หน้าแรก สมาชิก รายการวัตถุมงคล ตะกร้าวัตถุมงคล วิธีชำระวัตถุมงคล วิธีบูชาวัตถุมงคล ประวัติวัด ติดต่อวัด เว็บบอร์ด
สมาชิก Log in
อีเมล์
รหัสผ่าน
สมัครสมาชิกใหม่
ลืมรหัสผ่าน
















ค้นหาวัตถุมงคล
 
 
 
หมวดวัตถุมงคล
  เครื่องราง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง หลวงพ่อสวัสดิ์
  พระเครื่อง หลวงปู่พิมพ์มาลัย
  พระเครื่อง หลวงพ่อสง่า
วัตถุมงคลของคุณ
รหัสวัตถุมงคล ราคา จำนวน
ยังไม่มีวัตถุมงคลอยู่ในตะกร้า
  • ชำระค่าวัตถุมงคล
  • แก้ไขรายการวัตถุมงคล
  • วิธีสั่งบูชาวัตถุมงคล
  •  

    การเลี้ยงปลาบู่-2

    1.4.3  ไรแดง  ไรแดงเป็นแพลงก์ตอนสัตว์อีกชนิดหนึ่งมีขนาดเล็กแต่ขนาดใหญ่กว่าโรติเฟอร์อย่างเห็นได้ชัด  ชอบอยู่รวมกลุ่มมีสีแดง  สำหรับวิธีเพาะไรแดง มีขั้นตอน คือ

                                     1. ทำความสะอาดบ่อซีเมนต์และตากทิ้งไว้  1  วัน

                                     2. กรองน้ำด้วยถุงกรองผ้าโอลอนแก้วให้ได้ระดับน้ำ  20  เซนติเมตรและละลายปุ๋ยตามสูตรใดสูตรหนึ่ง ดังนี้

     สูตรที่ 1 :  อามิ - อามิ หรือกากผงชูรส จำนวน  5 ลิตร

       ปุ๋ย N-P-K สุตร 16 - 20 - 0 จำนวน  2 ก.ก.

       รำละเอียด   จำนวน  5  ก.ก.

       ปูนขาว    จำนวน  3 ก.ก.

     สูตรที่ 2 : อามิ - อามิ   จำนวน  20 ลิตร

       ปุ๋ย N-P-K สูตร 16 - 20 - 0 จำนวน  1.5 ก.ก.

       ยูเรีย    จำนวน  1.5 ก.ก.

       ปุ๋ยซุปเปอร์ฟอสเฟส  จำนวน  260 กรัม

       ปูนขาว    จำนวน  3 ก.ก.

                                     3. เติมน้ำเขียวลงบ่อประมาณ  1 - 2  ตัน คนบ่อย ๆ ประมาณ  3  วัน คลอเรลล่าขยายตัวเต็มที่ซึ่งสีน้ำจะมีสีเขียวเข้ม

                                     4. ใส่ไรแดงประมาณ  1.5 - 2.0  กิโลกรัม

                                     5. ประมาณ  2 - 3  วัน  ต่อมา  ไรแดงจะยายตัวเต็มที่แล้วดำเนินการรวบรวมไรแดงจนหมดบ่อ หลังจากนั้นเริ่มต้นเพาะไรแดงใหม่ต่อไป

     

                         การให้ไรแดงควรให้เมื่อลูกปลามีอายุ  12  วันขึ้นไป และควรให้ไรแดงในปริมาณ  200 กรัม/6  ตารางเมตร/ครั้ง  ในตอนเช้า  กลางวัน  และเย็น จนลูกปลามีอายุประมาณ  25  วัน  จึงลดปริมาณลงตามความเหมาะสม ลูกปลาบู่อายุ  30 - 37  วัน  มีความยาวประมาณ  8 - 10  มิลลิเมตร  จึงย้ายลูกปลาบู่ไปอนุบาลในบ่อขนาดใหญ่

     

     2. การอนุบาลในบ่อซีเมนต์ขนาดใหญ่  เมื่อลูกปลาอายุได้ประมาณ 1 เดือนก็ทำการย้ายไปอนุบาลต่อในบ่อซีเมนต์ขนาด  50  ตารางเมตร  ที่มีระดับน้ำประมาณ 40 - 50  เซนติเมตรโดยคัดลูกปลาให้มีขนาดใกล้เคียงกัน  แล้วปล่อยลูกปลาในอัตราตารางเมตรละ  100 - 160  ตัว   ในช่วงสัปดาห์แรกให้อาหารธรรมชาติมีชีวิต ได้แก่  ไรแดง  หนอนแดง  ฯลฯ  ประมาณ  10  เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัวปลา

                        ช่วงสัปดาห์ที่สองเริ่มฝึกให้กินอาหารสมทบที่มีสูตรอาหารประกอบด้วยปลาเป็ด 94  เปอร์เซ็นต์ รำละเอียด  5  เปอร์เซ็นต์  วิตามินเกลือแร่  1  เปอร์เซ็นต์ การฝึกให้ลูกปลาบู่กินอาหารสมทบ  ควรค่อย ๆ  ลดปริมาณไรแดงและเพิ่มอาหารสมทบสำหรับอาหารสมทบนั้นปั้นเป็นก้อนเล็ก ๆ  โยนให้ลูกปลาบู่รอบบ่อ และควรเปลี่ยนถ่ายน้ำทุกวัน ๆ ละ  5 - 10  เซนติเมตร  การเลี้ยงปลาบู่ในบ่อกลางแจ้งอาจประสบปัญหาสาหร่ายชนิดที่ไม่ต้องการโดยเฉพาะพวกที่เป็นเส้นใยขึ้นทั่วบ่อระหว่างอนุบาลลูกปลาซึ่งยากลำบากต่อการดูแล   ควรใช้น้ำเขียวเติมเป็นระยะ ๆ  ตามความเหมาะสมของคุณภาพน้ำความขุ่นและสีน้ำ อีกทั้งช่วยขยายอาหารธรรมชาติในบ่อ ได้แก่ ไรแดง อีกด้วย

