หน้าแรก สมาชิก รายการวัตถุมงคล ตะกร้าวัตถุมงคล วิธีชำระวัตถุมงคล วิธีบูชาวัตถุมงคล ประวัติวัด ติดต่อวัด เว็บบอร์ด
สมาชิก Log in
อีเมล์
รหัสผ่าน
สมัครสมาชิกใหม่
ลืมรหัสผ่าน
















ค้นหาวัตถุมงคล
 
 
 
หมวดวัตถุมงคล
  เครื่องราง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง หลวงพ่อสวัสดิ์
  พระเครื่อง หลวงปู่พิมพ์มาลัย
  พระเครื่อง หลวงพ่อสง่า
วัตถุมงคลของคุณ
รหัสวัตถุมงคล ราคา จำนวน
ยังไม่มีวัตถุมงคลอยู่ในตะกร้า
  • ชำระค่าวัตถุมงคล
  • แก้ไขรายการวัตถุมงคล
  • วิธีสั่งบูชาวัตถุมงคล
  •  

    กฎแห่งกรรม - วังเปรต(1)

    กฎแห่งกรรม - วังเปรต(1)

    คณะผู้อ่านครับ จบเรื่องนี้แล้วก็เห็นจะจบเรือง คำสารภาพของวิญญาณที่ผมนำมาเรียบเรียงใหม่ จากการสนทนากับหลวงพ่อวัดวงษ์ฆ้อง คลองเมือง อยุธยา ซึ่งท่านกได้เมตตาเล่าเรื่องอะใรๆ ให้ผมฟังแยะ
    ก่อนอื่น ผมเห็นจะต้องทำความเข้าใจกันเสียหน่อยก่อน คือคำว่าวังนี่นะครับ ไม่ได้หมายความว่าเป็นวังที่ประทับของเจ้านาย ที่เราเรียกกันแต่เป็นที่ชุมนุมของสิ่งที่มีชีวิตประเภทเดียวกัน เช่น วังกุ้ง วังจระเข้ หมายความว่า เป็นที่ชุมนุมของกุ้ง ของจระเข้ ทีนี้ วังเปรต ก็จะมีความหมายความว่า เป็นที่ชุมนุมของเปรต
    เปรตมีจริงไหม? หน้าตารูปร่างเป็นอย่างไร? เดี๋ยวค่อยคุยกันครับ ผมเองน่ะไม่เคยเห็นหรอกครับ เคยแต่ได้ยินคำว่า ผีวัดสระเกศ เปรตวัดสุทัศน์ ได้ยินมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว มาอีกทีก็ตอนแก่ ที่ได้เห็นเปรต อีกหนหนึ่งก็ที่วัดไผ่โรงวัวโน่น
    ผมว่า ท่านที่ไปทัศนาจรวัดไผ่โรงวัวคงจะได้เคยเห็นเปรต ที่เนรมิตขึ้นจากจินตนาการของหลวงพ่อของตามนัยแห่งหนังสือไตรภูมิพระร่วงโดยทั่วกันแ
    ล้ว ว่ารูปร่างหน้าตาเปรตนี่เป็นอย่างไรแปลกก็แต่ว่าเปรตนี่มีทั้งเปรตผู้ และเปตรเมีย แต่เมื่อมีเปรตเพศอย่างนี้แล้ว มันจะมีลูกเปรตออกมาบัางหรือไม่...ผมไม่ทราบ แต่ผมเคยได้ยินผู้หลักผู้ใหญแต่ก่อน ท่านดุว่าเด็กซนๆ ดื้อๆ ด้านๆ ว่า “ไอ้เด็กเปรตนี่...เดี๋ยวพ่อด...” ก็คงแปลว่าเปรตที่เป็นเด็ก ก็คงอาจจะมีบ้างก็ได้กระมังครับ
    เริ่มเรื่องก็คือว่า ที่ตำบลดงประคำอำเภอพรมพิราม จังหวัดพิษณุโลกโน่น มีหญิงผู้หนึ่งลูกผู้มีอันจะกิน มีหน้ามีตาในอำเภอได้ล้มป่วยลง มีอาการละเมอเพ้อเหมือนคนเสียสติคำละเมอที่กล่าวออกมามีคำเดียวคือ “ขอข้าหน่อย..ขอข้าหน่อย” พอสักครู่ก็ชักดิ้นชักงอ หมดสติไป ครู่ใหญ่ พอตื่นขึ้นมารู้สึกตัวก็เหมือนคนปกติ พูดจา เดินเหิน ทำอะไรๆ ได้เหมือนคนดีๆ ทุกอย่าง
