไม่ใช่หญิงใจง่าย อย่างพวกนางกากีที่จะทำได้ตามสบาย” เสียงดิฉันดังและสนั่น เพราะความโกรธสามารถทำให้เจ้าคนขับต้องงงหยุดชะงักจังงัง คงไม่นึกว่าจะมีหญิงที่จิตใจเข้มแข็งเอาจริงเอาจังอย่างดิฉัน ไม่ยอมให้ทำเล่นง่ายๆ ทำให้หญิงชายที่นั่งอยู่ข้างหลังหยอกล้อกันอย่างเพลิดเพลินต่างก็งงงัน ต้องชะงักเช่นเดียวกัน

    ดิฉันขู่สำทับต่อไปว่า “หยุดรถที่นี่เดี๋ยวนี้ ฉันไม่ยอมร่วมทางไปกับพวกใจสัตว์ เพราะมันจะต้องพบกับจุดจบ รถจะต้องคว่ำหรือถูกชน หรือตกถนน ขอให้คนชั่วในรถตายทั้งหมด”

    พวกมันตกตะลึงเพราะไม่นึกว่าดิฉันปากร้ายสาปแช่งเช่นนั้น เพราะเคยเห็นดิฉันเป็นคนสุภาพเรียบร้อย ถึงเวลาก็เหมือนเสือแม่ลูกอ่อน เจ้าคนขับรถมันงงไปอีกพักหนึ่ง แล้วพอมันคุมสติได้ก็แสดงกิริยาโกรธมาก คงจะนึกอายเพื่อนๆ จึงแสดงกักขฬะ ใช้กำลังเจ้าชู้ยักษ์ เหมือนเสือร้ายจะเข้าตะครุบเหยื่อ

    มันพยายามเหนี่ยวตัวดิฉันเข้าจะไปกอดเป็นการลองดี ไม่สนใจว่าดิฉันจะใช้มือตบตีหยิกข่วนทำอะไรกับมัน แต่ดิฉันคอยทีอยู่แล้ว พอมันจะโถมกอดรั้งตัวเข้าไป ดิฉันเอี้ยวหลังคว้ามือมันไปบิดหักแล้วก็ใช้ปากกัดที่แขน มันร้องสุดเสียงเพราะเจ็บปวด เท่าที่แรงปากดิฉันจะกัดมันได้และไม่ยอมปล่อย

    มันร้องห้ามล้อหยุดรถข้างทางใช้มืออีกข้างหนึ่งจะตบหน้าดิฉัน แต่มันตบไม่ถนัดมันจึงยันหน้าดิฉันเพื่อให้แขนมันหลุดจากปากแต่ไม่เป็นผล ดิฉันไม่ยอมปล่อยรู้สึกมันโกรธมาก มันใช้มือบีบจมูก ดิฉันหายใจไม่ออกไปพักหนึ่ง ไม่สามารถจะทนต่อไปได้จึงต้องปล่อย มันโกรธจนตาลุกวาวมันพยายามจะโดดเข้ามาทำมิดีมิร้าย ดิฉันไม่รู้จะป้องกันแก้ไขอย่างไรกับคนบ้ากามเช่นนี้ ดิฉันร้องได้คำเดียวว่า “คุณพี่ช่วยด้วย”

    ดิฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามีความหมายว่าอะไร แต่รู้สึกว่าไอ้คนชั่วกำลังบ้าจะขยี้ดิฉันอยู่แล้ว ก็ชะงักเพราะได้ยินเสียงเหมือนถูกตบหน้าดัง “เพี้ยะ” ทำให้มันงงงันไปหมด ดิฉันก็ไม่รู้ว่าใครตบ ดิฉันเลยถือโอกาสตอนที่มันตกตะลึงงงงัน รีบเปิดประตูข้างตัวลุกวิ่งหนีออกมานอกรถ แต่คิดว่าวิ่งไปทางใดก็ไม่พ้นแน่ พอดีมีเมฆลอยมาบังดวงจันทร์ทำให้มืดมิดลง ดิฉันถือโอกาสวิ่งไปหมอบราบติดกองหินข้างทางสูงพอจะบังได้ ดิฉันภาวนาในใจว่าให้คุณพี่ช่วยบังดิฉันอย่าให้มันเห็นตัว สีหินที่กองอยู่ข้างถนนเป็นระยะๆ กับสีเสื้อของดิฉันมันกลมกลืนกับกองหิน จึงเหมาะเป็นที่กำบังตัวได้อย่างดี ทำให้ดิฉันปลอดภัย

