หน้าแรก สมาชิก รายการวัตถุมงคล ตะกร้าวัตถุมงคล วิธีชำระวัตถุมงคล วิธีบูชาวัตถุมงคล ประวัติวัด ติดต่อวัด เว็บบอร์ด
สมาชิก Log in
อีเมล์
รหัสผ่าน
สมัครสมาชิกใหม่
ลืมรหัสผ่าน
















ค้นหาวัตถุมงคล
 
 
 
หมวดวัตถุมงคล
  เครื่องราง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง หลวงพ่อสวัสดิ์
  พระเครื่อง หลวงปู่พิมพ์มาลัย
  พระเครื่อง หลวงพ่อสง่า
วัตถุมงคลของคุณ
รหัสวัตถุมงคล ราคา จำนวน
ยังไม่มีวัตถุมงคลอยู่ในตะกร้า
  • ชำระค่าวัตถุมงคล
  • แก้ไขรายการวัตถุมงคล
  • วิธีสั่งบูชาวัตถุมงคล
  •  

    วิญญาณที่วัดสะแก

     


     

    Image

    วิญญาณที่วัดสะแก
    โดย ท.เลียงพิบูลย์

    จากหนังสือกฎแห่งกรรม
    ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เล่ม ๒



    ข้าพเจ้าได้เคยเขียนเรื่องเกี่ยวกับวิญญาณมาหลายเรื่อง ทุกครั้งที่เขียนก็ไม่ค่อยสบายใจนัก กลัวบางท่านจะเข้าใจผิดคิดว่าข้าพเจ้างมงาย แต่ความจริงข้าพเจ้ามีใจรักและเขียนและสนใจในสิ่งลี้ลับดำมืดแต่แฝงไว้ด้วยความมหัศจรรย์ ซึ่งทางวิทยาศาสตร์ของโลกยังไม่สามารถจะพิสูจน์ได้ ข้าพเจ้าเองก็จะได้มีโอกาสศึกษาควบคู่ไปด้วย ทั้งเวลานี้ก็ได้มีผู้ให้ความสนใจอยากรู้อยากเห็นอยากค้นคว้าศึกษามากขึ้น

    หากผู้ใดมีความสนใจศึกษา จะเป็นงานที่น่าเพลิดเพลิน เข้าธรรมในเรื่องของโอปปาติกะ เข้าใจเรื่องตายแล้วเกิดลึกซึ้งยิ่งขึ้น มองเห็นบุญบาปตามกฎแห่งกรรมเป็นเรื่องที่ควรศึกษา หากท่านที่ไม่สนใจ เพราะถือว่าไม่มีเหตุผลพิสูจน์ไม่ได้ ก็ขอให้ท่านอ่านแล้วก็ผ่านไป เพราะคนเรามีความรู้สึกผิดกัน ต่างจิตต่างใจ ความรู้สึกก็ต้องแปลกออกไป เรื่องลี้ลับเกี่ยวกับวิญญาณและภูตผีปีศาจ เมื่อก่อนไม่มีผู้สนใจมากนัก แต่บัดนี้มีผู้หันมาสนใจมากขึ้น ยิ่งเป็นเรื่องลี้ลับมหัศจรรย์มีอภินิหารมากเพียงไร ก็ยิ่งทำให้มีผู้สนใจมากเพียงนั้น เพราะความอยากรู้เป็นธรรมดาของมนุษย์ปุถุชนส่วนมาก

    หากท่านจะถามเรื่องวิญญาณมีจริงหรือ ข้าพเจ้าจะตอบอย่างเคยตอบมาแล้ว ท่านเชื่อว่าจริงก็จริง ท่านไม่เชื่อก็ไม่จริง ถูกทั้งสองอย่าง ข้าพเจ้าจะไม่พยายามอธิบายให้ท่านเชื่อ และก็ไม่กีดกันให้ท่านไม่เชื่อ เพราะเรื่องเช่นนี้จะหาหลักฐานมาพิสูจน์ให้เห็นแจ่มชัดไม่ได้ แม้ทางวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่สูงพอที่จะค้นคว้าคลี่คลายสิ่งลี้ลับออกมาเปิดเผย แต่ก็ไม่สามารถจะปฏิเสธหรือรับว่ามีจริงหรือไม่มี เช่นเดียวกัน ข้าพเจ้าก็ได้แต่นำเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วมาเล่าให้ฟัง จะเท็จจริงหรือไม่โปรดพิจารณาเอา เพื่อท่านที่สนใจจะได้ค้นคว้าศึกษาหาความจริงต่อไป แม้ว่าเราอยู่ในยุควิทยาศาสตร์เจริญก้าวหน้า สามารถจะส่งมนุษย์ออกไปนอกโลกก็ดี ก็ยังมีผู้สนใจเรื่องวิญญาณและสิ่งลี้ลับเพิ่มขึ้นไม่น้อย

    ฉะนั้น เรื่องที่ข้าพเจ้าจะเล่าต่อไปนี้ เข้าใจว่าคงมีผู้รู้ข่าวเรื่องนี้มาก่อนและสนใจ เพราะเป็นเรื่องประหลาดมหัศจรรย์เรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ท่ามกลางสายตาของประชาชนชาวบ้านนับร้อยๆ พร้อมทั้งพระภิกษุสงฆ์ เหตุนี้เกิดที่วัดสะแก อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี

    หลายเดือนก่อนจะถึงเดือนมิถุนายน คุณแก้ว รักกตัญญู เป็นผู้ชอบพอนับถือกับข้าพเจ้า ได้บอกว่าทางวัดสะแกจะทำการขุดศพล้างป่าช้า วัดนี้สร้างขึ้นเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยายังเป็นราชธานี มีอายุสี่ร้อยกว่าปีมาแล้ว เป็นวัดเก่าแก่เคยมีผีดุที่สุดวัดหนึ่ง แม้แต่พระสงฆ์ก็เคยถูกหลอก ปัจจุบันนี้ท่านพระครูสง่า เป็นสมภาร และคณะกรรมการของวัดมีความประสงค์จะขุดศพล้างป่าช้า จึงขอร้องให้คุณแก้วช่วยพาไปติดต่อกับท่านนายกสมาคมพุทธมามกะสงเคราะห์การกุศลแห่งประเทศไทย ที่อำเภอบ้านบึง จังหวัดราชบุรี

    เพราะคณะกรรมการทางวัดสะแกได้ยินกิตติศัพท์ว่าทางสมาคมนี้ทำการกุศลช่วยขุดศพทั่วไปทุกจังหวัดในประเทศไทย และพิธีประหลาดมหัศจรรย์ สามารถจะชี้ไม่เลือกสถานที่ซึ่งใต้ดินมีศพฝังอยู่ได้อย่างแม่นยำ การล้างป่าช้าจะขุดศพขึ้นหมดไม่มีตกค้างหลงเหลืออยู่เลย ทั้งยังสามารถบอกได้ว่าศพนั้นเป็นหญิงหรือชาย ยังบอกชื่อของศพได้อย่างถูกต้อง ทั้งรู้ถึงการตายด้วยเหตุใด นับว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ เป็นศาสตร์ลี้ลับไม่สามารถพิสูจน์ได้


    คุณแก้วอยากให้ข้าพเจ้าไปพบเห็นด้วยตนเอง เพื่อบันทึกไว้แล้วเขียนขึ้นให้อนุชนรุ่นหลังและผู้สนใจจะได้ค้นคว้าศึกษาต่อไป ข้าพเจ้ามีความสนใจมากอยู่แล้ว เพราะเคยได้ทราบข่าวในเรื่องนี้มาก่อนว่ามีสิ่งลี้ลับมหัศจรรย์ต่างๆ และอภินิหารที่พิสูจน์ไม่ได้ แต่ยังไม่เคยพบเห็นกับตาตนเอง เพราะไม่ทราบว่าจะไปค้นคว้าเรื่องนี้ได้ที่ไหน จึงบอกว่าต้องไปเพราะเป็นเรื่องแปลกประหลาดมหัศจรรย์หาดูได้ยากในชีวิต และข้าพเจ้าก็สนใจมากไม่อยากพลาดโอกาสอันดี แต่แล้วเวลาได้ผ่านไปหลายเดือนก็ยังไม่ได้รับข่าวกำหนดว่าจะจัดงานล้างป่าช้าเมื่อใด เมื่อนานวันผ่านไปข้าพเจ้าก็ค่อยๆ ลืมเรื่องงานล้างป่าช้าวัดสะแก

    วันหนึ่งคุณแก้วก็ขอร้องให้คุณวิชัยติดต่อโทรศัพท์มาบอกข้าพเจ้าว่า ถึงกำหนดวันงานที่จะล้างป่าช้า แต่ระยะเวลากระชั้นชิด ข้าพเจ้ากลับตัวไม่ทัน เพราะตรงกับวันเวลาที่ได้นัดไว้กับผู้ที่อยู่ต่างจังหวัดภาคเหนือจะลงมาพบ ก่อนหน้าที่จะทราบข่าวจากคุณแก้ว จึงเสียดายโอกาสอันดี เพราะการที่ล่าช้า ข้าพเจ้าได้ทราบว่าทางคณะกรรมการขุดศพล้างป่าช้าทางวัดสะแกได้ไปติดต่อทางสมาคมพุทธมามกะสงเคราะห์การกุศลฯ ที่บ้านบึง จังหวัดชลบุรีหลายครั้ง ก็ยังไม่สามารถที่จะได้พบกับท่านนายกสมาคมฯ เพราะท่านมีกิจการงานมากไม่ค่อยอยู่

    ครั้งหลังคณะกรรมการมี พระครูสง่า และเรือเอกมานิต อรุณมิตร คุณแก้ว และอีกหลายท่าน ได้เดินทางไปอำเภอบ้านบึงอีกครั้งหนึ่งด้วยความร้อนใจ เพราะได้เดินทางมาหลายครั้งไม่ได้มีโอกาสได้พบกับท่านนายกสมาคมฯ ครั้งหลังก็เช่นเดียวกันคือ ไม่มีโอกาสจะได้พบท่าน

    อาจารย์พระครูสง่าก็ได้พบกับคุณนายแม่บ้านของท่านนายกสมาคมพุทธมามกะสงเคราะห์ คราวนี้ท่านเจ้าอาวาสได้กล่าวถึงการพยายามที่จะขอพบท่านนายกด้วยความยากลำบากที่มาหลายครั้ง เพื่อจะขอร้องให้ทางสมาคมฯ ช่วยขุดศพล้างป่าช้าวัดสะแก ชาวบ้านชาววัดต่างก็ทราบว่าคราวนี้เป็นการขุดพิเศษ ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในจังหวัดนี้ โดยใช้อำนาจลึกลับประหลาดที่สามารถจะบอกว่าเป็นศพหญิง หรือศพชาย หรือศพเด็ก