    ที่แปลกก็คือ อาการจะเกิดขึ้นในวันพระหรือวันโกน ตอนข้างแรมเริ่มตั้งแต่แรม 7 ค่ำ 8 ค่ำ ไปจนถึงแรม 14 ค่ำ 15 ค่ำ พอข้างขึ้น อาการต่างๆจะไม่มี
    ทั้งนี้ยังแปลกยิ่งไปกว่านั้นอีกสามีของสตรีก็เกิดอาการโรคติดต่อเหมือนกัน คือพอข้างแรมแก่ๆ ก็จะมีอาการไม่รู้ตัว สติเลื่อนลอยไม่รู้อะไรทั้งสิ้น ว่าตัวนี่อยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่ จหน้าตาใครต่อใครไม่ได้แม้แต่ลูกเมีย ปากก็พูดเหมือนกับภรรยาว่า “ขอข้ามั่งซิ...ขอข้ามั่งซิ...” แล้วก็ล้มตัวลงนอน หมดสติหลับไป พอฟื้นขึ้นมาก็รู้สึกตัวเป็นปกติ
    ทีแรกคนทั่วๆ ไปก็นึกว่าล้อเล่นหรือแกล้ง ทีนี้เป็นถี่ขึ้นๆ คนก็สงสัยว่าจะเป็นจริง คงป่วยด้วยโรคอะไรชนิดหนึ่ง หมอชาวบ้านโบราณๆ ว่าเห็นจะเป็นเพราะ ปอบ หรือ ถูกคุณไสย
    ญาติพี่น้องได้พา สองสามีภรรยาไป รักษาในที่ต่าง ๆ หมดค่ารักษาไปแยะ อาการไม่หายสนิท อยู่ๆ ก็เป็นอีก อยู่ๆ ก็หาย เป็นอยู่อย่างนี้เป็นปี บทดีก็ดี ทำมาหากินเหมือนคนปกติ ไปวัดไปวาทำบุญสุนทาน ตามที่เคยปฏิบัติไม่ได้ขาด
    มิช้ามินาน ลูกชายคนโตซึ่งย่างเข้าวัยหนุ่มแล้ว ก็เกิดอาการแบบนี้อีกคน อยู่ๆ ก็ไม่รู้ตัว ออกเดินไปไหนไกลๆ โดยไม่รู้ตัวว่าทำอะไร ตอนเป็นจะพูดจาไม่รู้เรื่องเอาเลย ไม่รู้วัน ไม่รู้เวลา ไม่รู้สถานที่เอาเฉยๆ สามารถทำอะไรแปลกๆ โดยไม่มีจิตสำนึกแต่พอเป็นได้สัก 1 ชั่วโมงเศษๆ ก็ล้มลงหลับไป พอตื่นขึ้นมารู้ตัว ก็จะถามว่า มาทำอะไรกันที่นี่มากมายบ้าง ใครพาฉันมานี่ นี่มันวัดโพธิ์นี่ อย่างนี้เป็นต้น แล้วก็กลับคืนเป็นปกติ
    ระหว่างที่ไม่รู้ตัวนั้น ก็จะ “ขอให้ตา ขอให้ยายหน่อย” บางทีก็ “ขอตา ขอยายเถอะ” หมอผีชาวบ้านก็ว่าปอบเข้าอีก ทีนี้ก็เอาข้าวสารเสกมาซัด เอาหวายลงอาคมมาเฆี่ยนไปตามตัวเพื่อไล่ปอบ ตัวก็เป็นรอยถูกเฆี่ยนไปทั่ว เป็นที่น่าเวทนา อย่างน้อยเดือนหนึ่งก็ถูกเฆียน 2 หน ก็เฆี่ยนหนักอยู่ตอนที่ว่าผีเข้านั่นแหละครับ
    เมื่อคนทั้งบ้านต่างก็มีอาการอย่างเดียวกัน ชาวบ้านแถบนั้นก็เลยเรียกบ้านผู้นี้ว่า บ้านผีปอบ
    ในกาลต่อมา มีพุทธมามกะศรัทธาเอาผ้าป่าไปทอดที่วัดพรหมพิราม เป็นที่สนุกสนานเริงรื่นอิ่มบุญกันถ้วนหน้า ขณะที่รับประทานอาหารกลางวันกันอยู่นั้น ได้ยินเสียงตวาดเสียงร้องโหยหวนเหมือนเสียงของคนที่เจ็บปวดแสนสาหัส ได้ยินกันอยู่นาน ก็เลยถามกันว่า “นั่นเสียงอะไร...ใครทำอะไร?” ชาวบ้านแถบนั้นตลอดจนมัคนายก ก็เล่าให้ท่านที่ไปทำบุญฟังว่า