    เมื่อเมฆพ้น มันพยายามค้นหาดิฉันแต่ก็ไม่เห็น เสียงมันพูดกัน ดิฉันได้ยินอย่างชัดเจนเสียงของชายที่ลวนลามดิฉันต่อว่าหญิงในรถว่า ทำไมเธอจึงไปเอาแม่เสือเข้ามาในรถนี่ ถ้ามันหนีรอดไปได้เราคงยุ่งกันใหญ่ มันไวจนไม่รู้ว่ามันหลบหนีไปทางไหน ไม่น่าเชื่อหายตัวเหมือนแม่มด ทำให้เราลำบากแน่ นึกว่าฝึกเสือจนเชื่องแล้ว ไม่เคยนึกว่ามันจะเป็นแม่เสือที่ดุร้าย มีเขี้ยวเล็บที่แหลมอย่างนี้ดูซิแขนฉันแทบหัก ถ้าบีบจมูกไม่ทันเนื้อคงจะติดปากมันแล้ว

    เสียงผู้หญิงพูดว่า “ตามปกติแกก็เป็นคนสุภาพเรียบร้อย และเป็นคนโกรธยาก อารมณ์ดี ไม่นึกว่าเวลาโกรธนั้นยิ่งกว่าเสือร้าย นี่ฉันคงเข้าหน้าแกไม่ติด และเรื่องคงจะขายหน้ากันถึงไหนไม่รู้”

    เสียงผู้ชายอีกคนหนึ่งพูดปลอบว่า “อย่าเป็นทุกข์เป็นร้อนไปเลย ฉันเชื่อแน่ว่ามันไม่กล้าเอาเรื่องไปเล่าให้ใครรู้ เพราะมันก็เสียหายมากเหมือนกัน ถ้ากลัวก็เอาเงินฟาดหัวปิดปากมันเสีย เรื่องก็เงียบหายไปไม่ต้องกลัวมัน เรื่องเล็ก ถ้ามันจะเอาเรื่องก็ไม่มีพยานหลักฐานอะไร พวกเราตั้งห้าคนมันคนเดียวใครเขาจะเชื่อมัน สงสารแต่เจ้า หมายมั่นปั้นมือคิดว่าจะสนุกสนานให้เต็มที่กลับผิดหวัง มาเราไปบางแสนกันดีกว่า ไปสงบอารมณ์ชายหาดกันสักพักหนึ่งค่อยกลับ ปล่อยให้มันไปตามลำพังเถิด อย่าตามให้เสียเวลา มันไวยังกับผี แพล้บเดียวหายตัวไปเลย”

    เสียงผู้หญิงพูดขึ้นว่า “ไม่เอาละฉันกลัวคำสาปแช่ง มันเย็นเข้าไปถึงหัวใจ อยากกลับบ้าน มันเกิดเรื่องไม่สบายใจใครจะไปสนุกได้ เงินไม่มีความหมาย ไม่เกิดประโยชน์สำหรับคนผู้นี้ฉันรู้ใจดี เรื่องมันจะขายหน้ากันใหญ่ ไม่มีแก่ใจจะสนุกแล้ว”

    เสียงผู้ชายพูดขึ้นว่า “ใจเย็นๆ ฉันรับรองว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นแน่ อย่าเป็นทุกข์เป็นร้อนไปเลย ขึ้นรถเร็วไปเดี๋ยวนี้ ถ้าใครมาพบเรากำลังวิ่งไล่จับมันก็จะมีพยานแก้ตัวไม่หลุดจะเกิดเรื่องแน่”

    แล้วดิฉันก็ได้ยินเสียงรถยนต์ค่อยๆ ไกลออกไปทางบางแสน ดิฉันค่อยๆ เงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นปลอดภัยจึงลุกขึ้นปัดฝุ่นละอองหินออกจากเสื้อผ้า รู้สึกตัวว่าขะมุกขะมอม และดีใจที่ได้ผ่านความสะอิดสะเอียนของชายใจชั่ว เมื่อเข้าไปใกล้นึกรังเกียจ เมื่อได้กลิ่นเหล้าฟุ้งออกจากปากและลมหายใจทำให้ขยะแขยง สุดสิ้นเสียที ดิฉันพยายามเดินกลับเพื่อจะได้พบรถผ่านมา จะได้ขอขึ้นรถกลับ เวลานั้นทางสายนี้ไม่ค่อยมีรถผ่านไปมามากเหมือนปัจจุบัน ดิฉันต้องเคว้งคว้างอยู่คนเดียวในยามเงียบสงัดบนท้องถนนกลางดึก ดิฉันก็นึกถึงคุณพี่แล้วพูดว่า