     

     3. การอนุบาลในบ่อขนาดใหญ่  หรือในบ่อดิน  การอนุบาลลูกปลาบู่ขนาด 2.5  เซนติเมตรขึ้นไปส่วนใหญ่เลี้ยงในบ่อซีเมนต์และบ่อดินส่วนการเลี้ยงในกระชัง นั้นปรากฏว่าไม่ค่อยประสบผลสำเร็จ มีอัตรารอดและอัตราการเจริญเติบโตต่ำไม่เหมาะสมที่จะใช้อนุบาลลูกปลาขนาดดังกล่าว สำหรับการอนุบาลลูกปลาขนาดดังกล่าวในบ่อซีเมนต์ลูกปลาจะมี อัตรารอดสูงกว่าบ่อดินและรวบรวมปลาบู่ได้สะดวก  แต่อัตราการเจริญเติบโตช้าโดยปล่อยลูกปลาขนาด  5  เซนติเมตร  จำนวน  3,000  ตัว หรือตารางเมตรละ60  ตัว ให้อาหารปลาประกอบด้วย  ปลาเป็ด  94  เปอร์เซ็นต์  รำละเอียด  5 เปอร์เซ็นต์ วิตามินเกลือแร่  1  เปอร์เซ็นต์  ระยะเวลาเลี้ยง  90  วัน  อัตรารอด ประมาณ  85  เปอร์เซ็นต์  ลูกปลาที่มีน้ำหนักเฉลี่ย  1.46  กรัม  เพิ่มขึ้นเป็น 4.97  กรัม  ความยาวเฉลี่ย  5  เซนติเมตรเพิ่มเป็น  7.55  เซนติเมตร นอกจากนี้ การติดตั้งระบบน้ำหมุนเวียนโดยดึงน้ำจากบ่อพักมาเลี้ยงลูกปลาบู่แล้วปล่อยกลับสู่บ่อดินหมุนเวียนตลอดเวลาก็สามารถทำได้ ส่วนการอนุบาลลูกปลาบู่ในบ่อดินได้อัตรารอดไม่สูงนักและรวบรวมลูกปลา ได้ลำบากแต่มีการเจริญเติบโตเร็ว  จากการทดลองเลี้ยงปลาบู่ในบ่อดินของสถานีเพาะเลี้ยงปลาจังหวัดปทุมธานี  ใช้เวลาเลี้ยง  2  เดือน  โดยใส่ปุ๋ยมูลไก่แห้งเพื่อให้เกิดอาหารธรรมชาติ และให้อาหารสมทบ (ปลาเป็ด  94  เปอร์เซ็นต์ รำละเอียด  5 เปอร์เซ็นต์ วิตามินเกลือแร่  1  เปอร์เซ็นต์)  ในอัตรา  10  เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนัก ปลาพบว่า  ได้อัตรารอดเฉลี่ย  44  เปอร์เซ็นต์น้ำหนักลูกปลาเริ่มปล่อย 0.04 - 0.39 กรัม ได้น้ำหนักเฉลี่ย  2.4  กรัม

     

     จากการศึกษาอัตราปล่อยลูกปลาบู่ขนาด  1.5 - 3.0  เซนติเมตรในบ่อดิน พบว่า อัตราปล่อย  10,000  ตัวต่อบ่อดินครึ่งไร่ หรือตารางเมตรละ  12.5  ตัวใน เวลา  1  เดือน ได้อัตรารอดมากที่สุด คือ  61.06  เปอร์เซ็นต์

     

     

    การเลี้ยงปลาบู่

                        ปลาบู่มีราคาแพงจึงเป็นที่ต้องการของตลาดในประเทศและต่างประเทศเป็นจำนวนมาก  ทำให้มีผู้สนใจเลี้ยงปลาบู่อย่างกว้างขวาง  การเลี้ยงปลาบู่มีเลี้ยงกันในบ่อซีเมนต์  บ่อดินและกระชัง  แต่ที่นิยมเลี้ยงกันมากเป็นการเลี้ยงในกระชังส่วนบ่อดินก็มีผู้เลี้ยงกันอยู่บ้างทั้งในรูปการเลี้ยงแบบเดี่ยว แบบรวม และแบบผสมผสานสำหรับการเลี้ยงในบ่อซีเมนต์มีการเลี้ยงอยู่น้อยมากเพราะลงทุนสูง  และต้องการน้ำสะอาดในการเลี้ยง

     

    รูปแบบการเลี้ยงปลาบู่

     1. การเลี้ยงปลาในบ่อดิน   ส่วนใหญ่จะเลี้ยงร่วมกับปลาชนิดอื่น   เช่น เลี้ยงร่วมกับปลานิลเพื่อไว้คุมจำนวนประชากรของลูกปลานิลไม่ให้แน่นบ่อเช่นเดียวกับปลาช่อน  นอกจากนี้ยังมีการเลี้ยงร่วมกับปลาชนิดอื่นใต้เล้าไก่   หรือเล้าหมูโดยปล่อยอัตราส่วนปลาบู่ต่ำซึ่งขึ้นอยู่กับผู้เลี้ยงจะหาซื้อพันธุ์ได้จำนวนมากน้อยเท่าใดเมื่อเลี้ยงปลามีน้ำหนัก  400 - 500  กรัมขึ้นไปจึงจับจำหน่ายแล้วหาพันธุ์ปลามาปล่อยชดเชย อาหารที่ให้เป็นพวกปลาเป็ดบดปั้นเป็นก้อน ๆ ใส่ลงในเรือแจวให้อาหารเป็นจุด ๆ  รอบบ่อ  จุดที่ให้อาหารมีกระบะไม้ปักอยู่เหนือก้นบ่อเล็กน้อยในช่วงตอนเย็นปริมาณอาหารที่ให้ประมาณ  5  เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักปลา  ใช้เวลาเลี้ยง  8 - 12  เดือนจับจำหน่ายน้ำหนักปลาที่นิยมรับซื้อตั้งแต่  400 - 800 กรัมไม่เกิน  1  กิโลกรัม