    นั่นเป็นเสียงของการไล่ผีปอบที่ร้องโหยหวน นั่นเป็นเสียงของคนที่ผีปอบเข้าแล้วถูกเฆี่ยน ที่เฆี่ยนตีกันอยู่นานนั้น เพราะผีปอบนี่ดื้อ ไม่กลัวคาถาอาคม กว่าจะออกได้ คนที่ถูกเข้าก็เป็นลมสลบไป ผีจึงจะออกก็เลยโจษจันกันขึ้น
    มีคนหนึ่งชื่อ คุณนายส้มเกลี้ยง ที่ร่วมขบวนมา คุณนายส้มเกลี้ยงนี่เป็นคนใจบุญสุนทานเอามากๆ ที่ไหนมีวานบุญที่นั่นต้องมีคุณนายส้มเกลี้ยง เป็นประจำ บ้านคุณนายส้มเกลี้ยงอยู่แถวๆ ซังฮี้ ใกล้วัดส้มเกลี้ยง ชื่อเดียวกันกับท่าน ซึ่งเดี๋ยวนี้มีวัดอยู่สร้างขึ้นในสมัยกรมพระราชวังบวรสถานมงคล เปลี่ยนชื่อว่า วัดราชผาติการาม เพราะท่านทำผาติกรามเอาที่ดินวัดมา จึงซื้อที่ดินถวายวัดแล้วสร้างวัดใหม่แทนขึ้น ก็อยู่ที่สะพานกรุงธนฯ เดี๋ยวนี้นั่นแหละครับ
    คุณนายส้มเกลี้ยง นี่ ท่านเป็นภรรยา ท่านขุนพิทักษ์เท่าที่ผมจำได้กไม่ทราบว่าราชทินนามเต็มของท่านคืออะไร แต่ท่านทำงานอยู่ในกองอากรหลวงที่โรงหวยโน่น มีหน้าที่เก็บอากร บ่อนเบี้ย หวย การพนันต่างๆ ส่งท้องพระคลัง อาจจะเป็นพิทักษ์ราชากรก็ได้ เพราะมันนานเต็มทีแล้ว เอาเป็นว่า คุณนายส้มเกลี้ยงเกิดเวทนาจับใจจึงลุกออกเดินไปดูพร้อมกับท่านผู้ใจบุญทั้งหลาย ซึ่งบางท่านก็อาจจะไปดูปอบว่าหน้าตาเป็นอย่างไรบัางกได้
    พอเดินไปถึงบ้าน ซึ่งไม่ห่างจากวัดนัก ก็แลเห็นเด็กผู้หนึ่งอายุประมาณ 15-16 ปี เป็นเด็กชาย หน้าตาสะอาดหมดจด ถูกมัดมือโยงอยู่แล้วมีชายสูงอายุคนหนื่ง ยืนถือหวายเฆี่ยนเด็กชายผู้นั้นอยู่ ข้างหน้าชายผู้นั้นมีบาตรน้ำมนต์ มีหัวกะโหลกคนเก่าๆ วางอยู่มีธูป เทียน จุดไว้ปากก็ว่าคาถาพอว่าจบก็เอาหวายจุ่มน้ำมนต์เฆี่ยนลงไปๆ อย่างสุดแรงเกิด ปากก็พูดว่า “อัปเปหิ มึงจะไปหรือไม่ไป ไม่ไปกูจะเฆี่ยนให้ตาย” แล้วก็เฆี่ยนลงไปอีกไม่มีการหยุดพัก
    คุณนายส้มเกลี้ยงเห็นดังนั้น ก็สลดใจ ขอร้องให้หยุดการเฆี่ยนตีไว้ก่อนแล้วเอาเงิน 1 บาท วางไว้บูชาครู ผี ให้หยุดเฆี่ยน หยุดตี
    อย่าลืมว่า ในสมัยหนึ่ง สมัยรัชกาล ที่ 4 เงินบาทหนึ่ง มันมีค่ายิ่งกว่าเงิน 30 บาทในปัจจุบัน เพราะเงิน 1 บาท จะซื้อก๋วยเตี๋ยวกินได้อย่างน้อยที่สุด 33 ชาม ก็ราคาก๋วยเตี้ยวในสมัยนั้น ชามละ 3 สตางค์เท่านั้น ถ้าใครสั่งซื้อก๋วยเตี๋ยวชามละ 5 สตางค์ ก็เป็นอันเข้าใจว่า ผู้นั้นเป็นอาเสี่ยหรือเศรษฐี