    ฉะนั้น พวกชาวบ้านก็รู้กันมาว่าท่านได้มาติดต่อทางสมาคมฯ แล้วหลายครั้ง ต่างคนต่างคอยเวลาด้วยความกระหายที่อยากจะเห็นสิ่งลี้ลับแปลกประหลาดซึ่งชาวบ้านยังไม่เคยเห็นมาก่อน ฉะนั้น การขุดศพล้างป่าครั้งนี้ ถ้าผิดหวังไม่สามารถจะขอความช่วยเหลือจากสมาคมพุทธมามกะสงเคราะห์การกุศลฯ ได้แล้ว ท่านสมภารก็ไม่รู้จะเอาหน้าไว้ที่ไหน เพราะข่าวได้กระจายออกไปไกล ท่านเองก็ร้อนใจ ตลอดเวลาเกือบ ๔๐ พรรษา ท่านสร้างชื่อเสียงคุณงามความดีไว้มาก มีผู้คนเคารพนับถือทั่วไป

    แต่คราวนี้การล้างป่าช้าจะจัดงานพิเศษ หากเกิดไม่เป็นความจริงขึ้นมา ท่านก็อาจเกิดเสียหายขึ้นมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ท่านได้เล่าให้แม่บ้านของท่านนายกสมาคมฯ ฟังว่า แม่บ้านของท่านนายกสมาคมฯ รับฟังไว้ด้วยความเห็นใจ เห็นความพยายามของท่านและจะเป็นภาระช่วยพูดกับท่านนายกสมาคมฯ ให้ และคณะของท่านก็ต้องลากลับเพราะผิดหวังที่ไม่พบท่านนายกสมาคมฯ ตามเคย แต่ก็มีความหวังเพราะทางแม่บ้านรับภาระจะช่วยพูดให้ ท่านค่อยเบาใจและคอยต่อไปด้วยความกังวล

    แต่แล้วต่อมาท่านก็ได้รับจดหมายจากสมาคมพุทธมามกะสงเคราะห์การกุศลฯ ตกลงจะรับจัดการขุดศพล้างป่าช้า และกำหนดวันแน่นอนมาเสร็จ ความหวังของเจ้าอาวาสก็สำเร็จลงด้วยความเห็นใจ นี่เป็นเหตุให้ข้าพเจ้ากลับตัวไม่ทัน แต่ข้าพเจ้าก็ได้ขอร้องเพื่อนรุ่นพี่และรุ่นน้องไปบันทึกเหตุการณ์แทน เพราะข้าพเจ้าไม่สามารถจะไปได้ ท่านพระครูสง่าเจ้าอาวาสได้ออกบัตรเชิญในงานนี้ มีกำหนด ๒ วัน คือวันศุกร์ที่ ๒๑ วันเสาร์ที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๑๑ ทุกคนเข้าใจว่าวันศุกร์เพียงแต่เป็นวันเริ่มต้น

    วัดเก่าแก่นับตั้งสี่ร้อยกว่าปีมาแล้ว ยังไม่เคยล้างป่าช้ามาก่อนคิดว่าอย่างน้อยต้องมีศพนับร้อยขึ้นไป คงจะไม่เสร็จเรียบร้อยตามที่กำหนดไว้เพียง ๒ วัน ทุกคนก็คงคิดเช่นเดียวกัน จึงตกลงว่าจะไปงานวันเสาร์ แต่แล้วผู้เดินทางไปวัดสะแกในวันเสาร์เช้าก็ผิดหวังเพราะทุกสิ่งทุกอย่างสมาคมฯ ได้จัดการเรียบร้อยหมดภายในวันเดียว เห็นว่าเป็นงานเล็ก เพราะเคยขุดต่างจังหวัดเวลาแรมเดือน เท่าที่ข้าพเจ้าทราบมาว่า ทางสมาคมฯ ได้จัดตั้งกองอาสาสมัครหญิงชายมาช่วยการกุศลครั้งนี้ประมาณร้อยกว่าคน ทุกคนทำงานอย่างเข้มแข็งมิได้คิดว่าเป็นงานที่น่ารังเกียจ มีสุภาพบุรุษ สุภาพสตรีที่มีอายุประมาณ ๑๖-๑๗ เป็นส่วนมาก และมีทั้งหญิงชายทุกวัย มีอายุถึงห้าหกสิบ ต่างก็อาสาสมัครมาจากจังหวัดชลบุรี

    พวกนี้มีความประสงค์จะช่วยขุดศพและช่วยนำกระดูกขึ้นด้วยมือ ได้ข่าวว่าทุกครั้งที่มีการขุดศพที่ใดก็ดี สุภาพสตรีสาวและไม่สาว และหญิงชายทุกรุ่นเหล่านี้จะแย่งกันอาสาสมัคร ทั้งที่สมาคมมิได้มีสินจ้างรางวัลใดเป็นประโยชน์ตอบแทน แต่ทุกคนก็มีจิตศรัทธาเข้มแข็งอยากร่วมกุศลด้วยกัน ข้าพเจ้าได้ทราบกันมาก่อนว่า มีบางครั้งศพกำลังเน่าเฟะขึ้นอืดเป็นภาพน่ากลัวน่าเกลียดสะอิดสะเอียนทั้งกลิ่นเหม็น บางคนก็ไม่กล้าดูส่วนมากทนกลิ่นไม่ไหว แต่พวกอาสาสมัครเหล่านี้มิได้รังเกียจกลับเห็นเป็นของน่าปฏิบัติ สำหรับศพที่ขึ้นอืดนี้ทางสมาคมเขามีน้ำปืนใช้ทาแขนทามือให้ทั่วก่อนที่จะจับต้องศพ เห็นจะป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย นอกนั้นพวกอาสาสมัครยังได้รับผ้ายันต์สีส้มแจกคนละผืน เพื่อป้องกันวิญญาณร้ายต่างๆ เท่าที่เคยปฏิบัติมาแล้ว

    ข้าพเจ้าทราบก็อดชมความศรัทธาเลื่อมใสของหมู่สาวเหล่าอาสาสมัครนั้นมิได้ รู้สึกว่ามีจิตใจเข้มแข็งอดทน สามารถที่จะทำในสิ่งที่ปรกติ สังคมทั่วไปรู้สึกทั้งกลัวทั้งรังเกียจ นอกจากผู้ที่เข้าถึงพระธรรมคำสอนให้คิดได้ ปลงตกถึงสังขารเป็นของไม่เที่ยง เกิดแล้วก็ต้องเจ็บต้องตายเป็นธรรมดาทั่วไป ข้าพเจ้าก็ไม่แน่ใจว่าเหล่าอาสาสมัคร เฉพาะผู้ที่เป็นสตรีซึ่งกำลังอยู่ในวัยรักสวยรักงามจะปกิบัติอยู่ปลงตก แทนที่จะรังเกียจกลับมีความสนใจอยากอาสาปฏิบัติงาน อย่างผู้เสียสละด้วยจิตเลื่อมใสศรัทธา คงจะเห็นผลการสร้างกรรมดีมาแล้ว เป็นที่น่าคิดและน่ายกย่องสรรเสริญยิ่งนัก และทุกคนที่อาสามานั้นล้วนแต่ผู้ที่อยู่ในฐานะมีอันจะกิน

    ข้าพเจ้าเกิดความเลื่อมใสในกิจการของสมาคมพุทธมามกะสงเคราะห์การกุศลแห่งประเทศไทยในส่วนรวม เสียดายไม่หายที่งานขุดศพล้างป่าช้าในวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๑๑ ข้าพเจ้าไม่ได้ไปตามที่ตั้งใจ เช้าวันเสาร์ผู้ที่ไปถึงวัดต่างก็รู้สึกเอะใจว่าทำไมเงียบเชียบ เมื่อพบท่านสมภารก็รู้ว่า ทุกสิ่งได้ผ่านไปแล้ว ศพก็ได้ขุดขึ้นในวันเดียวหมดในจำนวน ๖๒๔ ศพ เป็นศพชายหญิงและเด็กต่างก็แยกออก ศพชายไว้ที่หนึ่ง ส่วนศพหญิงกับเด็กก็รวมกันไว้อีกแห่งหนึ่ง

    หลังจากนั้น ต่อมาข้าพเจ้าได้เดินทางไปวัดสะแกกับเพื่อนๆ ได้มีโอกาสสนทนากับท่านเจ้าอาวาสและพระในวัด ทั้งชาวบ้าน ชาววัดหลายท่านได้กรุณาชี้แจงเล่าให้ฟังถึงการขุดศพอย่างประหลาดมหัศจรรย์ในสายตาของท่านสมภารและชาวบ้านจำนวนร้อยๆ และเล่าถึงวิธีการทรงตลอดจนถึงการต่อสู้กับวิญญาณในวัด ท่านพระครูสง่าเจ้าอาวาสได้กรุณาเล่าข้อปลีกย่อยและรายละเอียดเกี่ยวกับทำพิธี เพื่อท่านที่สนใจในเรื่องเกี่ยวกับวิญญาณจะได้มีโอกาสพิจารณาค้นคว้า

    ฉะนั้น เมื่อข้าพเจ้าได้นมัสการท่านพระครู ถามถึงเหตุการณ์เท่าที่ได้เห็นได้พิจารณาในสิ่งมหัศจรรย์ที่เกี่ยวกับการขุดศพในวันนั้นแต่ต้นจนจบ และได้ถามอาจารย์อร่ามแห่งวัดใต้ อยู่อำเภอพระโขนง จังหวัดพระนคร ซึ่งท่านได้เห็นเหตุการณ์ตลอดเวลาได้กรุณาเล่าให้ฟังตลอดพระภิกษุสงฆ์และผู้อื่นที่ได้เห็นพิธีประหลาดพิสดารในวันนั้น เมื่อรวบรวม ข้าพเจ้าก็ได้เรื่องได้ราวที่จะเล่าให้ฟังต่อไปนี้

    เมื่อวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๑๑ เวลาเช้า คณะกรรมการสมาคมพุทธมามกะสงเคราะห์การกุศล พร้อมทั้งเหล่าอาสาสมัครขุดศพรวมจำนวนหญิงชายประมาณ ๑๕๐ คน ได้ไปถึงวัดสะแก อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี โดยเรียบร้อย ซึ่งทางสมาคมได้จัดพาหนะและเครื่องใช้ต่างๆ พร้อมเครื่องมือขุดดินและสิ่งของจำเป็นที่จะต้องใช้ ทางสมาคมได้จัดหามาเองทั้งสิ้น การเดินทางจากอำเภอบ้านบึงมาวัดสะแกก็ไม่สะดวกมากนัก เพราะต้องขึ้นรถลงเรือใช้เวลาไม่น้อย และต้องมาถึงแต่เช้า เห็นจะเป็นเพราะต่างมีจิตศรัทธาจึงไม่ย่อท้อต่อความลำบาก คณะที่มานั้นส่วนมากยังไม่เคยรู้จักวัดสะแกมาก่อน