     

     2. การเลี้ยงปลาบู่ในกระชัง  ปลาบู่เป็นปลาอีกชนิดหนึ่งที่นิยมเลี้ยงในกระชังเนื่องจากสามารถเลี้ยงได้หนาแน่นในที่แคบได้ และเป็นปลากินเนื้อจึงไม่จำเป็นต้องพึ่งอาหารธรรมชาติมากนัก ถึงแม้ว่าปลาบู่มีนิสัยชอบอยู่นิ่งเป็นส่วนใหญ่ แต่ชอบที่ที่มีน้ำไหลผ่านโดยเฉพาะน้ำที่มี่ความขุ่นยิ่งดีเพราะปลาบู่ตกใจง่ายเมื่อเลี้ยงในน้ำใสปลาบู่เป็นปลาที่มีราคาแพง ที่ปากกระชังราคากิโลกรัมละ  320  บาท (ราคาปี 2541)

                         การเลี้ยงปลาบู่ในกระชังมีวิธีการดังนี้

                                         1. การเลือกสถานที่  การเลือกสถานที่ที่เหมาะสมในการวางกระชังปลาบู่นับเป็นจุดเริ่มต้นการเลี้ยงที่สำคัญที่สุด ถ้าเลือกสถานที่เลี้ยงได้ดี ทำให้ปลาบู่เจริญเติบโตเร็ว อัตรารอดสูง ทุ่นค่าใช้จ่ายในการจัดการ สถานที่ที่เหมาะสมสำหรับการเลี้ยงปลาบู่ในกระชัง คือ

     1. คุณสมบัติของน้ำดีและมีปริมาณเพียงพอตลอดปี

     2. ใกล้แหล่งหาพันธุ์ปลาและอาหารปลาได้ง่าย ราคาถูก

     3. การคมนาคมสะดวกต่อการลำเลียงพันธุ์ปลาและอาหารปลา

     4. ไม่อยู่ใกล้แหล่งโรงงานอุตสาหกรรมและพื้นที่ที่มีการใช้สารเคมีสำหรับการเกษตรมากเพื่อหลีกเลี่ยงสารพิษที่ปนเปื้อนมากับน้ำ

     5. น้ำมีความขุ่นพอสมควรเพราะปลาบู่ชอบที่มืด  ช่วยให้ปลากินอาหารได้ดีและไม่ตกใจง่าย

     6. ความลึกของน้ำไม่ควรต่ำกว่า  2  เมตร

     7. มีกระแสน้ำที่ไหลแรงพอสมควร

     8. ปลอดภัยจากการถูกลักขโมย

     9. ปราศจากศัตรูและภัยธรรมชาติ

     10. ไม่กีดขวางการสัญจรทางน้ำและไม่ผิดกฎหมายบ้านเมือง

                             2. ประเภทของกระชัง   กระชังส่วนใหญ่เป็นกระชังไม้ไผ่หรือไม้จริง ส่วนกระชังตาข่ายไนลอนหรือใยสังเคราะห์หรือตาข่ายเหล็กที่ใช้เลี้ยงปลาน้ำกร่อยยังไม่เป็นที่นิยมของเกษตรกรผู้เลี้ยงปลาน้ำจืด กระชังแบ่งเป็นประเภท ๆ ดังนี้

                         2.1 กระชังไม้ไผ่ล้วน ๆ  เหมาะสำหรับผู้เลี้ยงปลาที่มีทุนน้อย  อายุการใช้งานประมาณ  1 - 1.5  ปี  กระชังที่ใช้กันทั่วไปมีขนาดกว้าง  2  เมตร  ยาว  5เมตร  ลึก  1.5  เมตร ราคากระชังละประมาณ  1,600 - 2,000  บาท  ไม้ไผ่ที่ใช้จะเหลาให้เรียบขนาดกว้าง  2.5  เซนติเมตร  หนา  0.5  เซนติเมตร  สานเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ามีเฝือกไม้ไผ่ปิดด้านบน  ใช้ลูกบวบไม้ไผ่ประมาณ  50  ลำ  ข้อเสียของกระชังแบบนี้ คือ  กระแสน้ำไหลถ่ายเทไม่สะดวกมีเศษอาหารเหลือตกค้างในกระชังและทำความสะอาดกระชังยาก

                         2.2 กระชังทำด้วยไม้ไผ่แต่โครงกระชังเป็นไม้จริง  นำไม้ไผ่มาผ่าเป็นซีก ๆละประมาณ  3  นิ้ว  ตัดเป็นท่อนตามความกว้างและความยาวของขนาดกระชังที่จะสร้างและตีไม้ไผ่รอบทุกด้านของโครงกระชังไม้จริงให้มีช่วงห่างประมาณ 1/2เซนติเมตร  เพื่อให้น้ำไหลผ่านและใช้ไม้ไผ่ขนาดเดียวกัน  ทำฝาปิดกระชังใช้ลูกบวบประมาณ  25  ลำ  อายุการใช้งานประมาณ  2  ปี  ค่าสร้างกระชังประมาณ2,800 - 3,200  บาท

                         2.3 กระชังไม้จริง  เหมาะสำหรับผู้ที่มีทุนมาก  กระชังชนิดนี้มีความทนทานอายุการใช้งาน  5 - 7  ปี  กระชังสร้างด้วยไม้ขนาดหน้า  4  นิ้ว  ใช้ไม้ขนาดหน้า4  นิ้ว   หนา  1  หน้า  ไสกบให้เรียบปิดพื้นและด้านข้าง  4  ด้าน  โดยให้มีระยะห่าง  1.5 - 2  เซนติเมตร  ด้านบนตีไม้ปิดเช่นเดียวกับด้านข้าง  และมีช่องปิด - เปิดสำหรับให้อาหารขนาดกว้าง  40  เซนติเมตร  ยาว  50  เซนติเมตร  ทุ่นลอยใช้ลูกบวบประมาณ  100  ลำ  กระชังไม้จริงขนาด  13  ตารางเมตร  ลึก  1.5  เซนติเมตรราคา  25,000  บาท  เมื่อย่างเข้าปีที่ 3 ต้องทำการซ่อมแซมและซ่อมแซมใหม่ทุก ๆ2  ปี