    พอหมอผีเห็นเงิน 1 บาท ค่าบูชาครู ก็หยุดเฆี่ยนทันที นั่งลงกราบแปลกๆ แล้วตะครุบเงินบาทนั้นใล่กระเป๋า
    คุณนายส้มเกลี้ยงก็ถามว่า “พ่อหมอมาเฆี่ยนเขาเรื่องอะไร เขาทำอะไรผิดจ๊ะ”
    พ่อหมอผีก็เล่าให้ฟังว่า “เด็กคนนี้ลูกทิดมี อำแดงอุ่ม มันถูกผีปอบเข้าเวลาผีเข้ามันไม่รู้ตัว ทำอะไรได้แปลกๆ ตามวิสัยผี ก็ต้องไล่ผีออก ทีนี้ผีมันสู้คาถาอาคม ต้องเฆี่ยนด้วยหวายเสกคาถานี่ แล้วเอาน้ำมนต์นี่ราดลงไป ยังงั้นมันยังไม่ออกเลย เสียงที่ร้องตอนถูกไล่ ไม่ใช่เสียงเด็กนี่หรอกคุณนาย มันเป็นเสียงผีที่ร้องตอนถูกไล่ มันกำลังสู้กับพระเวทจ้ะ”
    ฝ่ายเด็กก็ร้องว่า “ป้าช่วยหนูด้วยหนูถูกเฆี่ยนไม่รู้ว่าเท่าไหร่ๆ แล้ว เจ็บจนจะตายแล้ว หนูไม่ได้เป็นอะไร หนูเจ็บ ช่วยหนูด้วย”
    คุณนายส้มเกลี้ยงและคณะ ก็ถามหาทิดมีและนางอุ่ม ซึ่งหมอผีก็ว่า “ถูกผีปอบเข้าเหมือนกัน แต่ตอนนี้ออกแล้ว”
    ทิดมีและอำแดงอุ่มก็ออกมาเล่าเรื่องทั้งหมดให้ๆ คุณนายและคณะฟังและเสริมว่า “ชาวบ้านแถบนี้เขาว่าผีปอบมันกินฉันทั้งบ้านแหละ”
    คณะทำบุญได้ฟังหมดแล้วก็หดหู่หัวใจในความเชื่อถือของชาวบ้านต่างก็หันหน้าเข้า ปรึกษากัน แล้วสรุปว่าทั้ง 3 คนนี้คงป่วยด้วยโรคใดโรคหนึ่งที่หมอพื้นบ้านไม่รู้ ประกอบกับการเชื่อถือผียังมีอยู่ ก็เลยทำการอันแสนจะทารุณอย่างนี้ ทิดมีและอำแดงอุ่มก็โดนแบบนี้หมือนกัน แต่ไม่ทารุณเท่า เพราะเฆี่ยนได้สามสี่ที แกก็เป็นลมแน่นิ่งไปแล้วด้วยความเจ็บปวด หมอผีกลัวคนที่ถูกเฆี่ยนจะตายก็หยุดพอหยุดแกก็รู้สึกตัว หลังจากที่หลับด้วยความอ่อนเพลียทีนี้ลูกชายแกเป็นเด็กชายวัยรุ่น ร่างกายกำยำกว่าจะสลบก็นานหน่อย เฆี่ยนๆ ไป หมอผีเหนื่อย เป็นลมไปเองก็มี
    เมือคณะศรัทธา ที่ไปทำบุญหันหน้าเข้าปรึกษากันแล้ว ในที่สุดก็เห็นว่า จะต้องนิมนต์หลวงพ่อขึ้นไปที่ดงประคำ เพื่อช่วยเหลือ ครอบครัวเคราะห์ร้ายทั้งสามนี้
    เมื่อเสร็จการบุญการกุศลแล้วคณะศรัทธาเดินทางกลับ โดยรถไฟ เพราะสมัยนั้นยังไม่มีทางรถยนต์ พอถึงอยุธยา คุณนายส้มเกลี้ยงและคณะก็เรี่ยไรเงินจำนวนหนึ่ง ถวายหลวงพ่อเพื่อร่วมกุศลในการไถ่ชีวิตที่จะถูกฆ่ากับหลวงพ่อ พอดีถึงสถานีก็พบ ไชโย ลูกศิษย์เอกของหลวงพ่อ คุณนายส้มเกลื้ยง ซึ่งรู้จักกับไชโยดีอยู่แล้ว เพราะมาวัดนี้เป็นประจำ โดยหลวงพ่อได้รักษาลูกของคุณนายที่ป่วยด้วยโรควัณโรคหาย จึงมีจิตศรัทธาอุปถัมภ์อุปฐากวัดตลอดมา
    คุณนายส้มเกลี้ยงถามไชโยว่า “พ่อไชโยมาทำไมที่นี่ หลวงพ่ออยู่หรือเปล่า ?”