    ฉะนั้น เมื่อหลังจากเลี้ยงอาหารเช้าแล้ว ทางหัวหน้าผู้แทนของสมาคม ก็ขอร้องให้มรรคทายกทางวัดจัดโต๊ะบูชาเพื่อทำพิธีอัญเชิญ คณะกรรมการเลือกได้ใต้ต้นจามจุรีใหญ่ แผ่กิ่งก้านสาขาออกไปเป็นที่ร่มเย็น เมื่อทางวัดได้จัดโต๊ะตามที่คณะสมาคมต้องการแล้ว คณะกรรมการในการขุดศพก็เริ่มจัดการตั้งโต๊ะบูชา มีผลไม้ ๙ อย่างใส่จานเรียบร้อย มีน้ำ มีข้าวสาร และธูปเทียน นอกจากเครื่องบูชาแล้ว ยังมีธงกระบี่อาญาสิทธิ์ และอาวุธโบราณวางอยู่บนโต๊ะ และอาวุธอีกชนิดหนึ่งคนไทยเราเรียกว่า หนามทุเรียนได้วางไว้บนโต๊ะบูชา นอกจากนั้นก็ยังมีโต๊ะไม้ขาพับและถ่างออกได้ แล้วมีกระด้งขนาดกลางไว้ที่นั่น และมีไม้เป็นง่ามเป็นรูปตัว วี สำหรับถือสองข้างขนาดศอกกว่า ซึ่งไม้นี้ทำจากไม้ต้นลิ้ว ถือว่าเป็นไม้ศักดิ์สิทธิ์

    เมื่อจัดโต๊ะบูชาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผู้ที่จะเข้าในพิธีนี้ ๘ ท่าน ก็แต่งตัวเสื้อผ้าขาวสะอาดตลอดทั้งเกือกยางขาว เมื่อได้แต่งตัวเสร็จ ผู้ที่เข้าทรงก็เริ่มมายืนล้อมเป็นวงกลมหน้าโต๊ะบูชาในจำนวน ๘ ท่านด้วยกันที่แต่งขาว สองท่านถือไม้เป็นรูปตัว วี มีร่างทรงสองท่านใช้มือจับไม้ศักดิ์สิทธิ์คนละข้าง เริ่มสวดพร้อมกันใช้เวลาประมาณ ๒๐ นาที ไม้ที่ถือเหมือนจะมีชีวิตขึ้น เริ่มหมุนไปรอบๆ กระด้ง ผู้ถือไม่สามารถจะฝืนได้ต้องปล่อยไปตามกำลังแรงของสิ่งลี้ลับจะต้องการ เหมือนวิญญาณสิงอยู่ในไม้แล้วก็เอาพู่กันเสียบตรงช่องรูปลายไม้ศักดิ์สิทธิ์ แล้วจุ่มลงไปในน้ำหมึกสีแดง เขียนยันต์ลงไปในผ้าแดงผืนเล็กๆ จำนวนมากอย่างรวดเร็ว

    เสร็จแล้วก็ไปเจิมที่เครื่องมือเตรียมขุดค้น เสร็จแล้วกรรมการก็นำผ้ายันต์มาแจกพวกอาสาสมัครทุกคนทั่วกัน แล้วก็ให้ไปรับน้ำมนต์ไปดื่มลูบหน้าและลูบตามตัว เพื่อเป็นสิริมงคลแล้วก็ไปเขียนเป็นตัวหนังสือบนกระด้งธรรม มีข้าวสารแผ่อยู่บางๆ มีคนคอยอ่านข้อความหนึ่งคน และพวกแต่งขาวพร้อมทั้งศิษย์ทั้งหลายที่ยืนอยู่ในบริเวณนั้น ตามปกติเซียนไม่พูด จะเขียนหนังสือแทนคำพูด ไม้ได้หมุนไปเขียนเป็นตัวหนังสือเป็นการบอกและตอบคำถามว่า

    ในบริเวณวัดนี้มีศพฝังไว้ยังเป็นวิญญาณมี ๖๒๔ ในวิญญาณเหล่านี้ เป็นวิญญาณชายมี ๓๑๒ นอกนั้นเป็นวิญญาณหญิงและเด็กทั้งหมด ผู้จดก็จดลงเป็นหลักฐาน หากผู้อ่านตรงไปที่แปลความหมายไม่ถูก เซียนก็จะเขียนจนกว่าจะอ่านได้ถูกต้องตามความหมาย จากนั้นประมาณ ๑๐ นาที เซียนผู้ถือไม้ศักดิ์สิทธิ์ก็เริ่มจะรู้สึกวิญญาณในไม้กำลังจะพาวิ่งตรงไปหน้าวัด เวลานั้นท่านพระครูสง่าเจ้าอาวาสวัดสะแก พระสงฆ์และประชาชนจำนวนมากต่างก็จับตาดูตั้งแรกเริ่มทำพิธีตลอดเวลา ท่านพระครูเจ้าอาวาสได้บอกว่า

    “อาตมาเห็นพวกเซียนวิ่งไปที่ถนนหน้าวัด ในความรู้สึกก็ชักจะสงสัยแล้ว คิดว่าคราวนี้คงเหลวแน่ เพราะอาตมาจำพรรษาอยู่ในวัดนี้ตั้งแต่เป็นเณรตลอดมา จนเป็นสมภารมา ๓๗ ปีแล้ว ไม่เคยมีวี่แววหรือคนรุ่นก่อนบอกว่า ทางแถวหน้าโบสถ์ข้างถนนตรงไปท่าน้ำหน้าวัดนั้นก็ไม่เคยฝังศพมาก่อนเลย นึกในใจว่าคราวนี้เหลวแน่ คงจะไม่เป็นอย่างที่เขาเล่าลือกันว่า คณะสมาคมนี้มีอำนาจลี้ลับศักดิ์สิทธิ์ที่คอยชี้ศพฝังอยู่ใต้ดินไม่เคยผิดพลาดเป็นที่รู้กันทั่วไป แต่คราวนี้ทำไมวิ่งไปคนละทิศคนละทางกับป่าช้า แต่อาตมาก็นิ่งคิดอยู่ในใจมิได้พูดอะไร และคอยดูต่อไป แล้วอาตมาเห็นวิ่งไปถึงทางแล้วไม้ศักดิ์สิทธิ์ก็หยุดชี้ลงไป ผู้ติดตามก็เอาธงแดงปักไว้ เซียนที่วิ่งตามมาด้วยก็ซัดข้าวสาร อีกคนหนึ่งก็พรมน้ำมนต์ลงไป

    พวกอาสาสมัครก็วิ่งตามกันมาเป็นหมู่มีเครื่องมือพร้อมก็รีบลงมือขุดลงไปทันที ช่วยกันขุดโกยดินเก็บศพที่เหลือแต่กระดูกขึ้นมา อาตมามองดูเขาขุดด้วยความตื่นเต้นก็ปรากฎว่ามีศพฝังอยู่ใต้ดินจริง มันเป็นสิ่งที่น่าแปลกน่าอัศจรรย์มาก การวิ่งเที่ยวชี้ใช้ธงของพวกนั้น บางครั้งก็บุกเข้าในดงหญ้าดงไผ่ ไม่น่าจะเป็นไปได้ว่าจะมีศพฝังอยู่ที่นั่น รู้สึกว่าไม้ศักดิ์สิทธิ์มีอำนาจพิเศษ มีกำลังดึงดูดเอาผู้ถือวิ่งไป

    ตลอดเวลาที่ธงปักไม่เคยผิดพลาดจะต้องขุดศพขึ้นมาทุกครั้ง เซียนจะต้องบอกทางเขียนหนังสือว่าหลุมนี้หลุมนั้นเป็นหญิงหรือชาย แล้วคนขุดก็มาแยกพวกกระดูก และกะโหลกไว้ให้เป็นพวกไม่ปนกัน ส่วนเด็กนั้นให้ปนอยู่ในพวกผู้หญิงได้ การทำพิธีขุดศพในครั้งนี้ ในสายตาของคนทั่วไปที่พบเห็นว่าเป็นสิ่งประหลาดเรื่องหนึ่ง ในชีวิตของอาตมาก็เพิ่งจะได้พบได้เห็น และชาวบ้านชาววัดที่อำเภอสามโคกที่ได้มาเห็นต่างก็พากันตื่นเต้นบอกเล่ากันต่อไป”

    ท่านเจ้าอาวาสท่านบอกต่อไปว่า “เมื่อแรกอาตมาก็ยังไม่เชื่อสนิท แต่บัดนี้อาตมาเชื่ออย่างขาวสะอาดไม่มีข้อสงสัย การที่เซียนสามารถชี้ที่ฝังศพได้อย่างแปลกประหลาดเช่นนี้ ซ้ำยังบอกได้ว่าศพที่ฝังอยู่นั้นเป็นหญิงหรือเป็นชาย นับว่าเป็นความสามารถอย่างประหลาดและลี้ลับมาก อยู่เหนือวิทยาศาสตร์ซึ่งไม่สามารถค้นคว้าพิสูจน์ได้ แม้แต่ข้างกุฎิพระ อาตมาก็เห็นเซียนวิ่งไปชี้ห่างจากเสากุฎิไม่เท่าใด เมื่อได้ขุดลงไปแล้วก็พบศพ ถ้าไม่เห็นด้วยตาก็ไม่น่าเชื่อ นับว่าแปลกไม่มีใครนึกฝันว่าจะมีศพฝังอยู่ในที่ใกล้กุฎิซึ่งห่างจากป่าช้าคนละทิศคนละทางเช่นนี้”


    Image

    ทางสมาคมได้ทำเพื่อการกุศล ทุกคนที่มานั้นต่างทำด้วยจิตใจศรัทธาอย่างเต็มอกเต็มใจเข้มแข็ง ไม่เห็นแก่เหนื่อยยากลำบาก ทำเพื่อหวังบุญกุศลด้วยแรงศรัทธาจริงๆ ของใช้สำหรับเซ่นวิญญาณหรือสิ่งของในการประกอบพิธีครั้งนี้ ทุกอย่างทางสมาคมเตรียมพร้อมมิได้เรียกร้องทางวัด กลับนำของที่เหลือมอบถวายวัด บางอย่างก็เตรียมมาไม่พอ เช่น เสื้อผ้าที่ทำด้วยกระดาษก็จัดมาเพียง ๕๐๐ ชุด เพราะคณะกรรมการไม่นึกว่าจะมีวิญญาณในวัดสะแกถึง ๖๒๔ วิญญาณ จึงไม่เพียงพอ แต่ก็ได้รวมเผาหมด