                  กระชังไม้จริงที่นิยมใช้มี 3 ขนาด คือ

                        ขนาดที่ 1  กว้าง  2.5  เมตร  ยาว  8  เมตร  ลึก  1.5  เมตร

                        ขนาดที่ 2  กว้าง  2.5  เมตร  ยาว  5  เมตร  ลึก  1.5  เมตร

                        ขนาดที่ 3  กว้าง  2.5  เมตร  ยาว  3  เมตร  ลึก  1.5  เมตร

     

    3. ขนาดกระชัง  ขนาดกระชังที่ใช้เลี้ยงปลาบู่ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้เลี้ยงซึ่งต้องพิจารณาร่วมกับขนาดของแหล่งน้ำและเงินทุนโดยทั่วไปกระชังมีขนาดตั้งแต่ 2 x 3  เมตร  2 x 5  เมตร  2.5 x 3  เมตร  2.5 x 8  เมตร  กระชังด้านบนมีฝาปิดเปิดและติดกุญแจป้องกันการลักขโมย

     

    4. อัตราการปล่อย  พันธุ์ปลาบู่ที่นิยมนำมาเลี้ยงส่วนใหญ่มีขนาด  100 - 300 กรัม  ซึ่งได้จากการรวบรวมจากธรรมชาติหรือซื้อจากพ่อค้าคนกลางที่ดำเนินการทั้ง ขายพันธุ์และรับซื้อปลาบู่ขนาดตลาดส่งเข้ากรุงเทพฯ  ปลาบู่มีนิสัยชอบนอนนิ่งอยู่บริเวณก้นกระชังทำให้สามารถปล่อยปลาบู่ได้หนาแน่น ประมาณ  70 - 100  ตัวต่อตารางเมตร  หรือ  10 - 30  กิโลกรัมต่อลูกกาศก์เมตร  ในแหล่งน้ำที่มีการไหลถ่ายเทของน้ำดีมากผ่านในกระชัง   ถ้าแหล่งน้ำใดมีคุณสมบัติน้ำไม่ดีและไหลถ่ายเทช้า  ควรปล่อยตารางเมตรละ  40 - 50  ตัว  ก่อนปล่อยพันธุ์ปลาลงในกระชังควรทำให้ปลามีความคุ้นเคยกับน้ำที่จะเลี้ยงโดยเอาน้ำในกระชังปนลงไปในภาชนะด้วยและควรฆ่าเชื้อป้องกันโรคเสียก่อน

                        สำหรับการป้องกันโรค   ก่อนปล่อยพันธุ์ปลาบู่ลงเลี้ยงควรแช่ปลาในน้ำเกลือที่มีความเข้มข้น  10  เปอร์เซ็นต์  แล้วนำมาแช่ในด่างทับทิมซึ่งมีความเข้มข้น 5 - 10พีพีเอ็ม  นาน  20  นาที  อีกครั้งหนึ่งเพื่อกำจัดหนอนสมอ แล้วนำไปแช่ในน้ำยาเมทธิลีนบลูเข้มข้น 2 - 3 พีพีเอ็ม  หลังจากนั้นนำไปปล่อยลงเลี้ยงในกระชัง เครื่องมือที่ใช้รวบรวมพันธุ์ปลาจากแหล่งน้ำธรรมชาตินิยมใช้ลอบ  ข่าย สวิง ยกยอ  ฯลฯ  แล้วนำปลาไปพักรวมกันในกระชังจนได้ปริมาณมากพอจึงค่อยลำเลียงพันธุ์ปลาไปยังผู้เลี้ยง  ทั้งนี้ควรป้องกันพันธุ์ปลาไม่ให้เกิดความบอบช้ำหรือมีบาดแผลและเกิดความเครียด  โดยก่อนพักปลาลงในกระชังควรทำการฆ่าเชื้อโรคที่ติดมากับตัวปลาโดยแช่ปลาในน้ำที่ผสมเฟอราเนซความเข้มข้น  1 - 2  กรัมต่อน้ำ  100  ลิตรแช่ไว้  5 - 15  นาที  หรือแช่ในสารละลายด่างทับทิมที่มีความเข้มข้น  10  พีพีเอ็ม นาน  10  นาที  ในระหว่างพักปลาควรดูแลเอาใจใส่  และให้อาหารเพียงพอเพื่อให้ปลาแข็งแรงขึ้นก่อนลำเลียงไปเลี้ยงในกระชังต่อไป

     

     5. อาหารและการให้อาหาร  ปลาบู่จัดเป็นปลากินเนื้อ  อาหารที่ดีควรมี

                        โปรตีน 38 - 40  เปอร์เซ็นต์  

                        ไขมัน  5 - 8  เปอร์เซ็นต์ 

                         คาร์โบไฮเดรต  9 - 12  เปอร์เซ็นต์ 

                         วิตามินและแร่ธาตุ  0.5 - 1 เปอร์เซ็นต์ 

     

                        อาหารใช้เลี้ยงปลาบู่แบ่งเป็น  2  ชนิด

                      5.1 อาหารแบบพื้นบ้าน   เป็นอาหารสดได้จากการนำปลาเป็ดจากทะเลหรือปลาน้ำจืดมาสับให้ปลากิน  หรือใช้เครื่องบดอาหารซี่งมีผลดีทำให้กระดูกปลาเป็ดป่นย่อยละเอียดไม่เป็นอันตรายต่อสำไส้ปลาบู่ ประหยัดเวลาและแรงงาน