    คณะที่ไปกับคุณนายส้มเกลี้ยงก็คอยฟังอยู่ ไชโยตอบว่า “หลวงพ่อให้มารับคุณนายและท่านที่ไปทอดผ้าป่ากลับมาครับ ผมเตรียมรถสามล้อไว้แล้ว 15 คน เชิญคุณนายไปวัดได้ หลวงพ่ออยู่ และให้ผมมารับครับ
    ความงุนงงบังเกิดแก่คณะผ้าป่าอย่างเหลือหลาย หลวงพ่อมารับ ท่านรู้อย่างไร ? เป็นคำถามที่เกิดขึ้นในใจของทุกคน...และแล้วคณะผ้าป่าก็ขึ้นสามล้อตรงไปที่วัดวงษ์ฆ้องคลองเมืองทันที
    พอถึงท่าข้ามหน้าวัดก็ประหลาดใจอีก คือ มีเรือสำปั่น เรือข้ามฟากจอดคอยอยู่ร่วมสิบลำ พอคณะทอดผ้าป่าไปถึงพวกคนเรือก็ร้องบอกกันว่า “คุณนายมาแล้วๆ” ยิ่งทำให้เกิดความประหลาดใจแก่คณะศรัทธาที่ไปด้วยมากมาย ยกเว้นคุณนายส้มเกลี้ยงคนเดียว เพราะคุณนายส้มเกลี้ยงเคยรู้เคยเห็นแบบนี้บ่อยๆ ว่า หลวงพ่อมักจะทราบอะไรล่วงหนัาเสมอ
    พอทุกคนเข้าไปนั่งที่นอกชานหน้ากุฏิเรียบร้อยแล้ว ต่างก็กราบนมัสการหลวงพ่อด้วยความเคารพ คำแรกที่คุณนายถามไชโยก็คือ “ป้าแม้นล่ะป้าแม้นไปไหน?”
    “คุณยายแม้นเสียแล้วครับ เผาแล้วด้วย” เป็นคำตอบที่ทำให้คุณนายปลงอนิจจัง แล้ววไชโยและเพื่อนๆ ศิษย์วัดก็เอาน้ำชา หมากพลูมารับรอง
    สักครู่ คุณนายส้มเกลี้ยงก็กราบเรียนหลวงพ่อว่า “หลวงพ่อ เจ้าค่ะ พวกดิฉันไปทอดผ้าป่าวัดพรหมพิราม ที่ดงประคำ พิษณุโลก มา เจ้าคะ เอาบุญมาถวายหลวงพ่อด้วยเจ้าค่ะ”
    หลวงพ่อท่านก็นั่งอมยิ้มอย่างเคยแล้วกล่าวว่า
    “การทอดผ้าป่า บำรุงพระศาสนาเป็นการบุญการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์และสัตว์ ที่ร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย ให้พ้นทุกข์ เป็นบุญ”
    “หลวงพ่อเจ้าคะ ที่บ้านดงประคำวัดพรหมพิราม มีครอบครัวหนึ่งเคราะห์ร้าย ป่วยไข้เจ้าค่ะ เขาว่าผีเข้า หมอผีเฆี่ยนไล่ผี คนจะตายอยู่แล้ว อยากขออาราธนาให้หลวงพ่อช่วยสงเคราะห์ชีวิตเขาเหล่านั้น...ดิฉันจะเป็นภาระเองเจ้าค่ะ”
    หลวงพ่อท่านตอบว่า “อาตมาทราบแล้ว ทราบก่อนที่คุณนายจะมาเสียอีก ดีเหมือนกัน จะได้ช่วยสงเคราะห์ขีวิตคนที่ทุกข์ยาก อาตมา ตั้งใจจะช่วยให้พ้นทุกข์เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่อาตมาจะไปที่อื่น”
    คำกล่าวของท่าน ทำให้คุณนายส้มเกลี้ยงสงลัย “หลวงพ่อจะไปไหนเจ้าคะ”
    “ก็ไปตามทางที่ควรจะไปน่ะซิ”
