การป้องกันและกำจัดศัตรูพืชโดยวิธีเกษตรธรรมชาติ
การฟื้นฟูความสมดุลของธรรมชาติในไร่-นา ที่ผ่านการใช้สารเคมีในรูปแบบต่าง ๆ มาอย่างมาก และเป็นเวลานาน ให้กลับคืนมาตามหลักการทั้ง 3 ข้อ เป็นเรื่องที่เกษตรกรสามารถทำได้ โดยใช้เวลาแต่ในปีแรก ๆ จะประสบปัญหาโรคและแมลงรบกวนบ้าง เนื่องจากดินที่เริ่มถูกปรับปรุงยังไม่มีความอุดมสมบูรณ์ดีพอ และมีสารปนเปื้อนอยู่มาก ทำให้พืชยังไม่สามารถเติบโตและแข็งแรงได้อย่างเต็มที่ ทำให้อ่อนแอต่อการทำลายของโรคและแมลงศัตรูพืช
อีกทั้งศัตรูธรรมชาติของแมลงศัตรูพืชก็ยังน้อยอยู่ จึงทำให้เกษตรกรประสบปัญหาโรคและแมลงศัตรูพืชรบกวน และผลผลิตต่ำในระยะ 1-3 ปีแรก แต่หลังจากนั้นไป ถ้ามีการจัดการดี จะทำให้ปัญหาโรคและแมลงศัตรูพืชลดลง พร้อมทั้งผลผลิตก็จะสูงขึ้น การเพาะปลูกพืชก็ง่ายขึ้น การใช้ปุ๋ยธรรมชาติก็ลดลง รวมทั้งการป้องกันกำจัดศัตรูพืชก็ใช้ปัจจัยน้อยลง ซึ่งก็หมายถึงต้นทุนการผลิตลดลง แต่ผลผลิตสูงขึ้น ซึ่งเป็นการทำการเกษตรที่ยั่งยืน
ดังนั้นหากเกษตรกรประสบปัญหาศัตรูพืช สามารถป้องกันและกำจัดศัตรูพืชโดยไม่ใช้สารเคมี ซึ่งมีหลายแนวทางให้เลือกใช้ หรืออาจนำหลาย ๆ แนวทางมาผสมผสานกันก็ได้ ตามความเหมาะสม ศัตรูพืชแบ่งอย่างกว้าง ๆ ได้ 3 ประเภทคือ วัชพืช โรคพืช และแมลงศัตรูพืช ซึ่งจะสามารถป้องกันและกำจัดได้ดังแนวทางต่อไปนี้
การป้องกันและกำจัดวัชพืช
1. ใช้วิธีการถอน ใช้จอบถาง ใช้วิธีการไถพรวน
2. ใช้วัสดุคลุมดิน ซึ่งเป็นการปกคลุมผิวดิน ช่วยอนุรักษ์ดินและน้ำ และเป็นการเพิ่มอินทรีย์วัตถุให้กับดินอีกด้วย โดยส่วนใหญ่มักใช้วัสดุตามธรรมชาติ ได้แก่ เศษซากพืชหรือวัสดุเหลือใช้ในการเกษตร เช่น ฟางข้าว ตอซังพืช หญ้าแห้ง ใบไม้แห้ง ต้นถั่ว ขุยมะพร้าว กากอ้อย แกลบ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีพลาสติกที่ผลิตขึ้นสำหรับการคลุมดินโดยเฉพาะ ซึ่งสามารถนำมาใช้ได้เช่นกัน
3. ปลูกพืชคลุมดิน เช่น การปลูกพืชตระกูลถั่วคลุมดินในสวนไม้ผล การปลูกพืชต่าง ๆ เช่น ผัก ไม้ดอก สมุนไพร แซมในสวนไม้ผล เป็นต้น
การป้องกันและกำจัดโรคและแมลงศัตรูพืช
1. การป้องกันและกำจัดโดยวิธีกล (mechanical control) เช่น การใช้มือจับแมลงมาทำลาย การใช้มุ้งตาข่าย การใช้กับดักแสงไฟ การใช้กับดักกาวเหนียว เป็นต้น
2. การป้องกันและกำจัดโดยวิธีเขตกรรม (cultural control) เช่น
2.1 การดูแลรักษาแปลงให้สะอาด
2.2 การหาระยะเวลาที่เหมาะสมในการปลูกพืช
2.3 การเก็บเกี่ยวพืชเพื่อหลีกเลี่ยงการทำลายของโรคและแมลง