    สูตรอาหารปลา  คือ  ปลาเป็ดสดบดละเอียด 94 เปอร์เซ็นต์      รำละเอียด   5 เปอร์เซ็นต์      วิตามินและเกลือแร่  1 เปอร์เซ็นต์ (เกษตรกรบางรายผสมหัวอาหารหมูหรือไก่ลงไปด้วย)  และควรใส่เกลือป่นในอัตรา100  กรัม  ต่ออาหาร  3  กิโลกรัม เพื่อทำให้อาหารจับตัวเหนียวขึ้นป้องกันการละลายหรือลอยตัวของอาหาร

                      5.2 อาหารผสมสูตรสำเร็จแบบเปียก  อาหารชนิดนี้ยังไม่เป็นที่แพร่หลายเตรียมจากวัสดุอาหารแห้งและเปียก สะดวกในการจัดเก็บได้นานในตู้เย็น  เตรียมง่าย และถูกสุขลักษณะทั้งยังสามารถเติมยาปฏิชีวนะและฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโต ปลาบู่กินอาหารเชื่องช้ากว่าปลาชนิดอื่น  จึงควรปั้นเป็นก้อนใส่ถาดแขวนไว้ในกระชังให้ต่ำกว่าระดับผิวน้ำประมาณ  50  เซนติเมตร  การให้อาหารจะให้อาหารทุก ๆ วัน ละ  3 - 5  เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักปลาในกระชังให้  2  วันครั้ง ๆ ละ 8 - 10  เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักปลา  การให้อาหารควรสังเกตว่าปลากินอาหารหมดหรือไม่และค่อยปรับเพิ่มหรือลดอาหาร

     

     6. อัตราการเปลี่ยนอาหารเป็นเนื้อ   อัตราการแลกอาหารเป็นเนื้อปลาบู่ที่เลี้ยงด้วยปลาเป็ดอยู่ระหว่าง  7.3 - 12.2 : 1

     

     7. การจัดการ  การเลี้ยงปลาบู่ในกระชังควรมีการจัดการด้านการทำความสะอาด การดูแลรักษาและการคัดขนาด

                      7.1  การทำความสะอาด   ควรใช้แปรงขัดภายในกระชังให้ตะไคร่น้ำตะกอนที่ติดตามตะไคร่น้ำและตัวกระชังออก   รวมทั้งเศษอาหารเพราะเป็นแหล่งหมักหมมและก่อให้เกิดเชื้อโรค  หลังจากปลาบู่เอาด้านข้างตัวไปถูกับด้านข้างกระชังหรือพื้นกระชังอาจทำให้ตัวเป็นแผลและเชื้อโรคตามตะกอนหรือตะไคร่น้ำเข้าตัวปลาทางแผลได้
     กรณีที่มีตะกอนดินทับถมในกระชังมาก ควรใช้พลั่วแซะตะกอนออก หรือใช้เครื่องสูบน้ำด้วยไฟฟ้าแบบจุ่มฉีดไล่ตะกอนเกษตรกรบางรายนิยมใช้ด่างทับทิมห่อด้วยผ้าถูตามภายในกระชังเพื่อฆ่าเชื้อ

                     7.2  การคัดขนาด  การเลี้ยงปลาบู่ต้องทำการคัดขนาดปลาบ่อย ๆ  ครั้งปกติเดือนละครั้งหรืออย่างน้อย  2  เดือนต่อครั้ง  เนื่องจากปลาบู่เป็นปลากินเนื้อและมีนิสัยก้าวร้าว  ปลาตัวใหญ่จะคอยไล่ไม่ให้ปลาตัวเล็กได้มีโอกาสเข้ามากินอาหารทำให้ปลาตัวเล็กผอมลงพฤติกรรมก้าวร้าวนี้เกิดขึ้นในลูกปลาบู่ตัวเล็กเหมือนกันคือถ้าลูกปลามีขนาดต่างกันมากจะกินกันเองแต่ในปลาบู่ขนาดใหญ่จะมีพฤติกรรมกัดกันเองและไล่กันไปมา  การคัดขนาดปลาบู่ทำให้ปลามีขนาดโตเท่ากันสม่ำเสมอเติบโตเร็วและเพิ่มผลผลิตอีกด้วย

                    7.3  การป้องกันโรค  ผู้เลี้ยงควรหมั่นดูแลสุขภาพของปลาบู่อยู่เสมอตรวจดูกระชังภายในให้อยู่ในสภาพดีและควรถือหลักป้องกันไม่ให้เกิดโรคมากกว่าที่ปลอ่ยให้ปลาเป็นแล้วทำการรักษาทีหลัง

     

     8. อัตรารอด   อัตราการรอดตายในการเลี้ยงปลาบู่ขึ้นอยู่ปัจจัยความแข็งแรงของพันธุ์ปลา คุณภาพน้ำในแหล่งน้ำ ความสามารถ ความชำนาญในการเลี้ยง และสภาพสิ่งแวดล้อม

     

     9. อัตราการเจริญเติบโต  อัตราการเจริญเติบโตของปลาบู่ขึ้นกับปัจจัยหลายประการ  อาทิ  อัตราปล่อย  คุณภาพและปริมาณอาหาร  คุณสมบัติน้ำ  ฯลฯจากการเลี้ยงปลาบู่ที่แม่น้ำน่าน จ. นครสวรรค์  พบว่าอัตราปล่อย  ตารางเมตรละ32 ตัว  ใช้เวลา 7 เดือนจะให้ผลผลิตสูงสุด

     