    “แล้วดิฉันจะตามไปทำบุญได้อีกไหมเจ้าคะ”
    “คุณนายก็คงจะต้องตามไปทีหลังไอ้บุญน่ะอยู่ที่ใจ ทำเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น”่
    คำตอบของหลวงพ่อเป็นปริศนาแต่ตอนนั้นไม่มีใครคิด ไม่ตีความว่านั่นคือเป็นการสงเคราะห์สัตว์ผู้เกิดร่วมเจ็บร่วมตายของท่าน ก่อนที่ท่านจะละสังขารนี้ของท่านไป
    จากนั้นท่านก็เรียกเทียน 1 เล่ม และนำบาตรน้ำมนต์ของท่านมาจุดเทียนแล้วปักไว้ที่ขอบบาตรอย่างเคย ท่านนั่งหลับตาสงบอยู่ครู่หนึ่ง เทียนที่ปักไว้ค่อยๆ อ่อนลงๆ แล้วโค้งเป็นรูปสายยูน้ำตาเทียนหยดลงไปในบาตรน้ำมนต์หยดแล้ว...หยดเล่า สักครู่หนึ่ง ท่านก็สวด ยังกิญจิ กุสะละธัมมัง ด้วยเสียงที่ฟังพอได้ยิน ท่านภาวนาอยู่อย่างนั้น จนเทียนโค้งหล่นลงไปในบาตรน้ำมนต์แล้วท่านก็ลืมตาขึ้น
    “ไม่มีอะไรหรอกคุณนาย ไม่ต้องกินหยูกกินยารักษาอะไรหรอกเป็นเพียงเปรตญาติผู้ใหญ่ ของพวกเขามาขอส่วนบุญส่วนกุศลน่ะ ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้เขา ก็หมดเรื่อง”
    ทุกคนในขบวนขนลุก พนมมือกราบ แล้วคุณนายส้มเกลี้ยงก็ถามด้วยความสงสัยว่า
    “หลวงพ่อเจ้าคะ เปรตนี่มีจริงหรือเจ้าคะ”
    หลวงพ่อท่านตอบว่า “เปรตนี่มีจริงมี 2 พวก”
    “ดิฉันไม่เคยเห็นเจ้าค่ะ หลวงพ่อกรุณาเล่าให้พวกดิฉันฟังหน่อยเถิดเจ้าค่ะ”
    หลวงพ่อท่านได้เมตตาอธิบายให้ฟังดังนี้
    “เปรตพวกแรกเป็นเปรตอยู่ในโลกมนุษย์นี่เองคือมนุษย์นี่มี 4 พวก พวกแรก คือที่เรียกกันว่า มนุสละมนุสโส...พวกนี้เป็นคนธรรมดา ไม่ได้ทำชั่วร้ายยอะไรมากมาย ไม่ดีจนหมดกิเลสล ก็เหมือนอย่างเราๆ ทำดีบ้าง ทำไม่ดีบ้าง คละกันไป ไม่ประกอบกรรมดีวิเศษมาก ไม่ประกอบความชั่วมาก แปลว่าชั่วก็มี ดีก็ปรากฎ กิเลสยังไม่หมด แต่ก็ไม่เลวร้าย
    อีกพวกหนึ่ง มนุสเทโว มนุษย์พวกนี้เหมือนเทพยดา คือมี เมตตา กรุณา ไม่ทำบาปทำกรรม เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ทำบุญสุนทาน มีพรหมวิหาร ดำรงชีพด้วยศีล ด้วยธรรม ก็เหมือนกับเทพยดาในโลกมนุษย์อย่างนั้น พวกนี้มีไม่น้อย และมีแต่ความสุขความเจริญ