    “ขอช่วยให้น้องกลับบ้านเร็วๆ และปลอดภัยด้วยเถิด ป่านนี้คุณแม่และลูกๆ คงเป็นห่วงเป็นทุกข์เป็นร้อน เพราะไม่เคยกลับดึกมาก่อน” คนอื่นเขารู้สึกอย่างไรที่ดิฉันหวังลมๆ แล้งๆ เชื่องมงายในเรื่องผีสางวิญญาณ แต่ดิฉันไม่สนใจใครจะว่าอย่างไร นึกอย่างไร เพราะมนุษย์เรามีจิตใจและประสบการณ์แต่ละบุคคลไม่เหมือนกัน

    สำหรับดิฉันเชื่อว่าในโลกนี้มีวิญญาณจริงไม่มีข้อสงสัย แต่เป็นสิ่งที่ลี้ลับพิสูจน์ไม่ได้ เมื่อดิฉันได้ปลอบใจตนเองให้มีความหวัง แล้วไม่นานก็มองเห็นแสงโคมหน้ารถยนต์แล่นมาแต่ไกล คิดว่าจะขอโดยสารเข้ากรุงเทพฯ แต่ก็กลัวจะไปพบมนุษย์ใจชั่วอย่างที่แล้วมาอีก เหมือนหนีเสือปะจระเข้ แต่คิดอีกทีว่ามนุษย์ที่ดียังมีอีกมากและก็จำเป็นที่สุดไม่มีทางเลือก

    เมื่อรถกำลังจะผ่านมาใกล้ ดิฉันก็ออกไปยืนโบกมือพอรถเข้ามาใกล้ก็หยุดและเสียงในรถร้องทักออกมา ทั้งเสียงหญิงและชายอย่างตื่นเต้นว่า “คุณพี่” ดิฉันอยู่หน้ารถมองไม่เห็นคนในรถ เพราะไฟหน้ารถมันแยงตา แต่ดิฉันจำเสียงเหมือนจะคุ้นหู พอจะขึ้นไปนั่งมองเห็นคนขับก็เกิดตื่นเต้นดีใจที่เห็นญาติของดิฉันเอง ฝ่ายชายเป็นลูกของอา ฐานะเป็นน้อง ส่วนหญิงเป็นน้องสะใภ้ ดิฉันตื่นเต้นดีใจจนพูดไม่ออก เพราะไม่นึกฝันจะมาพบญาติในยามวิกาลเช่นนี้ เมื่อนั่งบนรถเรียบร้อยแล้วก็เดินทางเข้ากรุงเทพฯ น้องชายและน้องสะใภ้ได้มากันถามถึงสาเหตุที่มาเดินบนถนนคนเดียวในยามค่ำคืน น่ากลัวภัยอันตรายเช่นนี้คงมีเรื่องแน่ๆ ดิฉันก็เล่าเหตุที่เกิดขึ้นให้ฟังตั้งแต่ต้นจนจบ น้องชายดิฉันโกรธมาก กัดฟันขบกรามพูดเสียงสั่นๆ อย่างแค้นและเจ็บใจ

    “ขอให้ผมได้พบกับไอ้พวกหมานรกสักครั้ง ผมจะคิดบัญชีแทนพี่เอง”

    ดิฉันได้แต่ปลอบแกว่า “อย่าคิดอาฆาตพยาบาทมันเลย กรรมชั่วย่อมติดตามไปลงโทษมันในวันหนึ่งข้างหน้าเป็นแน่ เพราะอ้ายพวกนี้มันไม่เลือกว่าลูกเขาเมียใคร มันคงสร้างกรรมไว้มาก ถ้ามันมีเงินทองจะใช้หนี้กรรมก็ลบล้างชั่วไม่ได้ ปล่อยให้มันเป็นไปตามกฎแห่งกรรมดีกว่า ดินฟ้าอากาศต้องลงโทษมันเอง”