    การชี้โดยเซียนผู้ที่จับไม้ง่ามจะพาไปแห่งใดนั้น พวกเซียนก็ต้องผลัดเปลี่ยนกันเป็นชุด เปลี่ยนถึง ๔ ชุด ทุกครั้งที่ผลัดเปลี่ยนนั้นก็จะต้องกลับมาที่โต๊ะตั้งพิธีบูชาเริ่มต้นและก็มีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้น ทำให้คณะกรรมการในงานนี้ได้บอกภายหลังว่ายังไม่เคยมีวัดใดหรือป่าช้าใด เท่าที่คณะกรรมการได้เคยไปขุดล้างป่าช้าจะนับไม่ถ้วน ไม่เคยมีเหตุการณ์แปลกประหลาดขึ้นเช่นวัดนี้คือ

    พอถึงเวลาบ่ายประมาณ ๑๕.๐๐ น. คณะเจ้าหน้าที่และพวกอาสาสมัครกำลังขุดศพเป็นการใหญ่ เร่งงานแข่งกับเวลา เพื่อให้เสร็จเรียบร้อย ทันใดนั้นได้เกิดเรื่องประหลาดขึ้นมาหน้าโบสถ์ เหล่าหมู่เซียนที่แต่งเครื่องขาวนั้นต้องหยุดชะงัก ต่างก็แสดงกิริยาตื่นเต้น เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงทันที ต่างก็หันมารำเพลงมวย เพลงอาวุธ แสดงกิริยาท่าทางคล้ายได้เกิดปะทะต่อสู้กันขึ้นระหว่างเซียนกับฝ่ายวิญญาณทางวัดสะแกซึ่งไม่เห็นตัว ประชาชนและพระภิกษุสงฆ์ซึ่งอยู่ในที่นั้นต่างก็ไม่นึกว่าจะเห็นเหตุการณ์ที่แปลกประหลาดที่เกิดขึ้นในวันนั้น ต่างก็พากันแตกตื่นตกใจ เพราะเซียนบางท่านก็หงายหน้าเซไปมาหลายครั้ง เหมือนถูกชกต่อยอย่างจัง ทั้งที่มองไม่เห็นคู่ต่อสู้

    ชาวบ้านบางคนที่กลัวมากจนอกสั่นขวัญหาย ก็รีบหนีออกจากเขตนั้น ที่ใจกล้าไม่กลัวก็คอยหลบหนีอยู่ใกล้ๆ คอยดูว่าจะเกิดอะไรต่อไป ชาวบ้านที่กล้าและพระสงฆ์คงเห็นพวกเซียนฝ่ายเดียวที่แสดงกิริยาว่าได้กำลังต่อสู้ระหว่างวิญญาณพวกเจ้าถิ่นในวัดสะแกกับพวกเซียน เพราะการร่ายรำหลบหลีก ซึ่งท่าทางของเพลงอาวุธสู้รบกันในสมัยโบราณ มีการรุกไล่ ถอยไป รุกเข้ามาผลัดกันรุก เซียนบางท่านก็มีฝีมือกำลังเข้มแข็งสามารถหลบหลีกอย่างว่องไวและรวดเร็ว เป็นการสู้รบกับศัตรูที่คนธรรมดามองไม่เห็นตัว

    มีหลายท่านที่บอกว่า มันเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดมหัศจรรย์จริงๆ ในชีวิตนี้ยังไม่เคยพบเห็นมาก่อน คงจะหาดูไม่ได้อีกคงจะไม่มีวันลืมตลอดไปว่า โลกนี้ยังมีสิ่งลี้ลับมากมาย การต่อสู้ระหว่างเซียนกับพวกวิญญาณเจ้าที่เจ้าทาง เป็นฝ่ายที่เรามองไม่เห็นฝ่ายหนึ่ง แสดงท่าทางต่อสู้ทิ่มแทงอากาศที่เปล่าอยู่พักหนึ่ง ฝ่ายเซียนรู้สึกจะอ่อนกำลังเริ่มถอย แสดงว่าไม่สามารถจะปราบเอาชนะวิญญาณเจ้าถิ่นได้

    ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเซียนร้องขึ้นมาเสียงดังลั่นได้ยินทั่วบริเวณ จะตีความหมายว่าจะเรียกร้องให้ช่วยเหลือ เพราะบาดเจ็บก็ไม่แน่นอน พวกกรรมการต่างพากันตกใจตกตะลึง เพราะยังไม่เคยประสบเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน ก็ตื่นเต้นไม่รู้จะจัดการแก้ไขอย่างใด เหตุการณ์เกิดขึ้นครั้งนี้มีผู้เห็นยืนยันว่ามิใช่แกล้งแสดง ส่วนอีกด้านหนึ่งหรืออีกมุมหนึ่ง มีชายจีนผู้อาสาสมัครกำลังใช้แรงขุดดินในสภาพเปลือยท่อนบน ไม่ใส่เสื้อมีแต่กางเกงตั้งอกตั้งใจขุดดินตรงที่มีธูปปักไว้เป็นเครื่องหมายว่ามีศพฝังอยู่ใต้ดิน มิได้สนใจกับใคร มุ่งแต่จะขุดศพขึ้นมา

    แต่เมื่อได้ยินเสียงเซียนร้อง ทันใดชายจีนผู้นั้นก็เปลี่ยนสภาพไป รู้สึกว่ามีวิญญาณรีบเข้ามาสิงในร่างทันที กิริยาผิดปกติธรรมดา แล้วออกวิ่งอย่างรีบร้อนไปในหมู่เซียน แล้วเอามีดเชือดลิ้นป้ายเขียนยันต์ไว้ตามเสาไฟฟ้าในวัด ออกคำสั่งให้รีบนำอาวุธเอาหนามทุเรียนมาให้ แล้วก็แสดงรำท่าทางหวดซ้ายปาดขวาตีตามตัวเอง ลูกตุ้มหนามทุเรียนนี้ มีหนามเป็นเหล็กแหลมคมมาก แต่การนำมาปาดตามตัวก็ไม่รู้สึกเจ็บปวด แล้วรีบสกัดแก้สถานการณ์ที่กำลังคับขันไว้ได้ พวกเซียนก็กลับเป็นฝ่ายรุกไล่ พวกวิญญาณเจ้าถิ่นกลับเป็นฝ่ายถอยหนี เพราะเซียนที่เข้าครั้งหลังองค์นี้ได้ทราบภายหลังว่าเป็นชั้นอาจารย์ผู้ใหญ่มีฤทธิ์เดชอำนาจมาก ตามปกติไม่คับขันจริงๆ แล้วก็ไม่มาปรากฎ

    ฉะนั้น วิญญาณของเจ้าถิ่นทางวัดสะแกจึงไม่สามารถที่จะต่อต้านเอาชนะได้ พวกเซียนก็รุกไล่วิญญาณไปทางด้านเหนือและด้านใต้ วิ่งกันอย่างขวักไขว่ตัดหน้าตัดหลังคล้ายจะวิ่งสกัดจับผู้ร้าย สำคัญที่สุดพวกเซียนก็วิ่งรวมกันล้อมต้นประดู่ใหญ่อยู่หลังโบสถ์ แล้วก็เริ่มสวดคาถา แล้วอาจารย์ใหญ่ก็เอากระบี่แทงไปในโพรงต้นประดู่ใหญ่อยู่หลายครั้ง ได้ความภายหลังว่าวิญญาณทั้งหลายได้พ่ายแพ้พวกเซียน ได้หลบหนีเข้าไปสิงอยู่ในต้นไม้ และที่สุดได้ทราบว่าวิญญาณที่ดุร้ายยอมแพ้ ทางเซียนก็ได้เผาเครื่องกระดาษเงินทองให้ เป็นอันว่าได้อโหสิกรรมไม่จองเวรจองกรรมกันต่อไป เพราะหมู่เซียนก็มุ่งหวังสร้างความดี วิญญาณที่วัดสะแกก็ยอมให้เรียกวิญญาณทั้งหลายในวัดไปได้ เป็นอันสุดสิ้นการปราบวิญญาณทางวัดสะแก

    นอกจากข้าพเจ้าจะได้เรื่องจากท่านพระครูสง่าเจ้าอาวาสและท่านอร่ามแล้ว อีกมุมหนึ่งข้าพเจ้าได้จากเรือเอกมานิต อรุณมิตร ท่านผู้นี้ได้เป็นกรรมการผู้หนึ่ง ได้บอกกับข้าพเจ้าว่า “เมื่อแรกผมเองก็ยังไม่แน่ใจ เมื่อยังไม่ลงมือแสดง แต่เมื่อผมถามเซียนว่าอยากทราบว่าศพบิดาของผมอยู่ที่ไหน โดยไม่ได้บอกชื่อ เซียนชี้บอกว่า ฝังอยู่ระหว่างต้นข่อย มีอยู่ ๔ วิญญาณด้วยกัน คือ วิญญาณชื่อ นายสมบูรณ์ นายจันทร์ นายสี นายเพื่อน ผู้ที่เป็นใหญ่กว่าวิญญาณทั้งหลายคือนายเพื่อน อีก ๓ วิญญาณที่ชื่อ นายสมบูรณ์ นายจันทร์ นายสีนั้น เป็นวิญญาณที่รับใช้ใกล้ชิดสนิทของวิญญาณนายเพื่อน นายเพื่อนเป็นผู้มีความสุขกว่าวิญญาณทั้งหลาย

    เมื่อผมได้ทราบว่าวิญญาณชื่อเพื่อน เป็นใหญ่ในตำบลก็สะดุ้ง เพราะนายเพื่อนเป็นชื่อบิดาของผมเอง ก็พากันตื่นเต้นแปลกใจ เพราะเมื่อก่อนบิดาผมเป็นคนมีชื่ออยู่ในตำบลนี้มาเก่าแก่เป็นที่รู้จักทั่วไป เซียนยังบอกว่าหากผมยังต้องการนำวิญญาณนายเพื่อนผู้เป็นบิดาไปไว้ที่บ้าน ทางเซียนก็จะจัดการวิญญาณให้เข้าไปสิงอยู่ในก้อนดินเพื่อนำไปบ้าน ผมคิดดูตัวเองก็มีอายุมากแล้ว ทางบ้านผมก็มีเด็กมาก ไม่สมควรจะนำวิญญาณบิดาไปอยู่ในบ้าน กลัวต่อไปจะเป็นภาระหนักแก่เด็กรุ่นหลัง ทั้งอยากให้ท่านไปผุดไปเกิดเสียที”