2.4 การใช้ระบบการปลูกพืช เช่น การปลูกพืชหมุนเวียน การปลูกพืชแซม
2.5 การจัดการให้น้ำ
2.6 การใส่ปุ๋ยให้เหมาะสมกับความต้องการของพืชเพื่อลดการทำลายของโรคและแมลง
3. การป้องกันและกำจัดศัตรูพืชโดยชีววิธี (biological control) คือ การใช้ประโยชน์จากแมลงศัตรูธรรมชาติ คือ
3.1 ตัวเบียน (parasite) ส่วนใหญ่หมายถึง แมลงเบียน (parasitic insects) ที่อาศัยแมลงศัตรูพืชเพื่อการดำรงชีวิต และการสืบพันธุ์ ซึ่งทำให้แมลงศัตรูพืชตายในระหว่างการเจริญเติบโต
3.2 ตัวห้ำ ได้แก่ สิ่งมีชีวิตที่ดำรงชีวิตโดยการกินแมลงศัตรูพืชเป็นอาหาร เพื่อการเจริญเติบโตจนครบวงจรชีวิต ตัวห้ำพวกนี้ได้แก่
สัตว์ที่มีกระดูกสันหลัง ได้แก่ สัตว์ปีก เช่น นก สัตว์เลื้อยคลาน เช่น งู กิ้งก่า สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ เช่น กบ
ตัวห้ำส่วนใหญ่ที่มีความสำคัญในการควบคุมแมลงและไรศัตรูพืช ได้แก่ สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง เช่น แมงมุม ไรตัวห้ำ และตัวห้ำส่วนใหญ่ ได้แก่ แมลงห้ำ (predatory insects) ซึ่งมีมากชนิด และมีการขยายพันธุ์ได้รวดเร็ว
3.3 เชื้อโรค ส่วนใหญ่หมายถึงจุลินทรีย์ที่ทำให้แมลงศัตรูพืชเป็นโรคตาย เช่น เชื้อไวรัส แบคทีเรีย รา โปรโตซัว ไส้เดือนฝอยทำลายแมลงศัตรูพืช
4. การป้องกันโดยใช้พันธุ์พืชต้านทาน (host plant resistance)
5. การป้องกันและกำจัดศัตรูพืชโดยใช้สมุนไพรต่าง ๆ
ตัวอย่างการป้องกันและกำจัดโรคและแมลงศัตรูพืช
1. การใช้น้ำสกัดสมุนไพรในการป้องกันและกำจัดแมลงศัตรูพืช เช่น การใช้สะเดา ข่าว และตะไคร้หอม ซึ่งทำได้โดยใช้สะเดา (ใช้ส่วนของเมล็ดแก่) ข่า (ใช้ส่วนของหัวข่าแก่) ตะไคร้หอม (ใช้ส่วนของใบสีเขียวเข้ม) อย่างละ 2 กิโลกรัม โขลกหรือตำแล้วแช่น้ำ 20 ลิตร นาน 24 ชั่วโมง โดยไว้ในที่ร่ม กรองเอากากออก น้ำยาที่ได้จะเข้มข้น ควรเจือจางด้วยน้ำประมาณ 8 เท่า (ควรเติบสารจับใบซึ่งจะใช้น้ำสบู่ 3 ช้อนแกงต่อน้ำยาที่ผสมแล้ว 20 ลิตร เพื่อให้น้ำยาเกาะติดใบและตัวแมลงได้ดีขึ้น) สูตรนี้ใช้ฉีดป้องกันและกำจัดหนอนและแมลงต่าง ๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะใช้ได้กับแมลงทุกชนิด เช่น แมลงปีกแข็ง พวกด้วงเต่าแดง จะใช้ไม่ค่อยได้ผล แต่น้ำสกัดจากเมล็ดน้อยหน่าจะใช้ได้ผลดีกับแมลงปีกแข็งดังกล่าว