    เมื่อน้องชายดิฉันได้ฟังยังไม่หายโกรธ พูดเสียงขุ่นๆ ว่า “คอยกรรมคอยเวรมันช้าเกินไป ไม่ทันใจผม”

    ดิฉันพยายามปลอบแกว่า “อย่าไปแตะต้องความชั่วของมันด้วยโทสะ จะเป็นสื่อทำให้เรามีความผิดไปด้วย ความชั่วของมันผิดทั้งทางโลกและทางธรรม พี่เชื่อว่ามันอยู่ได้ไม่นาน กรรมชั่วก็ตามทัน”

    น้องชายดิฉันคลายโทสะลง แล้วก็เล่าให้ฟังว่า “ผมสังหรณ์ใจเหลือเกิน เราตกลงตั้งใจจะกลับบ้านพรุ่งนี้เย็น แต่ทำไมไม่รู้เหมือนมีเสียงกระซิบที่หู ได้ยินแต่คำว่า กลับบ้าน กลับบ้าน ซ้ำๆ ผมจึงเกิดนึกว่าทางบ้านคงจะมีเรื่องอะไรสักอย่างหนึ่ง จึงได้เกิดสังหรณ์ใจขึ้น คิดแล้วก็อยู่ไม่ได้ ผมจึงได้สั่งให้เก็บของและกลับบ้านเดี๋ยวนี้”

    เสียงน้องสะใภ้พูดสอดขึ้นว่า “อะไรก็ไม่รู้ อยู่ๆ พี่เขาก็บอกให้หนูรีบเก็บของ อย่างไม่ทันรู้ตัว เร่งหนูจนแทบหายใจไม่ทัน บอกว่าต้องรีบกลับบ้านเร็วๆ สังหรณ์ใจว่าจะมีเรื่องเกิดขึ้นแน่ ตกลงบอกว่าจะพักอีกคืนหนึ่งก็ต้องเลิกล้มไป”

    น้องสะใภ้ของดิฉันคนนี้ เป็นชาวบางปลาสร้อย พ่อแม่มีหลักฐานอยู่เมืองชลบุรี เมื่อมีเวลาน้องชายและน้องสะใภ้ก็จะพากันไปพักผ่อนบ้านพ่อแม่ของภรรยา แต่เหตุการณ์ก็ได้เกิดขึ้นดังที่ได้รู้กันแล้ว

    คืนนั้นน้องชายเอารถมาส่งดิฉันถึงบ้าน ก่อนอื่นเมื่อดิฉันอาบน้ำชำระกาย แล้วก็เข้าไปในห้องพระกราบไหว้ นึกถึงพระพุทธคุณ แล้วก็มากราบที่โกศของสามี แสดงความขอบคุณที่ทำให้ดิฉันรอดกปากเหยี่ยวปากกาได้อย่างหวุดหวิด ตามปกติดิฉันเมื่อบูชาพระแล้ว ดิฉันก็มากราบไหว้อัฐิกระดูกปู่ย่าตายายของฝ่ายดิฉันและสามี เมื่อถึงปีเวลาสงกรานต์ก็ชำระอาบอัฐิให้สะอาด แล้วเรียกลูกๆ เอาน้ำอบมาพรมบนอัฐิเหมือนรดน้ำผู้ใหญ่ แล้วนำไปวัดนิมนต์สงฆ์บังสกุล

    บางปีก็นิมนต์พระมาฉันที่บ้าน แล้วสวดมนต์บังสกุลกระดูก แล้วอุทิศส่วนกุศลแผ่ไปให้ทั่วกัน แล้วแต่ความสะดวกและเวลา เสร็จแล้วก็นำมาไว้ที่เดิมและกราบไหว้ต่อไปทำเป็นประจำปี นี่ก็เห็นตัวอย่างพ่อแม่ทำตามกันมาและทำต่อไป เพราะคิดว่าเป็นสิริมงคล ทำให้จิตใจสบาย เมื่อมีเหตุร้ายก็ระลึกถึงวิญญาณของสามี ให้ช่วยปัดเป่าเหตุร้ายได้ก็ผ่านพ้นไปด้วยดี