    คุณมานิตพูดต่อไปว่า “ผมแปลกใจที่ชื่อวิญญาณอีกสามชื่อ มีนายสมบูรณ์ นายจันทร์ นายสีนั้น เมื่อถามผู้ใหญ่รุ่นเก่าที่รู้เรื่องดีก็บอกว่า เมื่อสมัยก่อนก็มีชื่อนั้นจริงเป็นเรื่องแปลกประหลาดมาก เมื่อก่อนผมเป็นคนเกิดในอำเภอสามโคก และได้ไปอยู่กรุงเทพฯ ได้ศึกษาเล่าเรียนและรับราชการจนได้เป็นนายทหารนาน ไม่ค่อยจะกลับบ้าน เมื่อ ๔๐ ปีก่อนนั้น บิดาผมตกต้นตาลตาย และได้ฝังไว้ในวัดนี้ ภายหลังผมได้มาจัดการงานฌาปนกิจศพบิดา แต่ก็ไม่รู้ว่าฝังอยู่ที่ไหนให้คนช่วยขุดก็ไม่พบ จึงต้องใช้เขียนชื่อเผาแล้วทำบุญอุทิศไปให้ บัดนี้ ทางเซียนได้ชี้หลุมให้และยังบอกว่า ดินในตำบลนี้เปรี้ยวและเป็นกรดและน้ำขึ้นถึงเสมอ นานๆ กระดูกก็ผุ เช่นกะโหลกหัวก็ได้เหลือเพียงครึ่งกะลามะพร้าว ซึ่งเป็นเรื่องแปลกจริงๆ”

    สิ่งประทับใจผมอีกครั้งหนึ่ง คือ เมื่อขุดศพล้างป่าช้าเสร็จเรียบร้อยในวันเดียวเมื่อประมาณ ๑๗.๐๐ น. และมีการเลี้ยงอาหารก่อนกลับ หลังจากนั้นได้มีสุภาพสตรีนับถือผู้หนึ่ง ได้ขอบาตรหนึ่งใบแล้ว ได้ยืนขึ้นพูดชักชวนให้ร่วมใจบริจาคเงินเพื่อการกุศลสมทบทำบุญในวัดสะแก ทันใดก็มีผู้บริจาคเงินร่วมกันใส่เงินลงไปในบาตรด้วยความเลื่อมใส รวบรวมเป็นจำนวน ๘๓๘ บาท และมอบให้ทางวัดไป ผมเห็นแล้วปลื้มใจ เพราะเท่าที่อุทิศแรงงานก็นับว่าเป็นมหากุศล ที่ปลงตกไม่นึกรังเกียจทำได้อย่างสนิทสนม แม้แต่สัปเหร่อเป็นงานอาชีพกับศพ บางคนก็ต้องดื่มเหล้าย้อมใจก่อน เหล่าอาสาสมัครนี้ นอกจากอุทิศทั้งแรงงานและเวลา และเงินอีก น่ายกย่องที่มีจิตใจงามมาก

    นอกจากนั้น ข้าพเจ้าก็ยังได้เรื่องจากภิกษุโสม ซึ่งท่านได้จำพรรษาอยู่ที่วัดสะแก ได้ทราบมีส่วนร่วมเห็นการขุดศพล้างป่าช้าที่วัดนี้ด้วย ท่านได้บอกว่าเป็นพิธีที่น่าเลื่อมใส อาตมาและพวกชาวบ้านที่มีอายุหลายคนที่รู้เห็นมีที่ฝังศพอยู่หลุมหนึ่ง แต่เมื่อเห็นเซียนวิ่งผ่านไปมา ไม่เห็นชี้ให้ปักหลุมนั้นสักทีก็ชักสงสัย แต่จะดูให้ถึงที่สุด เมื่อเขาวางมือบอกว่าขุดหมดแล้วเราก็จะบอกให้รู้ภายหลัง เวลานี้ต้องการทดสอบว่าจะจริงเพียงไรว่าไม่มีศพหลงเหลือ มีชาวบ้านหลายคนที่รู้เรื่องต่างก็คิดเช่นเดียวกับอาตมา อยากจะทดสอบพิสูจน์ลองความสามารถ แต่แล้วที่สุดพวกเซียนก็ปักธงลงมือขุดเป็นศพสุดท้าย อาตมาจึงเห็นว่าเขาแน่จริง อาตมาอยากจะทดสอบต่อไปจึงถามเซียนว่าอยากจะทราบว่าศพสุดท้ายเป็นอะไรตาย เพราะชาวบ้านมีอายุส่วนมากรู้เรื่องดี แต่เมื่อเซียนตอบก็ทำให้อาตมาสะดุ้ง และชาวบ้านต้องตกตะลึงไปตามกัน เพราะเซียนบอกว่า“วิญญาณชายนี้ บอกว่าตกน้ำตาย”

    พวกชาวบ้านชาววัดรู้ว่าเมื่อ ๑๗ ปีก่อน ได้มีศพชายผู้หนึ่งลอยน้ำมาติดอยู่ที่ท่าน้ำวัด พวกชาวบ้านและพระได้ช่วยกันนำมาฝังไว้ในวัด เป็นศพตกน้ำตายเป็นศพสุดท้ายที่ฝังในวัด จากนั้นต่อมาก็ไม่ได้ฝังศพอีกเลยเป็นเวลาผ่านมา ๑๗ ปี เป็นเรื่องแปลกประหลาดที่สามารถรู้ได้ ทั้งที่ฝังศพเหล่านั้นนานวันเป็นที่ราบเหมือนพื้นดินธรรมดาทั่วไป บางแห่งก็มีหญ้าขึ้นรกเป็นดงไม่มีเครื่องหมายบอกให้รู้เป็นที่ฝังศพ แต่พวกเซียนก็สามารถจะชี้ได้ถูกต้องและแม่นยำไม่ผิดพลาด การขุดศพล้างป่าช้ามิใช่จะขุดสุ่มๆ อย่างธรรมดา การเข้าพิธีแบบนี้จะต้องเริ่มขุดที่ฝังเป็นศพแรกก่อน และศพที่ฝังรองลงมาจนฝังศพสุดท้าย อาตมาจึงเชื่อว่า เป็นพิธีที่ขุดศพล้างป่าช้าที่ทำได้อย่างหมดจดและมหัศจรรย์มาก อาตมาไม่ประสบกับตาตนแล้วก็ยากที่จะเชื่อได้สนิท เมื่อเห็นด้วยตาตนเองแล้วก็เกิดเลื่อมใสในพิธีประหลาดครั้งนี้มาก

    ข้าพเจ้ากล่าวขอบพระคุณ ที่พระคุณเจ้าได้กรุณาเล่ารายละเอียด และส่วนปลีกย่อยและความรู้สึกออกมา ซึ่งทำให้เราได้รู้ว่า โลกนี้ยังมีสิ่งลี้ลับมหัศจรรย์ลึกลับอีกมากไม่สามารถจะพิสูจน์หาเหตุผลได้ เมื่อข้าพเจ้าได้ข้อความเพื่อเขียนเรื่อง “วิญญาณที่วัดสะแก” ทุกแง่ทุกมุมจากผู้ที่เชื่อถือและผู้ทรงศีลไม่มีข้อสงสัยใดอีก เมื่อจะเริ่มลงมือเขียน ก็มีความรู้สึกเกิดศรัทธาอยากจะทำบุญอุทิศแผ่กุศลทั่วไป เพื่อเป็นการเคารพต่อเซียนผู้สร้างกรรมดี และเหล่าวิญญาณทั้งหลายที่วัดสะแก ตั้งใจว่าจะทำบุญด้วยการถวายสังฆทานอุทิศ เพื่อจะได้แผ่กุศลให้ทั่วถึงกัน ก่อนที่จะจัดพิมพ์หนังสือเรื่องนี้เข้าเล่มเพื่อแจกต่อไป เพื่อให้อนุชนและผู้สนใจค้นคว้าหาเหตุผล หาความรู้ต่อไปในอนาคต

    ข้าพเจ้าจึงได้พยายามติดต่อท่านที่ได้ประสบการณ์ในวัดสะแกในครั้งนั้น เพื่อขออนุญาตนำนามจริงของท่านลงไว้ในเรื่องเพื่อประโยชน์แก่ผู้สนใจศึกษา ข้าพเจ้าขอกราบนมัสการ และขอบคุณพระคุณเจ้าที่ได้กรุณาได้ร่วมอนุญาตให้นามจริงของท่านลงในเรื่องนี้ เพราะสิ่งประหลาดมหัศจรรย์ในเรื่องวิญญาณเช่นนี้ ย่อมจะมีผู้สนใจอยากรู้อยากเห็น เพราะเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้น เป็นธรรมดาของมนุษย์ปุถุชนทั่วไป

    ผู้ประสบการณ์ในครั้งนั้นนับเป็นจำนวนร้อยๆ ย่อมจะนำไปเล่าสู่กันฟัง รับช่วงนำไปเล่าต่อๆ กันไปไม่สิ้นสุด เป็นธรรมดาเรื่องที่เล่ากันด้วยปากเปล่า นานวันจะค่อยไกลจากความจริงออกไปต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดาไม่มากก็น้อย ที่สุดเนื้อแท้ของความจริงก็ค่อยๆ หมดไป เพราะไม่สามารถจะรักษาเนื้อแท้ให้ยั่งยืนไว้ได้ ที่สุดเรื่องก็สูญ

    ข้าพเจ้าได้เดินทางหลายครั้งหลายหน เพื่อให้ได้เนื้อแท้เป็นแก่นความจริงของเรื่องที่เกิดขึ้นในเรื่อง “วิญญาณที่วัดสะแก” เมื่อวันที่ ๒๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๑๑ ก่อนพิมพ์มีเพื่อนฝูงทราบว่า ข้าพเจ้าเขียน “วิญญาณที่วัดสะแก” ก็พากันสนใจ บางท่านที่รู้เรื่องอยู่ก่อนแล้ว ก็แนะว่าควรจะไปสัมภาษณ์สตรีวัยรุ่นที่อุทิศทั้งเวลา และแรงงาน ตลอดทั้งบริจาคทรัพย์เพื่อร่วมการกุศลด้วย นับว่าเป็นจุดที่น่าสนใจและตื่นเต้น

    ทำอย่างไรจึงเกิดศรัทธาขึ้นมา ข้าพเจ้าก็เห็นด้วย หากได้มีโอกาสได้นำความรู้สึกมาเขียนลง ก็ทำให้เพิ่มประโยชน์แก่เรื่องวิญญาณที่วัดสะแก หากแต่ขัดข้องด้วยเวลาของข้าพเจ้ามีน้อยและจำกัด รับว่าจะส่งต้นฉบับให้โรงพิมพ์ก่อนสิ้นเดือนกันยายนนี้ หากจะต้องใช้เวลาเดินทางไปบ้านบึง จังหวัดชลบุรี ก็ยังไม่แน่ใจว่าจะมีโอกาสได้พบกับสุภาพสตรีวัยรุ่นเหล่านั้นหรือไม่ เพราะตามปกติต่างก็มีงานอาชีพประจำด้วยกันเป็นส่วนมาก ทั้งข้าพเจ้าก็ไม่เคยรู้จักหรือเห็นหน้าแม้แต่ผู้เดียว คิดว่าจะต้องขอร้องท่านนายกพุทธมามกะสงเคราะห์การกุศลแห่งประเทศไทย เพื่อช่วยแนะนำเป็นความหวังอันเดียว