ยังมีพืชสมุนไพรอีกมากมายหลายชนิดที่สามารถใช้ป้องกันและกำจัดแมลงศัตรูพืชได้ เช่น ขมิ้น โล่ติ๊น พริกขี้หนู สาบเสือ ยาสูบ ฯลฯ ซึ่งเราสามารถนำมาทดลองใช้ในการป้องกันและกำจัดแมลงศัตรูพืชได้โดยนำไปฉีดพ่นในช่วงที่มีหนอนมาก ควรฉีดพ่นทุก ๆ 3 วัน แต่อย่างไรก็ตามควรตรวจดูแมลงทุก ๆ เช้า ถ้าพบก็ให้ใช้มือรีบกำจัดก่อน เช่น กลุ่มของไข่แมลง กลุ่มของตัวหนอน เป็นต้น ในการใช้สารสกัดสมุนไพรอาจจำเป็นต้องใช้บ่อยครั้งในช่วงแรก ๆ ของการทำเกษตรธรรมชาติมากขึ้น ก็ไม่จำเป็นต้องใช้สารสกัดสมุนไพรในการควบคุมแมลงศัตรูพืช หรืออาจใช้น้อยมากก็สามารถปลูกพืชได้ผลดีเช่นกัน
สารจับใบที่ได้จากน้ำสบู่ สามารถทำได้โดยใช้สบู่ซันไลท์ 1 ก้อน หั่นเป็นฝอย ๆ เติมน้ำอุ่น 1 ลิตร คนให้ละลาย น้ำสบู่นี้จะใช้เติมในน้ำสมุนไพรได้ทุกสูตรซึ่งเป็นสารจับใบ เพื่อให้น้ำยาเกาะติดใบและตัวแมลงได้ดีขึ้น อัตราที่ใช้คือ ใช้น้ำสบู่ 3 ช้อนแกง ต่อน้ำสมุนไพรที่ผสมแล้ว 20 ลิตร
2. การใช้สารสกัดสมุนไพรป้องกันและกำจัดโรคพืช เช่น การใช้ว่านหางจระเข้ กระเทียม อย่างละ 200 กรัม บดแล้วกรองเอากากออก เติมน้ำให้ครบ 20 ลิตร เติมน้ำส้มสายชู 100 มิลลิลิตร และเติมน้ำสบู่ดังกล่าวมาแล้วด้วย ใช้ฉีดพ่นทุก ๆ 7 วัน เพื่อป้องกันโรคราแป้งของพืชตระกูลแตงได้ จากผลการทดลองพบว่ากระเทียมมีผลต่อการป้องกันโรคราแป้งบนใบแคนตาลูปได้มาก และว่านหางจระเข้มีผลต่อการป้องกันโรคนี้ได้ปานกลาง (T. Sittirungsun and H. Horita, 1999)
3. การนำวัสดุเหลือใช้มาใช้ในการป้องกันและกำจัดแมลงศัตรูพืช เช่น เปลือกไข่นำมาห่อด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์แล้วเผา และนำมาทุบให้พอละเอียด นำไปโรยรอบ ๆ ต้นพืช ช่วยป้องกันหนอนกระทู้ได้ เป็นต้น
4. การใช้กับดักกาวเหนียวสีเหลือง จากผลการทดลองพบว่า การใช้กับดักกาวเหนียวสีเหลืองในการป้องกันและกำจัดแมลงศัตรูพืช จะช่วยลดแมลงศัตรูพืชได้มากในระยะแรกของการทำเกษตรธรรมชาติ เพราะในช่วงนั้นมีแมลงศัตรูธรรมชาติ หรือตัวห้ำตัวเบียนอยู่น้อย แต่ถ้าทำเกษตรธรรมชาติไประยะหนึ่ง และมีแมลงศัตรูธรรมชาติมากพอ ก็ไม่มีความจำเป็นในการใช้กับดักกาวเหนียวอีก ก็สามารถปลูกพืชได้ผลดี นอกจากนี้กับดักกาวเหนียวยังเหมาะสำหรับการปลูกพืชผักกางมุ้ง หรือปลูกใน Green House รวมทั้งแปลงเกษตรทั่วไปที่เกษตรกรต้องการลดการใช้สารเคมีอีกด้วย (T. Sekine and T.Sittirungsun, 2000)
ในปัจจุบันมีเกษตรชาวสวนผลไม้นำเอากาวเหนียวสีเหลืองนี้ ไปทารอบโคนต้นผลไม้เพื่อป้องกันมด ซึ่งจะมีผลต่อการป้องกันพวกเพลี้ยต่าง ๆ ได้ผลดี เช่น เกษตรกรชาวสวนทุเรียนแถบภาคตะวันออก เป็นต้น
ข้อเสนอแนะในการป้องกันและกำจัดโรคและแมลงศัตรูพืช