    คืนนั้นดิฉันนอนหลับสนิทเห็นจะเป็นเพราะเหน็ดเหนื่อยมาก จำได้ว่ารุ่งขึ้นเป็นวันอาทิตย์ เพราะดิฉันไม่ต้องไปทำงานอยู่บ้านกับลูกๆ พอวันจันทร์ เช้าไปทำงานตามปกติ ดิฉันสังเกตเห็นคนในสำนักงานหน้าเศร้าๆ ซุบซิบกัน ดิฉันคิดว่าพวกนี้เขาพูดนินทาอะไรกัน ทำให้ใจคอไม่สบาย คิดเลยไปว่าเขาคงนินทาเราก็ไม่รู้ ใจไม่ดี กลัวพวกเขาจะเข้าใจในทางที่ผิด กลัวจะมีคนใส่ร้ายจะเกิดเสียหาย

    แต่ดิฉันก็ทำใจสงบ นั่งลงทำงานอย่างปกติไม่สนใจใคร แต่แล้วเด็กสาวคนหนึ่งอยู่ในวัยกำลังงาม แต่ยังไม่เดียงสาต่อโลกนักเดินหน้าเศร้า น้ำตาไหลเข้ามาพูดกับดิฉัน เสียงคลอไปด้วยน้ำตาและสะอื้นว่า

    “พี่ขา คุณ..... แกตายแล้วค่ะ”

    พอดิฉันได้ยินและทราบว่าคุณ..... แกตายแล้วค่ะเท่านั้น ดิฉันก็สะดุ้งตัวเย็นวาบ เป็นไปได้หรือนึกไม่ถึง ทำไมตายง่ายอย่างนี้ล่ะ ดิฉันย้อนถามแกว่า “หนูรู้ได้อย่างไร แกเป็นอะไรตาย”

    เด็กสาวสะอื้นแล้วพูดว่า “เมื่อครู่นี้ทางบ้านแกโทรศัพท์มาให้ช่วยบอกเชิญ ว่าจะมีการรดน้ำศพที่วัด..... ในเย็นวันนี้”

    ดิฉันได้ยินแน่ใจก็ตกตะลึง พอได้สติจึงถามว่า “ทางบ้านเขาบอกหนูหรือเปล่าว่าเป็นอะไรตาย”

    เสียงสะอื้นในลำคอบอกเสียงสั่นว่า “รถยนต์ชนกัน คว่ำตกถนนตายหมด มีบางคนมาสิ้นใจที่โรงพยาบาล หนูสงสารเหลือเกิน แกนัดว่าจะชวนหนูไปกินข้าวในเย็นวันอังคาร แล้วจะพาหนูไปดูหนัง หนูก็รับปาก เช้านี้ก็ได้ข่าวร้ายว่าแกตายเสียแล้ว หนูใจหายหมดทำอะไรไม่ถูก”

    ดิฉันนึกปลงอนิจจังและนึกสังเวชชีวิตของมนุษย์ และนึกถึงเด็กสาวที่ยังอ่อนต่อโลกแต่โชคดี เพราะไม่มีโอกาสจะได้พบกับพวกมารสังคมพวกนี้ต่อไป มิฉะนั้นเธอจะต้องเสียใจ ถ้าพลาดท่าก็ต้องตกเป็นเหยื่อมนุษย์ใจชั่ว บ้าตัณหา บัดนี้มันต้องรับใช้หนี้กรรมไปแล้ว สุดสิ้นชีวิตโสมมเสียที นี่เป็นมุมหนึ่งของความสกปรกโสมมที่ดิฉันประสบมา

    ตอนเย็นก่อนที่ดิฉันจะแต่งดำไปงานรดน้ำศพ เพราะเรื่องที่เกิดขึ้น ดิฉันได้อโหสิกรรมให้แก่คนตายหมดแล้ว หลังจากเลิกงานแล้ว น้องชายดิฉันได้มาที่บ้านเพราะยังไม่หายโกรธแค้น ถามถึงชื่อเสียงและที่อยู่จะได้ไปคิดบัญชีกับอ้ายคนชาติชั่วเป็นภัยต่อสังคมให้ได้ แม้กฎหมายจะไม่สามารถเอาตัวมันมาลงโทษได้

    ดิฉันไม่ได้ตอบคำถามแก เพียงหยิบหนังสือพิมพ์ประจำวัน ชี้ให้แกดูที่ลงข่าวรถคว่ำ คนในรถตาย ภาพถ่ายบนหนังสือพิมพ์มีรูปรถบู้บี้ทั้งคัน เป็นภาพประกอบข่าว แกหยิบมาอ่านดูด้วยความตื่นเต้น

