|
|
สร้างแหล่งโปรตีนไข่ไก่ในโรงเรียน
สร้างแหล่งโปรตีนไข่ไก่ในโรงเรียน
จากแนวพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนอาหารในท้องถิ่น และแก้ไขปัญหาโภชนาการเพื่อเด็กและเยาวชนที่ด้อยโอกาส ในปี 2523 เกิดเป็น “โครงการเกษตรเพื่ออาหารกลางวัน” ซึ่งไม่เพียงช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนอาหารกลางวันเท่านั้น แต่เด็กนักเรียนยังได้รับความรู้ด้านโภชนาการและด้านการเกษตรแผนใหม่ ที่สามารถนำไปใช้ประกอบเป็นอาชีพได้ต่อไป
ด้วยเห็นความสำคัญของเยาวชนซึ่งเป็นอนาคตของชาติ มูลนิธิพัฒนาชีวิตชนบท จึงร่วมกับ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ น้อมนำแนวพระราชดำริดังกล่าวสานต่อเป็น “โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน” กลายเป็นกิจกรรมที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 20 ปี เพื่อร่วมเป็นอีกหนึ่งแรงพลังในการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตของเยาวชนไทยให้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะการมีภาวะโภชนาการที่ดี จากการรับประทานอาหารคุณภาพดี อย่างเช่นไข่ไก่ ที่ตั้งเป้าหมายการบริโภคเฉลี่ยคนละ 2-3 ฟองต่อสัปดาห์ ทว่าการจะมีอาหารทานอย่างยั่งยืน จะต้องให้พวกเขาได้เป็นผู้ผลิตอาหารด้วยตนเอง ดังนั้นการเลี้ยงไก่ไข่จึงเปรียบเหมือนหนทางสู่ความยั่งยืนนั้น
สุปรี เบ้าสิงห์สวย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ มูลนิธิพัฒนาชีวิตชนบทฯ อธิบายให้เห็นถึงรูปแบบของโครงการว่า “มูลนิธิฯ ร่วมกับซีพีเอฟ ให้การส่งเสริมโดยเน้นไปที่การให้ความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับการบริหารจัดการในการเลี้ยงไก่ไข่ รวมทั้งสนับสนุนพันธุ์ไก่ และอาหารสัตว์ในการเลี้ยงรุ่นแรก และยังให้สัตวบาลของซีพีเอฟเข้าไปดูแลอย่างใกล้ชิดตลอดระยะเวลาการเลี้ยงในแต่ละรุ่นประมาณ 14 เดือน เพื่อให้เด็ก ๆ สามารถสร้างผลผลิตไข่ไก่ในโรงเรียน สำหรับนำไปทำเป็นอาหารกลางวันได้สำเร็จ และหากมีไข่ไก่เหลือมากกว่าการบริโภคก็จะจำหน่าย กลายเป็นรายได้นำมาจัดสรรเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการ เพื่อให้สามารถดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่องสำหรับนักเรียนในรุ่นต่อ ๆ ไป โดยทำการบริหารจัดการด้านการผลิตและการตลาดด้วยการ “พึ่งพาตนเอง” โดยมีมูลนิธิฯและซีพีเอฟทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงคอยให้คำปรึกษา นอกจากนี้แต่ละโรงเรียนจะต้องจัดทำ “หลักสูตรท้องถิ่นว่าด้วยการเลี้ยงไก่ไข่ในโรงเรียน” เพื่อใช้เป็นคู่มือการเลี้ยงของตนเอง ซึ่งเด็ก ๆ จะได้มีกระบวนการเรียนรู้อย่างมีแบบแผนมาก
ยิ่งขึ้น”
ขณะที่ วินัย จิตรัว ผู้แทนซีพีเอฟ เล่าว่า จากการสุ่มตัวอย่างเด็กนักเรียนที่เข้าร่วมโครงการ พบว่า มีภาวะโภชนาการที่ดีขึ้น โดยสามารถลดปัญหาภาวะทุพโภชนา การของนักเรียนมาอยู่ในช่วงเฉลี่ย 4-9% จากเดิมเฉลี่ยที่ 20-25% (สอดคล้องกับมาตรฐานทุพโภชนาการที่ไม่ควรเกิน 10 %)
“น่าดีใจที่โรงเรียนในโครงการฯ กว่า 90% สามารถจัดสรรรายได้เป็นค่าอาหารกลางวันนักเรียนได้ และยังมีรายได้สะสมจากการเลี้ยงไก่ในแต่ละรุ่น เป็นกองทุนสำหรับดำเนินการโครงการต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง และเยาวชนเหล่านั้นยังสามารถบริหารจัดการการเลี้ยงไก่ในโรงเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีผลผลิตที่ดีใกล้เคียงกับมาตรฐานของบริษัท โครงการนี้จึงไม่เพียงทำให้เด็ก ๆ มีร่างกายที่แข็งแรง และมีผลพลอยได้เป็นรายได้จากการเลี้ยงรุ่นแรกเท่านั้น ที่สำคัญยังเป็นการบูรณาการสู่การเรียนรู้ที่แท้จริง จากการที่เด็กนักเรียนได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมเกษตร ทำให้เกิดทักษะเพราะได้ลงมือปฏิบัติจริง ๆ ซึ่งจะช่วยหล่อหลอมพวกเขาให้มีทัศนคติที่ดีต่ออาชีพเกษตรกร ว่าไม่ได้เป็นอาชีพที่ต่ำต้อย แต่กลับมีคุณค่าและสามารถใช้เลี้ยงชีพได้อย่างมั่นคง ถ้ามีวิชาการและการจัดการที่ดี” วินัย กล่าวถึงผลที่ได้รับจากโครงการ
แม้ว่าปัจจุบันโครงการนี้จะสามารถช่วยแก้ปัญหาภาวะทุพโภชนาการของเยาวชนไทยได้กว่า 65,000 คน ในโรงเรียน 351 แห่งทั่วประเทศก็ตาม แต่ยังคงมีนักเรียนในอีกหลายโรงเรียนที่ยังต้องเผชิญหน้ากับการขาดแคลนอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ โครงการนี้จึงเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของความห่วงใย ที่มุ่งหวังให้ปัญหาภาวะโภชนาการของเด็กไทย ค่อย ๆ ทุเลาเบาบางลงและหมดไปในที่สุด.
|
Update : 28/6/2554
|
|