    แต่ท่านนายกสมาคมนั้นพบตัวยาก ข้าพเจ้าได้โทรศัพท์ทางไกล ๒ ครั้ง และเพื่อนฝูงได้ช่วยโทรฯ ไปก็ไม่พบตัว ยิ่งมีเวลาน้อยเป็นเวลาที่จำกัด ทำให้มีความรู้สึกว่าผลงานก็ยิ่งเชื่องช้า แต่เวลาผ่านไปเร็วเห็นจะเป็นความรู้สึกธรรมดาของมนุษย์ที่ทำงานแข่งกับเวลาทั่วไป นับว่าเป็นงานหนักใจพอตัว แต่เมื่อนึกถึงว่างานนี้เราทำเพื่อเกิดประโยชน์ส่วนรวม มิใช่งานส่วนตัวทำให้เกิดกำลังใจขึ้นมา คิดว่าจะต้องพยายามไปอีก

    ครั้งหนึ่งโดยเหตุบังเอิญ เช้าวันที่ ๒๖ กันยายน พ.ศ. ๒๕๑๑ คุณวิชัยได้โทรศัพท์แต่เช้า ชวนไปจังหวัดชลบุรีได้ความว่า คุณวิชัยมีความประสงค์จะไปหาอาจารย์สู หรือเซียนสู และไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย ข้าพเจ้าก็ไม่เคยรู้จักเช่นเดียวกัน แต่คิดว่าเราคงจะไปถามที่อยู่ของท่านได้ที่จังหวัดชลบุรี ตกลงวันนั้นคุณวิชัยนำรถมารับที่บ้าน เพื่อไปพบอาจารย์สูและได้รับผู้คุ้นเคยนับถืออีก ๒ ท่าน กว่าจะออกกรุงเทพฯ ก็ใกล้เพลเข้าไปแล้ว หลังจากถึงเมืองชล และกินอาหารกันเรียบร้อยแล้วก็บ่าย เราจึงหาตำบลที่อยู่ของอาจารย์สู แต่ก็หาไม่ยากนัก เพราะมีผู้รู้จักทั่วไป เมื่อข้าพเจ้าเดินเข้าไปในบ้านก็เห็นอาจารย์สูเดินยิ้มลงมารับ แม้ข้าพเจ้าจะได้พบอาจารย์สูเป็นครั้งแรก แต่กิริยาท่าทางของท่านทำให้ข้าพเจ้าเลื่อมใสเหมือนกันว่าจะรู้จะกันมานานปี เพราะท่านให้ความเป็นกันเองย่อมจะเกิดความสนิทสนมกันเร็ว

    เมื่อได้ร่วมสนทนา ท่านอาจารย์ท่านได้ให้ข้อคิดเรื่องเกี่ยวกับวิญญาณหลายข้อหลายตอน ทำให้เกิดความรู้เกิดประโยชน์แก่ผู้สนใจอยู่แล้ว เราได้สนทนาแต่เรื่องที่เป็นสาระในสิ่งลี้ลับ การสนทนาในวันนั้นทำให้เพลิดเพลินทั้งผู้ให้และผู้รับความรู้ ตอนหนึ่งคุณวิชัยได้ถามอาจารย์สูว่า “ผมได้ทำหนังสืออุทิศมอบซากร่าง หลังจากจิตดับหมดลมแล้ว เพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้ศึกษาต่อไป อยากทราบว่าวิญญาณของเราจะวนเวียนอยู่กับซากร่างนี้หรือไม่”

    อาจารย์สูบอกว่า “การที่เรามอบซากร่างของเรายกให้แก่โรงพยาบาล เพื่อประโยชน์การกุศล ถือว่าเราได้สละสิทธิ์ขาดไปแล้ว วิญญาณจึงหมดสิทธิ์ไม่มีข้อผูกพันกับซากนั้น จึงไม่มีวิญญาณวนเวียนอยู่กับซากศพร่างนั้นต่อไป”

    เราได้รับความรู้จากการสนทนากับอาจารย์อีกมากมาย คุณวิชัยอยากจะให้อาจารย์สูช่วยตรวจดูอาการโรคภัยไข้เจ็บ อาจารย์สูได้ให้บุตรสาวซึ่งกำลังเดินเข้ามา บุตรสาวผู้นี้เป็นคนโต ซึ่งมีชื่อเล่นว่าบ๊วย ชื่อจริงว่าฉวีวรรณ คุณฉวีวรรณหรือบ๊วยได้เข้าสมาธิหรือทางใน แล้วบอกอาจารย์สูให้ทราบถึงอาการป่วย ข้าพเจ้าเกิดความสนใจการดูทางใน เพราะข้าพเจ้าเคยเห็นเมื่อครั้งเด็กมีพระสมภารองค์หนึ่งท่านนั่งดูทางใน ทายโรคได้แม่นยำ ท่านเป็นชาวทวาย เป็นสมภารอยู่ที่วัดดอน อำเภอยานนาวา ชาวบ้านเรียกว่า ท่านใหญ่ มีผู้คนเคารพนับถือมาก โดยบังเอิญทราบจากคุณบ๊วยว่า ได้เคยอ่านและสนใจหนังสือชุด “กฎแห่งกรรม” มาก่อน

    ข้าพเจ้าจึงถือโอกาสเล่าถึงเรื่องการเขียนเรื่อง “วิญญาณที่วัดสะแก” และตั้งใจจะหาสุภาพสตรีที่เคยอาสาสมัครไปขุดศพ แต่ก็ยังมืดแปดด้าน เพราะยังไม่เคยรู้จักสุภาพสตรีเหล่านั้นมาก่อนว่าอยู่ที่ไหนบ้าง หากจะเที่ยวถามเดาสุ่มทั้งที่ไม่เคยรู้จักชื่อเสียงและเห็นหน้ามาก่อน เขาคงเข้าใจว่าถ้าไม่ใช่คนบ้าก็คนเมาแน่ คุณบ๊วยเมื่อได้ยินข้าพเจ้าพูดเช่นนั้นก็หัวเราะ และพูดว่าเธอเองก็เคยอาสาไปเช็ดล้างกะโหลก และกระดูกเพื่อทำความสะอาด แต่เธอมีเพื่อนคนหนึ่งเคยอาสาสมัครไปหลายจังหวัดหลายแห่ง มีจิตใจเข้มแข็ง

    คุณบ๊วยเล่าว่าได้ไปขุดศพที่ป่าช้าของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง เมื่อขุดไปถึงศพปรากฎว่าศพนั้นขึ้นอืดตัวพองบวมด้วยน้ำเหลือง ซ้ำในหลุมยังมีน้ำขังอยู่ด้วย แต่เพื่อนของเธอกระโดดลงไปซ้อนร่างศพยกขึ้นมา เพื่อนเธอทำได้อย่างสนิทสนมมิได้มีสีหน้าแสดงความรังเกียจแม้แต่น้อย เราฟังคุณบ๊วยเล่าด้วยความสนใจและตื่นเต้น นับว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาดที่หญิงสาวปฏิบัติได้ด้วยความสมัครใจ ทำในสิ่งที่คนส่วนมากทั้งเกลียดทั้งกลัวไม่ถึงกับลงมือหยิบอุ้ม เพียงแต่ได้กลิ่นเน่าก็จะสำลักเกิดอาเจียนกินข้าวไม่ลงไปหลายวัน แม้บางคนอายุมากแล้วยังกลัวไม่กล้าจะดู กลัวติดหูติดตา นอนสะดุ้งหวาดกลัวนอนไม่หลับไปหลายวัน

    ข้าพเจ้าจึงอยากรู้ว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อันใดที่ดลใจให้หญิงสาวมีจิตใจเข้มแข็ง ทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสาวอื่น คุณบ๊วยเล่าว่า อยากจะพาข้าพเจ้าไปแนะนำให้รู้จักกับเพื่อนของเธอ แต่เวลาของเราจำกัดมีน้อยเกรงว่าจะไม่พอ คิดว่าที่คุณบ๊วยเล่าให้ฟังนั้นก็คงจะไม่ผิดแปลกอะไรมากนัก คุณบ๊วยก็บอกว่า เพื่อนเล่าถึงความรู้สึกก่อนที่จะเข้าอาสาสมัครให้ฟังมาแล้ว คุณบ๊วยก็บอกว่าครั้งแรกเมื่อเห็นเพื่อนอายุคราวเดียวกันปฏิบัติในการขุดศพล้างป่าช้าโดยไม่รู้สึกเกลียดกลัว ทำได้เหมือนงานปกติ และเป็นงานได้บุญได้กุศลมาก เราก็ควรจะทำได้เหมือนเขา ใจก็เกิดศรัทธาขึ้นมาอยากลองดู เขาทำได้เราก็ทำได้

    เมื่อเข้าอาสาสมัครแล้ว เวลาจะเริ่มเดินทางไปขุดศพที่ไหนเราก็เริ่มกินเจ แต่บัดนี้ (ไม่กินเนื้อสัตว์) กินแต่พวกผัก เมื่อทางเซียนเขาตั้งพิธี แล้วแจกฮู้หรือผ้ายันต์สีแดงคนละแผ่นเท่าฝ่ามือเก็บติดตัวไว้ แล้วก็ให้ดื่มน้ำมนต์ลูบหน้า ทำให้เกิดกำลังใจแข็งกล้าขึ้น มีความรู้สึกตัวเองสามารถทำได้โดยไม่เกลียดไม่กลัวในสิ่งที่ปกติธรรมดามีความเกลียดมีความกลัวเป็นนิสัย พร้อมที่จะช่วยหยิบโกยศพขึ้นมาได้ ต่อมาก็เห็นเป็นเรื่องธรรมดาและถือว่าศพยิ่งขึ้นอืดก็ยิ่งชอบ เพราะได้บุญกุศลแรง หากขุดศพที่แห้งเหลือแต่เศษกระดูกผุ ก็รู้สึกว่าไม่เพลิดเพลิน รู้สึกกร่อยๆ ไม่คึกคัก

     


     

    Image

    ข้าพเจ้าถามถึงเรื่องกลิ่นศพ ซึ่งคนธรรมดาส่วนมากทนไม่ไหวนั้น ทำไมพวกอาสาสมัครจึงทนได้ คุณบ๊วยได้กรุณาบอกว่า สำหรับผู้มียันต์ของเซียนติดตัวและได้ดื่มน้ำมนต์แล้วกลิ่นที่เหม็นจะไม่รู้สึกทำให้เดือดร้อนอะไรเลย ข้าพเจ้าฟังแล้วคิดว่าคงจะเป็นแรงศรัทธาและอำนาจจิตและเป็นบุญกุศลยากที่จะปฏิบัติได้ทุกคน

    ข้าพเจ้าถามคุณบ๊วยข้อหนึ่งว่า เซียนเคยชี้ผิดขุดแล้วไม่พบอะไรเลย มีบ้างไหม ? คุณบ๊วยบอกว่าไม่เคยมี และเล่าให้ฟังว่าครั้งหนึ่งแปลกมากเมื่อเซียนชี้ได้ศพขึ้นมาแล้ว เซียนกลับวิ่งมาชี้อีก ขุดลงไปก็พบศพขึ้นมาเป็นศพที่สาม