    อีกพวกหนึ่งก็คือ มนุษย์เดียรัจฉานพวกนี้เกิดมาเป็นมนุษย์ แต่ใจเหมือนสัตว์ประพฤติตนเยี่ยงสัตว์ ประพฤติตนในทางอบาย กีดกันความเจริญศีลทั้ง 5 ข้อไม่มีเหลือ ที่จริงสัตว์ยังดีกว่า เพราะมันไม่พูด เลยไม่มีโอกาสผิดข้อมุสา สัตว์ไม่ดื่มเครื่องมึนเมาอันนำไปหาความประมาท มันเลยไม่ผิดศีลข้อมุสาเมระยะ ตกลงสัตว์อาจดีกว่า
    แต่มนุษย์พวกนี้แก่งแย่งกัน วิวาทกัน ผิดลูกผิดเมียกัน ลักอาหารขโมยกันกิน อทินนาทานทุกอย่าง รวมทั้งฆ่าสัตว์ตัดชีวิตวิวาท บาดถลุง ศีลข้อปาณาฯ ก็ไม่เหลือ สติไม่มี เพราะประมาทด้วยการเสพของมึนเมา สิ่งเสพติดทุกอย่าง ความคิด ความอ่าน ความประพฤติไม่ผิดอะไรกับสัตว์ แถมยังเลวกว่าสัตว์เสียอีก ทางไปของพวกนี้มีทางเดียว เมื่อทิ้งสังขารอันแสนจะชั่วในชาตินี้แล้ว ก็หนีนรก และอบายคือเกิดมาเป็นสัตว์ให้เขาใช้งาน ให้เขาฆ่ากิน ดำรงชีพด้วยความทุกข์ หนีไม่พ้น
    พวกสุดท้ายคือพวก มนุสสะเปโตนี่แหละคือ พวกเปรต ที่มีชีวิตอยู่บนพื้นโลก พวกนี้มีจิตที่เต็มไปด้วยความโลภ อยากแต่จะมี มีความเห็นผิด นับถือเงินทองเป็นพระเจ้า มีแต่จะกอบโกย ไม่มีเสียสละ มีโอกาสเมื่อไร เป็นเอาทั้งนั้น ทั้งฉ้อฉล คดโกง ฉ้อราษฎร์บังหลวง
    “เอาแต่ได้ถ่ายเดียวไม่เหลียวหลัง ชั่วก็ชั่งหลับตาวางหน้าเฉย” โบราณว่าเอาไว้อย่างนี้
    มนุษสะเปโต ในโลกนี้มีมากมายกรรมเก่ายังมี ก็ยังใหญ่ยังโต ยังมีโอกาสกอบโกยฉ้อราษฎร์บังหลวง พอหมดกุศลกรรมเก่า ก็เจอกรรมที่ทำไว้ในปัจจุบัน ก็เหมือนกับเปรตดีๆ นี่แหละ ทรัพย์สินที่ได้มาก็สลาย ครอบครัวลูกเมียก็ ต้องขอเขากินขอส่วนบุญที่เขาบริจาค มนุสะเปโตนี่ สรุปก็คือ พวกที่เห็นแก่ได้ เอาทั้งนั้น โกงเขา ฉ้อแลเขา การเสียสละบริจาคทำบุญไม่มี จะมีก็ทำเพื่อปิดบังความชั่วของตัว ยิ่งใหญ่โตมาก มีอำนาจวาสนามาก ก็ยิ่งเห็นแก่กิน เห็นแก่ได้ หาวิธีฉ้อราษฎร์บังหลวงมากขึ้น กอบโกยมากขึ้น บางคนก็ทันตาเห็น หมดบุญปั๊บก็เป็นเปรตเลย คือขอเขาอาศัย ขอเขากิน แย่งชิงเขา ที่ใหญ่โตมีอำนาจวาสนา ยศถาบรรดาศักดิ์นั้นน่ะ มันใหญ่โตในคราบของเปรต พอดับขันธ์ นี้ไป อบายก็เป็นที่ตั้งพราะอบายที่แปลว่า ขัดขวางความสุข ความเจริญนั้นมี 4 อย่าง คือ นรก เปรต อสุรกาย และเดียรัจฉาน
    นี่คือเปรตบนดินในโลกมนุษย์ที่แลเห็น และก็เห็นกันมากขึ้นๆ ตราบใดที่คนเขายังมีความโลภ เปรตในร่างมนุษย์ก็ยังมี ยิ่งโลภมากตระหนี่มากเปรตชนิดนี้ก็ยิ่งมาก เดินเหินอยู่ทั่วไปในโลก”