    ดิฉันบอกแกว่า “เมื่อก่อนที่พี่จะหนีลงจากรถ ก็สาปแช่งมันให้เกิดอุบัติเหตุตายทั้งคันรถ แต่ไม่นึกว่าคำพูดของพี่ไปบังเอิญเข้ากับเหตุการณ์ ไม่รู้จะมีบาปกรรมหรือเปล่า เพราะมีส่วนสาปแช่งให้เป็นความจริง เพราะความโกรธแค้นมาก ซึ่งไม่เคยโกรธมากเช่นนี้มาก่อนเลยในชีวิตพี่”

    หลังจากอ่านข้อความในหนังสือพิมพ์ น้องชายดิฉันก็คลายความโกรธความแค้นความพยาบาทลงได้บ้าง เพราะไหนๆ พวกนั้นก็ตายไปหมดแล้ว พูดออกความเห็นว่า

    “สมกับความชั่วที่สนองมันแล้ว พี่ไม่ต้องกลัวบาปกลัวกรรมอะไรหรอก เพราะพี่เป็นคนสร้างกรรมดี มีความกตัญญู มีจิตใจบริสุทธิ์ สิ่งเหล่านี้เป็นพลัง ด้วยอำนาจคำพูดของผู้ที่มีใจบริสุทธิ์สุจริต ถ้าตั้งใจย่อมศักดิ์สิทธิ์เป็นเหตุบังเอิญก็ได้ แต่ทำอย่างไรมันก็ต้องใช้หนี้กรรม เป็นการสมควรแล้วที่มันตายเสียได้ก็ดี ถ้าไม่มีใครรู้เบื้องหลังเขาก็สงสาร ถ้าใครรู้เบื้องหลังเขาก็สมน้ำหน้าว่าอยู่ไปก็หนักแผ่นดิน

    ถ้ามันมีชีวิตอยู่ก็ไม่รู้จะสร้างกรรมต่อไปอีกนานเท่าใด ถ้าคำสาปแช่งของพี่เป็นปากพระร่วง พี่ก็ควรจะได้รับความดีความชอบเป็นการกุศล เหมือนนารายณ์ปราบยักษ์ที่ได้ทำลายล้างคนชั่วลงได้และคงจะช่วยคนดีไว้อีกมาก ผมก็คิดว่าวิญญาณของคุณผู้ชายก็คงคอยคุ้มครองป้องกันอยู่ตลอดเวลา คงจะไม่ปล่อยให้พี่ได้รับอันตรายแน่ เพราะพี่เป็นหญิงใจเดียวที่ซื่อสัตย์สุจริตต่อสามี แม้แต่จะตายจากไปนานแล้ว เขาเรียกว่าคนดีผีคุ้ม ถึงเวลาคับขันก็ไม่เกิดอันตรายรอดพ้นมาได้ คนใจชั่วผีก็หนีไม่คุ้มครอง มันต้องตายโหง”

    เมื่อพูดถึงคุณผู้ชายดิฉันก็นึกได้ว่า เมื่อตอนจวนสว่างดิฉันฝันเห็นสามีดิฉันเดินยิ้มเข้ามาพลางพูดว่า “หายตกใจหรือยังต่อไปนี้ไม่ต้องกลัวมันอีกแล้ว” ในฝันดิฉันถามว่าใครไปตบหน้ามันเพราะดิฉันไม่ได้ตบและไม่มีใครตบ

    คุณพี่ได้ยินแล้วพูดว่า “พี่เอง ตบสั่งสอนไม่ให้มันมารังแกเมียพี่”

    ดิฉันยกมือขึ้นไหว้แล้วกล่าวขอบคุณ แล้วดิฉันก็ตื่นพอดี นี่เป็นเรื่องแปลก ใครจะเชื่อเรื่องวิญญาณ หรือไม่เชื่อดิฉันไม่สนใจ เพราะเรามีความรู้สึกผิดกัน แต่สำหรับดิฉันเชื่ออย่างแน่นอนไม่มีข้อสงสัย



    • Update : 3/4/2554
    © Copyright 2011 www.watnongmuang.com All rights reserved 999arch