     10. ผลผลิต  ผลผลิตการเลี้ยงปลาบู่ในกระชังไม้ไผ่ขนาด  10  ลูกบาศก์เมตร อัตราการปล่อยปลา  915  ตัว  น้ำหนักเฉลี่ย  224  กรัม  ใช้เวลาเลี้ยง  5.3  เดือนได้น้ำหนักเฉลี่ย 435 กรัม ส่วนกระชังไม้จริงขนาด 15 ลูกบาศก์เมตร อัตราการปล่อยอาหาร  1,500  ตัว  น้ำหนักเฉลี่ย  184  กรัม  ใช้เวลาเลี้ยง  8.5  เดือน ได้น้ำหนักเฉลี่ย  422  กรัม  การเลี้ยงปลาบู่ถ้ามีการเอาใจใส่การเลี้ยงปลา มีประสบการณ์ความชำนาญและสภาพแวดล้อมดี ปลาไม่เป็นโรคก็จะให้ผลผลิตต่อหน่วยพื้นที่สูง ขายได้ราคาแพง และมีกำไรสูง

     

    โรคพยาธิและการป้องกัน  เกษตรกรผู้เลี้ยงปลาบู่ส่วนใหญ่มีความวิตกเรื่องโรคที่จะเกิดขึ้น  ดังนั้นการป้องกันโรคไว้ก่อนจึงเป็นทางเดียวที่จะไม่ทำให้ปลาบู่เป็นโรค   ซึ่งผู้เลี้ยงต้องคอยเอาใจใส่ดูแลสุขภาพของปลาบู่   การจัดการที่ดีทำให้ปลามีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงอีกทั้งต้องหมั่นสังเกตสภาพแวดล้อมโดยรอบของกระชัง  เช่น  คุณภาพน้ำทางต้นน้ำอาการเป็นโรคของปลาในธรรมชาติ สำหรับโรคพยาธิที่พบในปลาบู่ แบ่งเป็น 6 ประเภท คือ

            1. พยาธิภายนอก

                        1.1 พยาธิภายนอกที่มองเห็นด้วยตาเปล่า ได้แก่

                           - หนอนสมอ  พบมากตามซอกเกล็ด  ครีบและในช่องปาก พยาธิพวกนี้จะดูดเลือดปลาทำให้ปลาอ่อนแอ

                           - เออกาซิลัส  ดูดเลือดตามเหงือกปลา ถ้าเกาะนาน ๆ ทำให้ เหงือกกร่อน ก่อให้เกิดปัญหากับระบบหายใจ

                           - โกลซิเดีย  เป็นตัวอ่อนของหอย  2  ฝา  เกาะตามซี่เหงือก ทำให้ลดพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนออกซิเจน

                        1.2  พยาธิภายนอกที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ได้แก่ ทริกโคไดนา ฮีนีกูยา อีพัสไทลิส ชิโลโดเนลลา แดคไทโรจัยลัส อาการปลาบู่ที่มีพยาธิเหล่านี้คือลอยหัว เกล็ดหลุด เหงือกซีด บางครั้งพบจุดขาว ๆ ประปรายทั่วไป

             2. พยาธิภายใน   ได้แก่  พยาธิตัวกลม  พยาธิหัวหนาม  ทำให้ปลาผอม ไม่กินอาหาร

             3. เชื้อรา   ได้แก่  แซปโปรเลกเนีย  ขึ้นเป็นกระจุกมีแขนงมากมายบริเวณ ผิวหนังของลำตัว  เชื้อนี้จะฝังลึกเข้าไปในเนื้อเยื่อทำให้เกล็ดหลุดเกิดบาดแผลปลาอ่อนแอ

             4. เชื้อบัคเตรี  ได้แก่  แอโรโมแนสไฮโดรฟิลา คอรีนีแบคทีเรียม สเตรปโตคอคคัส อาการที่พบคือ ท้องบวม ตาโปน แผลตามลำตัว เกิดน้ำเหลืองในช่องท้อง ไตบวม  เป็นต้น  สำหรับเชื้อแอโรโมแนส  ไฮโดรฟิลา  เป็นตัวที่ก่อให้เกิดโรคในปลาบู่มากกว่าชนิดอื่น ๆ

             5. มะเร็งต่อมน้ำเหลือง   ปลาที่ป่วยเป็นโรคนี้หากสังเกตจะพบว่าบริเวณแผ่นปิดเหงือกเริ่มกางออกเนื่องจากโคนครีบหูบวมพองขึ้นมาคล้ายกับก้อนเนื้อพองออกโดยเฉพาะด้านหน้าโคนครีบ  ก้อนมะเร็งดังกล่าวจะเติบโตมีขนาดใหญ่ทำให้แผ่นปิดเหงือกกางออกมากและมะเร็งลุกลามถึงแผ่นปิดเหงือก   กระดูกเหงือกบนครีบหูและบริเวณส่วนหัว โรคนี้ไม่มีวิธีการรักษา  

             6. โรคตับไต  ปลาที่เป็นโรคนี้ไม่มีความผิดปกติตามลักษณะภายนอก  พบว่าเหงือกซีดกว่าปกติเนื่องจากเลือดจาง  ตับโตใหญ่มีสีเหลืองอ่อน  ม้ามมีขนาดใหญ่และเลือดออก สาเหตุของโรคมาจากการได้รับอาหารไม่ถูกส่วน

     

    การป้องกันรักษา  การป้องกันไม่ให้ปลาเป็นโรคเป็นวิธีที่ดีที่สุด  ซึ่งขึ้นกับสภาพแวดล้อม และความเอาใจใส่ของเกษตรกรผู้เลี้ยงปลา

    การรักษาปลาเป็นโรค

                1. การกำจัดพยาธิภายนอก   สามารถกำจัดด้วยสารเคมี   ใช้ฟอร์มาลิน 25 - 50 พีพีเอ็ม  แช่วันละ  2  ครั้ง  ติดต่อกัน  2 - 3  วัน  หรือนำ ปลาไปแช่ ฟอร์มาลิน  250  พีพีเอ็ม  นาน  1  ชั่วโมง  หรือใช้กรดเกลเซียลอะซิติค  1  ต่อ 2,000  แช่  30  นาที หรือใช้ด่างทับทิม  3 - 5  พีพีเอ็มแช่ตลอดไป  แต่ถ้าใช้ความเข้มข้น  10  พีพีเอ็ม  แช่  30  นาที  ส่วนเมทธีลีนบลู  ใช้ฆ่าโปรโตซัวได้ดีโดยเฉพาะโรคอิ๊กโดยเตรียมสารละลายที่เตรียมไว้  1  ซี.ซี.  ต่อน้ำ  5  ลิตร  แช่นาน  1  วัน  ทำซ้ำทุก ๆ  2  วัน  จนหาย  ส่วนโปรโตซัวชนิดอื่น ๆ ใช้  3 ซี.ซี.ต่อน้ำ  10  ลิตร  แช่ตลอด