    “แล้วเปรต ที่หลวงพ่อว่าเขาขอส่วนบุญล่ะเจ้าคะ” คุณนายส้มเกลี้ยงถาม
    “นั่นเป็นจิตวิญญาณที่เรียกสัมภเวสี คือพอมนุษย์ที่มีแต่ความโลภ ความตระหนี่ดับขันธ์ลง จิตวิญญาณก็ไปทันที ไม่เป็นสัมภเวสี คอยขอส่วนNญ สะสมส่วนบุญ ที่ญาติพี่น้องลูกหลาน หรือคนที่เขาทำบุญอุทิศไปให้ บุญกุศลนี้ก็จะสะสมไว้ๆ พอถึงกำหนดถึงจำนวนหนึ่ง จิตวิญญาณนี้ก็จะไปเกิดแต่จะเกิดดีเห็นจะไม่ได้ คงจะไปในอบายนั่นแหละ ทั้งนี้สุดแต่กุศลกรรมอกุศลกรรม ที่ทำไว้แต่ปางหลัง
    เพราะฉะนั้น ที่พุทธมามกะ ทำบุญให้ท่าน ประกอบการบุญการกุศลแล้วกรวดน้ำ หรือแผ่ส่วนกุศลไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลายทั่วสากลโลกไม่เลือกหนัา นั่นแหละถูกต้องที่สุด พวกนี้อาจจะคอยขอรับส่วนบุญนี้อยู่ บางคนไม่เข้าใจ ทำบุญทำกุศลแล้ววไม่ชอบแผ่ส่วนกุศลให้ผู้ใด นึกว่าคงจะเหมือนทรัพย์สินเงินทอง เมื่อให้ๆ ไปแล้วคงหมด ก็เลยตระหนี่ไว้ นี่ก็เปรตอีก
    การแผ่ส่วนกุศลนั้นมันไม่หมด ก็เหมือนกับเรามีเทียนชนวนอยู่เล่มหนึ่งจุดแล้ว แบ่งให้คนอื่นเขามาขอต่อเพื่อจุดเทียนดวงอื่นๆ ต่อไป มันก็ทำให้กว้างมากขึ้น เพราะมีหลายเล่มขึ้น ฉันใด ก็ฉันนั้น เราไม่ได้ให้เทียนชนวนนี้แก่ใครนี่
    คุณนายส้มเกลี้ยง กัมลงกราบด้วยปิติ “แล้วพวกที่ป่วยไข้เหล่านั้นล่ะเจ้าคะ หลวงพ่อจะโปรดเมตตาว่ากระไร่”
    “เขาก็จะหายด้วยเมตตา ด้วยการแผ่ส่วนกุศล...ก็เท่านั้น อยู่ทางนี้อาตมาจะตั้งจิตตภาวนาอุทิศส่วนกุศล แผ่เมตตาให้พวกเขา ที่คอยรับกุศลอยู่ และคุณนายต้องขอให้เขาทำบุญสุนทาน ทำสังฆทาน ฟังเทศน์ ฟังธรรม ทำบุญให้ทานตามปกติ พอทำแล้ว ขอให้เขาตั้งจิต อุทิศส่วนกุศลให้แก่ปู่ย่า ตายาย ญาติพี่น้อง เจ้าบุญนายคุณทุกท่าน ระลึกถึงท่านที่ล่วงลับไปแล้วพร้อมกันไปด้วย ทำไปเรื่อยๆ พอกุศลที่อุทิศให้ใปถึงญาติพี่น้องที่ขอรับกุศลไว้ เมื่อนั้นอาการป่วยไข้ก็หายไม่ต้องกินหยูกกินยาอะไรทั้งสิ้น
    “เจ้าค่ะ ดิฉันจะไปบอกพวกเขาเร็วที่สุด” คุณนายส้มเกลี้ยงกราบเรียนหลวงพ่อ แล้วก็กราบนมัสการลากลับบ้าน เพื่อส่งข้าวต่อไปยังญาติพี่น้องของทิดมี อำแดงอุ่มและลูก จะได้ทำบุญทำกุศลอุทิศให้แก่ผู้เรียกร้องต่อไป


    • Update : 23/7/2554
    © Copyright 2011 www.watnongmuang.com All rights reserved 999arch