    ข้าพเจ้าเห็นว่า ได้รบกวนพอสมควรแล้วก็จึงได้ลาท่านเจ้าบ้านผู้มีคุณธรรมสูง ที่เราได้มาเบียดเบียนเวลาอันมีค่าของท่านไปไม่น้อย และเห็นคนที่เจ็บไข้กำลังคอยพบท่านอย่างน่าเห็นใจ เมื่อออกจากบ้านอาจารย์สู เราก็มุ่งตรงไปตลาดบ้านบึง นับว่าเป็นโชคดี ที่ได้พบกับท่านนายกสมาคม ทั้งที่เราไม่นึกว่าจะพบ ท่านได้ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี และได้ให้เรื่องเกี่ยวกับการขุดศพล้างป่าช้าในจังหวัดต่างๆ ที่ผ่านมาแล้ว อย่างประหลาดพิสดาร ซึ่งข้าพเจ้ารู้สึกเป็นประโยชน์แก่ผู้สนใจอีกมาก แต่คราวนี้ข้าพเจ้าต้องรีบเร่งเรื่องวิญญาณที่วัดสะแกให้เรียบร้อยทันเวลา จึงมิได้สอดแทรกเรื่องที่น่าเป็นสาระ และท่านได้บอกว่าคราวหน้าฤดูแล้งจะมีการขุดศพทางภาคอีสาน

    ท่านจะได้แจ้งมาให้ข้าพเจ้าได้มีโอกาสเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยตนเอง ข้าพเจ้ากล่าวขอบคุณ จะหาโอกาสไปดูสิ่งที่ประหลาดมหัศจรรย์ด้วยตนเอง หากไม่มีอะไรขัดข้อง เพราะอนาคตเป็นของไม่แน่นอน แล้วเราก็ได้ลากลับด้วยเวลาจำกัด กว่าจะกลับถึงพระนครก็หลัง ๒๐.๐๐ น. ในคืนนั้น การเขียนเรื่องที่เกี่ยวกับวิญญาณที่ไม่มีหลักฐานจะพิสูจน์เหตุผล ได้แต่อาศัยเพียงหลักฐานจากผู้ประสบการณ์ต่างก็ยืนยันพอที่จะเชื่อถือได้

    แต่ข้าพเจ้านึกคิดอยู่เสมอทุกครั้งว่าข้าพเจ้าไม่ได้เขียนเรื่องธรรมดา เพราะเรื่องเกี่ยวกับวิญญาณเป็นเรื่องพิเศษเข้าใจยาก แต่เห็นว่ายุคปัจจุบันนี้มนุษย์อยู่ห่างจากศีลธรรมไกลจากศาสนา มนุษย์ทุกวันนี้ขาดความเห็นอกเห็นใจ ส่วนมากเห็นแก่ตัว ไม่สนใจว่าผู้ใดจะได้รับความเดือดร้อนลำบากยากแค้น ขอแต่ให้ตนได้รับความสะดวกสบาย อารมณ์ของผู้เห็นแก่ตัวไม่เคยคิดถึงบุญกรรม บาปกรรม ดีชั่ว

    ข้าพเจ้าได้เขียนเรื่อง “วิญญาณที่วัดสะแก” ขึ้นครั้งนี้ นอกจากจะเป็นเรื่องลี้ลับซับซ้อนแล้ว ก็มุ่งหวังจะยกย่องผู้ประกอบกรรมทำดี ซึ่งในยุคปัจจุบันนี้หาได้น้อย และการเขียนยกย่องความดีก็มิได้เกินความจริง หากว่าจะมีท่านผู้ใดมาถามว่า ที่ข้าพเจ้าเขียนนี้บางตอน เช่น ที่มีการต่อสู้รบระหว่างวิญญาณทางวัดสะแกกับเซียน ซึ่งได้ต่อสู้กันด้วยท่าทางรำร่ายฝ่ายเดียว ซึ่งอีกฝ่ายหนึ่งมองไม่เห็น ซึ่งบางท่านคิดว่าพวกเซียนอยากจะแสดง เพื่อให้เกิดความตื่นเต้นก็ได้ เพราะพิสูจน์ไม่ได้ ข้าพเจ้าก็จะบอกว่า “มันเรื่องแต่ละบุคคลมีสิทธิ์ที่จะคิดจะลงความเห็น เชื่อหรือไม่เชื่อ”

    แต่ความรู้สึกของข้าพเจ้า เมื่อได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วน และเป็นความเห็นของตนเองเชื่อแน่นอนไม่มีอะไรเคลือบแฝงอยู่เบื้องหลัง หลายท่านได้เล่าให้ฟังว่าการขุดล้างป่าช้าของสมาคมนี้ มิใช่ว่าจะเริ่มขุดเป็นครั้งแรก และคณะกรรมการก็ได้บอกแล้วว่า ตั้งแต่ขุดมากมายยังไม่เคยพบเหตุการณ์ที่วิญญาณดุมาก ไม่เคยเกิดต่อสู้เช่นนี้ ทั้งเวลาที่เกิดต่อสู้กันพวกกรรมการตกใจ เพราะไม่เคยประสบเหตุการณ์มาก่อน เซียนผู้ใหญ่ชั้นอาจารย์ก็มิได้มาเข้าในร่างทรงที่นุ่งห่มขาว มาเข้าผู้ที่ไม่รู้เรื่องเลย ทั้งข้าพเจ้าไม่เคยสนใจค้นคว้าความจริงในเรื่องการเข้าทรงมานานแล้ว ข้าพเจ้าเคยพบเรื่องการเข้าทรงวิญญาณต่างๆ มาไม่น้อย จึงรู้ว่าส่วนมากแอบแฝงอ้างอิงถึงวิญญาณโน้นวิญญาณนี้เพื่อหาประโยชน์ใส่ตัว พบแต่สิ่งที่ปลอมเพื่อหลอกลวงชาวบ้านเป็นส่วนมาก เมื่อท่านพบแต่ของปลอมเหมือนเล่นกลหาความจริงไม่ได้ ไม่เคยพบของจริงก็ท้อใจเป็นธรรมดา หมดศรัทธาที่จะเชื่อถือว่าจริงต่อไป

    ข้าพเจ้าได้เคยพบทั้งของจริงและของปลอม สิ่งใดมีจริงสิ่งนั้นก็ย่อมมีของปลอม สิ่งใดมีปลอมสิ่งนั้นก็ย่อมมีของจริง แต่ของจริงย่อมหายากเป็นธรรมดา และข้าพเจ้าอยากรู้อยากศึกษาว่า คนเราตายแล้วเกิดหรือตายเป็นสูญ ซึ่งข้าพเจ้าคิดว่าทุกคนก็อยากทราบอยากรู้อยู่ในความสนใจของมนุษย์ทุกชาติทุกภาษาทั่วโลกมาแต่ครั้งสมัยโบราณดึกดำบรรพ์ถึงปัจจุบันนี้

    ฉะนั้น ปัญหาตายแล้วเกิดจึงมีอยู่ทุกสมัยตลอดมา แต่เมื่อเราได้พูดถึงเรื่องวิญญาณเป็นส่วนหนึ่งในความรู้สึกของร่างกาย เมื่อร่างแตกดับหมดลมแล้ววิญญาณก็ล่องลอยไปตามกฎแห่งกรรม สุดแต่ความดีความชั่วจะนำไป แต่ก็มีไม่น้อยที่ไม่เชื่อกรรม เมื่อมาเปรียบเทียบกับหลักธรรมของพระพุทธเจ้า ที่ว่าเราเกิดมาเพราะกรรมหนุนนำต้องเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้สิ้นสุด ฉะนั้น เรื่องของวิญญาณจะต้องลอยไปตามผลกรรมดีกรรมชั่ว นี่ก็พอจะเห็นได้ว่าวิญญาณนั้นมีจริง การตายแล้วเกิดก็ไม่มีปัญหาอะไร

    ฉะนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านจึงทรงสอนให้ผู้ปฏิบัติเพื่อให้หลุดพ้น “กฎแห่งกรรม” อยู่เหนือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่ต้องกลับมารับทุกข์ใช้กรรมต่อไป เมื่อได้พิจารณาทางพระพุทธศาสนาประกอบด้วยแล้วก็ไม่มีข้อสงสัยอะไรอีก ที่พระพุทธเจ้าสอนให้ ดับทุกข์ ดับภพ ดับชาติ ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดดับ จมอยู่ในกองกิเลสไม่รู้จักสิ้นสุด ถ้าได้ใช้ความคิดใช้สติปัญญาก็จะเห็นแจ่มแจ้งว่า เรื่องวิญญาณมีจริง เรื่องเกิดดับเป็นจริง ถ้าเข้าใจว่าตายแล้วสูญวิญญาณไม่มีทำกรรมดีหรือกรรมชัวก็ไม่ต้องชดใช้หนี้กรรม ถ้าเช่นนี้พระพุทธศาสนาก็คงจะไม่เกิดขึ้นแน่

    การที่ข้าพเจ้าได้พยายามค้นคว้านำเรื่องวิญญาณมาเขียน ก็เพราะจะแก้มนุษย์ที่หลงเข้าใจผิด ทำดีไม่ได้ดี ทำชั่วได้ดี บุญบาปศีลธรรมไม่มี ชาติหน้าไม่มี จิตและวิญญาณไม่มี ชีวิตและร่างกายเป็นเพียงวัตถุ เมื่อหมดลมหายใจชีวิตก็ดับ สังขารและร่างกายเป็นเพียงวัตถุ เมื่อหมดลมหายใจชีวิตก็ดับ สังขารร่างกายเนื้อหนังก็เปื่อยเน่าไปตามธรรมชาติ ชีวิตและวิญญาณเมื่อตายแล้วก็สูญสิ้นไปไม่มีอะไรเหลือ นรกและสวรรค์ไม่มี นับแต่ทางวิทยาศาสตร์เจริญก้าวหน้า เรื่องนี้ทางชีววิทยา ทางฟิสิกส์ เมื่อก่อนถือว่าตายแล้วไม่มีอะไรเหลือ วิญญาณไม่มีนอกจากเหลือวัตถุ