                 2. กำจัดพยาธิภายใน  ควรใช้ยาถ่ายพยาธิ  เช่น  ดีเวอร์มินผสมในอาหาร0.1 - 0.2 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักอาหาร  3  วันติดต่อกัน

                 3. การกำจัดเชื้อรา  ใช้มาลาไคท์กรีน  1 - 5  ส่วนต่อน้ำล้านส่วนแช่  1  ชั่วโมง 3  ครั้งติดต่อกัน

                 4.การกำจัดเชื้อบัคเตรี  การรักษากระทำได้ผลต่อเมื่อปลาบู่ติดเชื้อระยะเริ่มแรกแต่ถ้าปล่อยไว้นานการรักษาจะไม่ค่อยได้ผลสำหรับบัคเตรีส่วนใหญ่ใช้ยาปฏิชีวนะ เช่นซัลฟาเมอราซิน  200  มิลลิกรัมต่อน้ำหนักปลา  1  กิโลกรัม ผสมอาหารให้กินติดต่อกัน  14  วัน 

                         อิริโทรมัยซิน  10  กิโลกรัมต่อน้ำหนักปลา  100  กิโลกรัม ผสมอาหารให้กินติดต่อกัน  14  วัน 

                        คลอแรมฟินิคอล  5 - 10  กิโลกรัม ผสมอาหารให้กินติดต่อกัน  14  วัน

                        คลอแรมฟินิคอล  5 - 10 กิโลกรัมต่ออาหารปลา  10  กิโลกรัม ติดต่อกัน5 - 10  วัน 

                        สำหรับคลอแรมฟินิคอล ถ้าใช้ฉีดควรใช้  10 - 30  มิลลิกรัมต่อน้ำหนักปลา  1  กิโลกรัม วันละ  1  ครั้ง  3  วัน

     

    การรวบรวมลูกปลา

    เครื่องมือที่ใช้ในการจับหรือรวบรวมปลาบู่ในธรรมชาติมีอยู่หลายชนิดดังนี้

                        1. ข่าย   เป็นเครื่องมือทำการประมงที่นิยมใช้กันมากที่สุด   ขนาดของข่ายที่นิยมใช้มีความยาว  50 - 180 เมตร  ลึก  1.5  เมตร  ช่องตา  2 - 14  เซนติเมตรใช้ข่ายประมาณ  4  ผืนต่อชาวประมงหนึ่งราย

                        2. เบ็ดราว   เป็นเครื่องมือทำการประมงที่พบกันทั่วไป  ขนาดตัวเบ็ดตั้งแต่เบอร์  01 - 05  เบอร์  8  และเบอร์  20 - 24  เบ็ดราว  1  เส้นมีตัวเบ็ด  20 - 50  ตัวชาวประมงบางรายใช้เบ็ดประเภทไม่มีเงี่ยง ทำให้ปลาบู่ที่จับได้บาดเจ็บน้อยมาก

                        3. สวิง   เป็นเครื่องมือขนาดเล็กใช้ช้อนสัตว์น้ำขนาดเล็ก  ซึ่งจะได้ปริมาณน้อยในการทำการประมงแต่ละครั้ง

                        4. ลอบ  เป็นเครื่องมือที่ใช้ประกอบเครื่องกั้น  เช่น  เฝือกกั้นแล้วใช้ลอบวางดัก วิธีนี้ปลาบู่จะบอบช้ำหรือบาดเจ็บน้อยที่สุด

                        5. กร่ำ  เป็นการนำกิ่งไม้แห้งมาสุมกันเป็นกองขนาดใหญ่ตามแหล่งน้ำปล่อยทิ้งไว้ให้ปลาเข้ามาอาศัยอยู่ หลังจากนั้นใช้อวนล้อมแล้วเอากิ่งไม้แห้งออกเพื่อจับปลา

                        6. แห   เป็นเครื่องมือจับสัตว์น้ำพื้นบ้าน   ขนาดแหที่นิยมใช้ความยาว  5 - 9 ศอก  (2.5 - 4.5  เมตร)  ขนาดช่องตา  1.5 - 6.0  เซนติเมตร  ซึ่งนิยมใช้ทำการประมงในช่วงฤดูน้ำลดบริเวณแหล่งน้ำที่น้ำแห้ง

                        7. ยอยก  เป็นเครื่องมือจับปลาที่นิยมใช้ในจังหวัดอุบลราชธานีเป็นยอขนาดใหญ่ติดอยู่กับแพลอยตามกระแสน้ำ  ใช้วางจมลงในแหล่งน้ำเป็นเวลานาน ๆ  หรือใช้แสงไฟล่อปลาในเวลากลางคืนแล้วยกยอขึ้นเพื่อจับปลา วิธีนี้ปลาปลาบู่จะบอบช้ำน้อยการตลาด ปัจจุบันปลาบู่นับวันมีราคาแพงขึ้น เนื่องจากพันธุ์ปลาที่นำไปเลี้ยงหายากและสภาพแวดล้อมเปลี่ยนไปแต่ความนิยมบริโภคปลาบู่มีปริมาณสูงขึ้น   โดยส่งเป็นสินค้าออกไปยังประเทศฮ่องกง  สิงคโปร์และมาเลเซีย  ซึ่งผู้บริโภคเชื่อว่ามีคุณค่าทางอาหารสูง  ทำให้ร่างกายแข็งแรงและเพิ่มพลัง  ในสมัยก่อนนั้นมีการเลี้ยงปลาบู่ในกระชังกันมาก  เช่น  จังหวัดนครสวรรค์  อุทัยธานี  ชัยนาท  สิงห์บุรี  อ่างทอง  พระนครศรี-อยุธยา  และปทุมธานี  ต่อมาการเลี้ยงปลาบู่ประสบปัญหาปลาเป็นโรค และตายมากจำนวนผู้เลี้ยงและผลผลิตลดลง ราคาปลาจึงสูงขึ้นตามกลไกตลาด