ในการทำเกษตรธรรมชาติในระยะแรก ๆ หรือระยะเพิ่งปรับเปลี่ยนมาทำเกษตรธรรมชาตินั้น เกษตรกรอาจประสบปัญหาโรคและแมลงศัตรูพืช เกษตรกรควรแก้ปัญหานี้โดยวิธีการป้องกันและกำจัดวิธีต่าง ๆ ผสมผสานกันไป โดยหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีดังที่ได้กล่าวมาแล้ว และเมื่อทำเกษตรธรรมชาติไปสักระยะหนึ่ง ดินจะดีขึ้น การเจริญเติบโตของต้นพืชก็จะดีขึ้น ทำให้ต้นพืชแข็งแรง และนอกจากนี้ยังมีแมลงศัตรูธรรมชาติมากขึ้น แมลงศัตรูธรรมชาติเหล่านี้ก็จะช่วยควบคุมแมลงศัตรูพืชให้โดยธรรมชาติ
แนวทางการปรับเปลี่ยนมาสู่เกษตรธรรมชาติ
การปรับเปลี่ยนมาสู่เกษตรธรรมชาติ เกษตรกรอาจทดลองเลือกพื้นบางส่วนทำเกษตรธรรมชาติ โดยเลิกใช้ปุ๋ยเคมีและสารเคมีในพื้นที่เล็ก ๆ ก่อน และเมื่อได้เรียนรู้และทำได้ดีแล้วก็ค่อย ๆ ขยายพื้นที่ออกไป หรืออีกแนวทางหนึ่งคือ ทำการลดการใช้ปุ๋ยเคมีและสารเคมีในพื้นที่ทั้งหมดโดยค่อย ๆ ลดทีละน้อย และในที่สุดก็สามารถทำเกษตรธรรมชาติในพื้นที่ทั้งหมดได้อย่างเต็มรูปแบบ
เทคนิคการผลิตผัก
ในการเพาะปลูกพืชผักต่าง ๆ ให้ได้ผลผลิตดึและมีคุณภาพดีนั้น นอกจากหลักเกษตรธรรมชาติที่กล่าวมาแล้ว เราจำเป็นต้องเรียนรู้ลักษณะและความต้องการของพืชชนิดนั้น ๆ ด้วย ซึ่งจะไม่ขอกล่าวไว้ในที่นี้ แต่จะอ่านได้จากหนังสือเกี่ยวกับผัก ไม้ดอก ไม้ผลแต่ละชนิด ซึ่งจะช่วยให้การเพาะปลูกพืชผักได้ประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น
เราได้อะไรจากการทำเกษตรธรรมชาติ
ถ้าเราทำเกษตรธรรมชาติ เราได้รายได้เป็นตัวเงินจากการขายผลผลิต และได้รายได้ที่ไม่ใช่ตัวเงิน แต่เป็นรายได้ในรูปต่าง ๆ เช่น อาหารที่ปลอดภัยสำหรับครอบครัว เกษตรกรผู้ผลิตและผู้บริโภคมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีสุขภาพดีไม่เจ็บป่วย ไม่ต้องเสียเงินค่ารักษาพยาบาล ในด้านสิ่งแวดล้อม วิธีการเกษตรธรรมชาติจะช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม และช่วยอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติไว้ให้อยู่ชั่วลูกชั่วหลาน รัฐบาลไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการแก้ไขปัญหามลพิษต่าง ๆ เกษตรธรรมชาติเป็นรูปแบบหนึ่งที่สอดคล้องกับแนวทางการดำเนินชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริคือ การอุ้มชูตนเองได้ พออยู่พอกิน ผลิตของกินเอง ให้ใช้สิ่งที่ผลิต ที่ปลูก เกื้อกูลกัน มีเหลือแบ่งปัน มีความพอเพียงกับตนเองกับครอบครัวและชุมชน