    แต่บัดนี้ต่อไปไม่กี่ปี นักวิทยาศาสตร์แผนกจิตวิทยาได้ค้นคว้าทดลองได้พิสูจน์ว่าจิตวิญญาณนั้นมีจริง ดวงวิญญาณนั้นเป็นอิสระมิได้ขึ้นต่อส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย ฉะนั้น การเชื่อว่าตายแล้วสูญนั้น จึงทำให้ชาวตะวันตกผู้เจริญทางวิทยาศาสตร์ปัญญาชนกลับหันมาเชื่อว่า วิญญาณและจิตความรู้สึกนั้นมีจริง ตายแล้วไม่สูญดังเข้าใจแต่เดิม เวลานี้ทางต่างประเทศกำลังค้นคว้าทดสอบหาทางติดต่อระหว่างโลกมนุษย์กับโลกวิญญาณ ยังสามารถที่จะถ่ายภาพวิญญาณได้ บางวิญญาณยังสามารถรักษาบางโรคให้หายได้ แล้วการเกิดดับ เกิดดับวนเวียนนั้นก็ไม่มีข้อสงสัย เรื่องบุญบาปนั้นย่อมมีอย่างแน่นอนเป็นกฎแห่งกรรม สร้างกรรมดีก็จะไปเกิดในสถานที่สูงพร้อมด้วยทรัพย์อำนาจ สร้างกรรมชั่วก็ชักนำเราไปเกิดในที่ต่ำยากจนเข็ญใจ กรรมดีกรรมชั่วตามสนองเป็นอัตโนมัติ

    เมื่อข้าพเจ้ากำลังเขียนเรื่องวิญญาณที่วัดสะแก จะเป็นด้วยเหตุบังเอิญได้รับจดหมายจากคหบดีท่านหนึ่ง อยู่ที่ ๔๑ ซอยลิปะน้อย บนเกาะสมุยได้กรุณาเล่าเรื่องของท่านให้ฟังเป็นเรื่องแปลกประหลาดน่าคิดเพราะเข้าได้กับเรื่องที่กำลังเขียนอยู่ ข้าพเจ้าจึงได้จดหมายไปขออนุญาต เพื่อนำมาประกอบท้ายเรื่อง ท่านเจ้าของเรื่องก็อนุญาตด้วยความยินดี ใจความตอนหนึ่งท่านได้กรุณาเล่าว่า

    ที่บ้านผมได้เลี้ยงสุนัขไว้ตัวหนึ่ง เป็นสุนัขที่แสนรู้ ทั้งรูปร่างและการรู้ภาษามนุษย์ของมัน ทำให้คนในบ้านมีความรัก ความเอ็นดูมาก สำหรับผมให้ความรู้สึกอยากจะพูดว่า ร่างมันเป็นสุนัขปากมันพูดภาษามนุษย์ไม่ได้เท่านั้น นอกนั้นมันมีความรู้สึกเข้าใจเหมือนมนุษย์แทบทุกอย่าง


    ผมจึงมีความรู้สึกเหมือนมันเป็นสมาชิกในครอบครัวชีวิตหนึ่ง ผมให้ความรักใคร่เอ็นดูมันมาก และเพื่อนบ้านใกล้เคียงทุกคนให้ความรักมันและสงสารมัน และพวกเพื่อนของผมได้มาที่บ้านเมื่อเห็นต่างก็อดเอ็นดูมันไม่ได้ เพราะความรู้ภาษามนุษย์ของมัน

    วันหนึ่งในต้นเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๕๑๑ ผมมีกิจออกจากบ้านไปหลายเวลา ครั้นกลับมายังไม่ทันถึงหน้าบ้าน ผมก็เห็นมันวิ่งมาตะเกียกตะกาย กระโดดวิ่งสกัดข้างหน้าข้างหลังด้วยความดีใจที่มันเคยแสดงเมื่อผมไปไหนนานวัน เมื่อกลับบ้านมันก็แสดงดีใจเช่นเดียวกัน ผมเพียงแต่คิดว่าคราวนี้มันออกมาต้อนรับไกลจากบ้านแล้วก็คิดเลยไปว่าคงเป็นสัญชาตญาณ และเป็นนิสัยของมันที่มีความจงรักภักดีต่อเจ้าของ และความกตัญญูของมัน

    แต่เมื่อผมเข้าถึงบ้านแล้ว เมื่อถึงเวลาอาหารเราได้กินอาหารพร้อมหน้ากัน แต่ผมมองหน้าคนในบ้านต่างก็แสดงความไม่สบายใจ สีหน้าเศร้าหมองเหมือนมีทุกข์หนักผิดปกติ ผมก็เกิดความสงสัย แต่เห็นว่าเป็นเวลากินข้าวยังไม่อยากถามอะไร ตั้งใจว่าเมื่ออิ่มกันหมดแล้วจึงจะถามสาเหตุของความเศร้า แต่เมื่อไม่เห็นสุนัขตัวโปรดของผมไม่เห็นเข้ามานั่งอยู่ในบ้าน ตามปกติมันเป็นสุนัขที่แสนรู้ เวลากินก็ไม่เคยมายุ่ง เพียงแต่นั่งใกล้ประตูคอยดูคนจะเข้าออก นอกจากนั้นผู้อื่นที่ไม่ใช่คนในบ้านจะให้อะไรมันจะไม่ยอมกินเป็นอันขาด

    ครั้นผมถามถึงสุนัข คนในบ้านต่างก็สะดุ้งหันไปมองดูตากัน หลบสายตาจากผมก้มหน้า เพราะทุกคนรู้ว่าผมรักสุนัขตัวนี้เท่าชีวิตจิตใจ แล้วพูดเสียงเครือๆ อย่างไม่เต็มปาก อ้อมๆ แอ้มๆ ว่า “มันได้ตายเสียแล้ว”

    ผมได้ยินคำว่า “มันตายเสียแล้ว” ผมสะดุ้งตกใจอย่างไม่รู้ตัว คอหอยตื้นตันขึ้นมา ความรักความอาลัยเสียดายไม่รู้จะพูดอะไรถูก อิ่มข้าวทันทีทั้งเพิ่งจะลงมือกิน มันเป็นไปได้หรือที่ยังเห็นออกไปต้อนรับอย่างดีอกดีใจ เมื่อเห็นผมกลับบ้าน แต่ทุกอย่างเป็นไปแล้ว ผมไม่ได้หลับไม่ได้ฝันไม่เมา สติผมยังดีทุกอย่าง ผมกำลังเดินมาบ้าน ผมงงหมด ผมคิดแล้วน้ำตาไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว สุดจะกลั้นไว้ได้ และทุกคนในที่นั้นพูดถึงสุนัขนี้ก็น้ำตาไหลไปตามกัน


    ต่อมาผมก็รู้ว่า หลังจากผมออกจากบ้านไปไม่นานนัก สุนัขตัวโปรดของผมก็ถูกสุนัขนอกบ้านรุมกันกัดจนตาย และคนในบ้านต่างก็ร้องไห้เสียดายมาแล้ว ซากได้ฝังไว้ในเขตบ้านแล้วเรื่องนี้ผมเห็นประหลาด เมื่อผมได้เคยอ่านเรื่องเกี่ยวกับวิญญาณในชุดกฎแห่งกรรมของคุณแล้ว ก็เพียงคิดว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาดเท่าที่ศรัทธาก็ยังเชื่อไม่เต็มที่ ครั้นผมได้ประสบกับตนเองในเรื่องวิญญาณสุนัขของผม บัดนี้ผมเชื่อแน่ใจในเรื่องวิญญาณมีจริงเป็นเรื่องจริง แม้แต่วิญญาณของสัตว์ไม่เชื่อว่าจะมีก็ยังมี แล้ววิญญาณของมนุษย์ก็ไม่มีอะไรสงสัยอีกแล้ว

    ข้าพเจ้าขอให้ท่านที่ได้อ่านเรื่องนี้จงได้พิจารณาด้วยปัญญาตามหลักธรรมขององค์พระศาสดา ไม่ได้ให้เชื่อสิ่งใดง่ายๆ ก่อนที่จะได้พิจารณาหาเหตุผลรู้แน่ชัดเสียก่อน แน่ใจในเหตุผลแล้วจึงเชื่อ หากมนุษย์เป็นสิ่งที่ไม่ตายเวียนว่ายอยู่ตลอดไป นอกจากบรรลุถึงอรหันต์ดับกิเลสชาติ ดับภพสูญสิ้น ความรู้สึกบริสุทธิ์จึงว่างเปล่าไม่เหลือทั้งบุญทั้งบาป ไม่เหลือทั้งทุกข์ทั้งสุข เมื่อนั้นก็ถึงพระนิพพานหลุดพ้นไปได้

    หากมนุษย์เรามีที่ยึดเหนี่ยวในหลักธรรม เชื่อแน่ว่ากรรมมี ทำดีย่อมจะเกิดกรรมดี หรือกรรมชั่วย่อมจะเกิดความชั่วสนองทั้งชาตินี้และชาติหน้า นรกมี สวรรค์มี ไม่มีใครหนีพ้นกรรมดีกรรมชั่วที่ตนสร้างเองได้ ไม่มีพระเจ้าองค์ใดสาปแช่งลงโทษหรือบันดาลให้ความสุขความสบายได้ ทุกอย่างเกิดจากตัวเราเอง ให้พิจารณาดูตัวเรา

    ถ้ามนุษย์เชื่อ “กฎแห่งกรรม” เกิดเกรงกลัวไม่ยอมทำชั่วสร้างบาปสร้างกรรม กลัวที่จะต้องใช้หนี้กรรมต่อไป จะทำอย่างไรก็ย่อมระวังกลัวผิดศีลธรรม กลัวบาปและกรรมตามสนอง ก็จะเป็นผู้ไม่ประมาทมีสติยั้งคิด และก็จะมีศีลธรรมเกิดขึ้นแก่ผู้เชื่อกรรมทั่วไป ผู้มีจิตใจเหี้ยมโหดดุร้ายก็จะคลายลง ความเป็นอยู่ของสังคมทั่วไปจะสงบเข้าสู่ความปกติสุข เพราะมีความเห็นอกเห็นใจ ทุกคนมีศีลธรรม ปฏิบัติตนอยู่ในขอบเขต นี่เป็นที่ข้าพเจ้ามุ่งหวังความสงบ ในเมื่อมีผู้เชื่อเรื่องวิญญาณมีจริง กรรมดีชั่วตามสนองจริง ตายแล้วเกิดนั้นมีจริง คิดว่าท่านผู้ได้อ่านแล้วใช้สติให้เกิดปัญญาพิจารณาดูให้ถึงแก่นธรรมที่สอนให้ทำดี แล้วคงจะเห็นผลบ้างไม่มากก็น้อย

    สิ่งลี้ลับมหัสจรรย์นั้นมีแน่
    เช่นวิญญาณที่วัดสะแกให้แลเห็น
    แสดงอภินิหารชี้ชัดเจน
    น่าตื่นเต้นในเหตุการณ์ควรตามดู
    ท่านเป็นเซียนเสียสละเพื่อกุศล
    แต่ละคนมีศรัทธามีความรู้
    เป็นวัยรุ่นคนรุ่นใหม่น่าเชิดชู
    ช่วยเก็บศพทุกผู้ผสานงาน

    ท.เลียงพิบูลย์
     



    • Update : 3/4/2554
    © Copyright 2011 www.watnongmuang.com All rights reserved 999arch