     

    ราคาและผลตอบแทน

                        ราคาพันธุ์ปลาบู่ที่เกษตรกรซื้อมาเลี้ยงในกระชังตั้งแต่ปี  2525 - 2537  ราคากิโลกรัมละ  30 - 160  บาท ส่วนราคาปลาบู่เพื่อบริโภคมีราคาตั้งแต่  200 - 350 บาทต่อกิโลกรัม

     

    การขนส่งลำเลียง

                        การขนส่งลำเลียงเริ่มตั้งแต่การขนส่งลูกพันธุ์ปลาบู่ขนาดเล็ก  1 - 2 นิ้วไปยังผู้เลี้ยง และการลำเลียงปลาบู่ขนาดตลาดไปยังกลุ่มผู้บริโภค วิธีการลำเลียงมี  2  วิธี

                                 1. การลำเลียงโดยใช้ถุงพลาสติกอัดออกซิเจน   เหมาะสำหรับใช้ลำเลียงลูกปลาบู่ขนาดเล็ก  1 - 2  นิ้ว  และปลาบู่ขนาด  50 - 250  กรัม  วิธีนี้เป็นการลำเลียงที่เหมาะสมที่สุดไม่ทำปลาบอบช้ำ  ปกติใช้ถุงพลาสติกขนาด  20 x 30 เซนติเมตร ใส่น้ำสูงประมาณ  10 - 15  เซนติเมตร  ถุงปลาแต่ละถุงสามารถบรรจุลูกปลาขนาด  1 - 2  นิ้ว  จำนวน  500 - 700  ตัว  เมื่อใส่พันธุ์ปลาแล้วอัดด้วยออกซิเจนบริสุทธิ์รัดปากถุง สำหรับพันธุ์ปลาที่จับได้จากธรรมชาติควรบรรจุถุงละ5 - 20  ตัว  แล้วแต่ขนาดพันธุ์ปลา  ปริมาณน้ำในถุงพลาสติกลำเลียงไม่ควรใส่มากนักทำให้มวลน้ำในถุงมีการโยนตัวไปมามากทำให้ปลาถูกกระแทกไปมาบอบช้ำมากขึ้น สำหรับการลำเลียงพันธุ์ปลาจากธรรมชาติไปเลี้ยงในกระชังควรบรรจุถุงพลาสติกอัดออกซิเจนดีกว่าลำเลียงด้วยถาดสังกะสี

                                 2. การลำเลียงโดยใช้ถาดสังกะสี  เหมาะสำหรับใช้ลำเลียงปลาบู่ขนาดตลาดไปขายพ่อค้าคนกลางหรือภัตตาคาร  ขนาดถาดลำเลียงมีความกว้าง  45  เซนติเมตรยาว  70  เซนติเมตร  สูง  9  เซนติเมตร  ด้านข้างตามความยาวของถาดมีรูกลมขนาด  1.5 - 2.0  เซนติเมตร  เรียงเป็นแถวเดี่ยว ส่วนด้านกว้างมีหูหิ้วทั้ง  2  ข้างถาดทำด้วยสังกะสีและมีฝาครอบถาด ภายในมีแผ่นสังกะสีกั้นกลาง แบ่งออกเป็น 2 ช่อง

                                 วิธีการลำเลียง  นำปลาบู่มาวางเรียงกันเป็นแถวเพียงชั้นเดียวจนเต็มถาดแล้วเอาน้ำพรมให้ทั่วและใส่น้ำพอท่วมท้องปลาเล็กน้อยจากนั้นปิดฝา   ถ้าปลามีจำนวนมากก็ลำเลียงถาดขึ้นรถซ้อนเป็นชั้น ๆ  วิธีนี้เหมาะสำหรับขนปลาบู่ขนาดตลาดไปขายเพราะขนได้ครั้งละจำนวนมาก ประกอบกับปลาบู่เป็นปลาที่อดทนมากพอสมควรเมื่อลำเลียงไปถึงปลายทางแล้วถูกนำไปพักในบ่อปูนแสดงไว้ให้ผู้บริโภคได้เลือกซื้อหรือใส่ภาชนะอื่น ปลาบู่ก็ยังสามารถมีชีวิตได้นานพอสมควร

     

    การใช้ประโยชน์

                        ปลาบู่สามารถเลี้ยงรวมกับปลาอื่น  เพื่อเป็นตัวควบคุมประชากรปลาเช่น การปล่อยปลาในบ่อปลานิลเพื่อควบคุมประชากรปลานิลไม่ให้มีมากเกินไปมิฉะนั้น ปลานิลจะเติบโตช้าและไม่ได้ขนาดตามที่ต้องการ  ทั้งยังได้ผลผลิตปลาบู่เป็นรายได้เสริมอีกทางหนึ่ง  ปลาบู่ยังสามารถเลี้ยงเป็นปลาสวยงามได้เช่น ปลาบู่ทอง  แต่ส่วนใหญ่ปลาบู่ทรายนิยมเลี้ยงเพื่อการบริโภคเพราะมีเนื้อขาวสะอาดนุ่มอร่อย  รสชาติดี สามารถนำไปแปรรูปเป็นอาหารได้หลายชนิด  ซึ่งชาวจีนนิยมบริโภคโดยมีความเชื่อว่ากินแล้วช่วยบำรุงกำลังร่างกายให้แข็งแรงและต้องบริโภคปลาบู่เป็น ๆ สด ๆ

     


    • Update : 15/8/2554
    © Copyright 2011 www.watnongmuang.com All rights reserved 999arch