ตอนที่ ๕๗ สุดสาครปราบมังคลา
ฝ่ายพระมังคลาเห็นศึกสมทบหลายทัพเป็นที่คับขัน จึงปรึกษาขุนนาง แล้วถามคนเก่าว่าเคยรู้เห็นมาแต่ปางก่อนหรือไม่ ขุนนางผู้เฒ่าจึงทูลว่า ผู้ที่ขี่หลังม้ามังกรคือ สุดสาคร ส่วนผู้ที่ขี่สิงห์คือ เสาวคนธ์ แต่พวกที่เหมือนนกนั้น ไม่เคยมีมาก่อน แล้วเล่าการศึกครั้งก่อนที่มารบที่เมืองใหม่ ให้ทราบ
พระมังคลาว่าทหารลังกาประมาท จึงพลั้งพลาดเพราะหลับไหล และว่า
อันแยบยลกลหนูสู้พยัคฆ์ |
เรารู้จักจึงไม่ได้ดังใจหมาย |
ที่แปลกอย่างต่างหากมีมากมาย |
จะยักย้ายแก้ไขผลาญไพรี |
ฯลฯ
จะให้พวกชาวละหม่านทหารเสือ |
ลอบเผาเรือขึ้นที่ท่าชลาไหล |
ให้พวกพ้องกองทัพลงดับไฟ |
เราล้อมไล่ให้มันลงข้างคงคา |
ฯลฯ แล้วชิงเอาค่ายชายฝั่งไว้ ให้เกณฑ์ไพร่พลออกไปสักแสน พวกฝรั่งจึงไปจัดโยธาห้าหมื่น ถือปืนรบอีกห้าหมื่น ถือทวนยาวหลาวแหลน เมื่อเห็นเพลิงไหม้ให้ออกสมทบ เข้ารุมรบพร้อมกันตามสัญญา
ค ฝ่ายพวกพ้องกองละหม่านทหารยักษ์ |
เกลี้ยกล่อมมาสามิภักดิ์รักอาสา |
ออกหลังป้อมอ้อมลงข้างคงคา |
ต่างประดาน้ำทบดำดั้นไป |
ฯลฯ ขึ้นเรือรบครบร้อยเห็นพวกกองเรือนอนหลับอยู่ ก็จุดชุดไฟเผาไหม้เชื้อชันน้ำมันยาง แล้วฆ่าคนบนเรือ ฝ่ายคนบนค่ายเห็นเพลิงไหม้เรือ ก็ลงไปช่วยดับ
ค ฝ่ายฝรั่งลังกาเห็นข้าศึก |
อึกทึกทุกทัพสิ่งสับสน |
เปิดทวารด้านใต้ต้อนไพร่พล |
ออกเกลื่อนกล่นกลางคืนยิงปืนไฟ |
ฯลฯ
ค ฝ่ายฝรั่งทั้งหลายชิงค่ายได้ |
ทั้งนายไพร่พร้อมพรักเข้ารักษา |
ฝ่ายนงเยาว์เสาวคนธ์ถอยพลมา |
พบเชษฐากับทั้งพระหัสไชย |
ฯลฯ ฝ่ายโยธาวาหุโลมนั้น ถึงเสียทีก็มิได้พรั่น ต่างตีฆ้องกลองสำหรับเรียกทัพประชุมไพร่พล ริมฝั่งน้ำมีกำลังพลเหลือตายอยู่หลายหมื่น ยกขึ้นไปตั้งอยู่หลังถนน ฝ่ายองค์เสาวคนธ์จึงว่า จะละไว้ให้ช้าไม่ได้ ทหารจะหิวโหยโรยกำลัง จะยกทัพกลับไปตีเมืองใหม่พรุ่งนี้เช้า แล้วออกอุบายให้ไพร่พลแต่งตัวเป็นฝรั่งได้พันคน
ต่างแอบอ้อมปลอบเข้าไปแต่ในศึก |
กำลังศึกสับสนพลขันธ์ |
เข้าเมืองมั่งบ้างอยู่ค่ายเรียงรายกัน |
ใครไม่ทันเพ่งพิศไม่คิดแคลง ฯ |
ค ส่วนนงเยาว์เสาวคนธ์แบ่งพลทัพ |
นายกำกับกองละพันล้วนขันแข็ง |
ห้าสิบสองกองสกัดคัดจัดแจง |
ตามตำแหน่งหนุนกันให้ทันที |
ให้พระเชษฐาพาทหารไปชานเขา คอยจับพระมังคลาที่ล่าหนี กองหน้าให้วาหุโลมเข้าโจมตี ที่เหลือเข้าไปในเมือง สกัดฆ่าฝรั่งให้สิ้น พอจวนแจ้งแสงทองต่างก็ยกกำลังเนื่องหนุนตามกันไป พอถึงค่ายรายฝั่งก็ตั้งโห่กึกก้อง แล้วเข้าหักโหมรุกโรมรัน จนรุ่งเช้าพวกฝรั่งลังกาต่างถอยทัพกลับเข้าไปในกำแพง พวกปลอมแปลงพลก็พลอยปนเข้าไปด้วย แล้วไล่ฆ่าเหล่าเฝ้าประตู จากนั้นก็เปิดประตูรับทัพทั้งปวงของฝ่ายตนเข้าไป
พระมังคลาข้าเฝ้าเหล่าทหาร |
เหลือต้านทานทัพล้อมเข้าพร้อมพรั่ง |
ขึ้นทรงม้าพาสนมกรมวัง |
ออกทางหลังเมืองใหม่พลัดไพร่พล ฯ |
พระหัสไชยกับองค์เสาวคนธ์ไล่ฆ่าพวกฝรั่ง พอพบน้องสองหลานช่วยกันรบ เลี้ยวหลบหลีกไป พบสุดสาครขวางทางไว้
ตวาดถามความว่าเหวยฝรั่ง |
ตัวชื่อมังคลาหรือไฉน |
ลงจากม้ามาดีดีอย่าหนีไป |
จึงจะไว้ชีวาไม่ฆ่าฟัน ฯ |
ฝ่ายพระมังคลาควบม้าหนีไปพร้อมกับนางสุนีย์ พระหน่อไทสุดสาครไล่สกัดทันแล้ว จับพระมังคลาไว้ พอนางสุนีย์เข้ามาช่วยพ่นเป็นควันออกจากปาก เหมือนเพลิงพรายสายรุ้งพลุ่งพลั่ง สุดสาครอ่อนกำลังถอยหลังหนีแล้ว นางสุนีย์กับพระมังคลาก็หายไปจากที่นั้น สุดสาครร่ายมนต์เป่าก็หายมึนเมา แล้วขึ้นนั่งหลังนิลสินธพ ออกติดตามาพบวายุพัฒน์
เห็นเหมือนพี่สีเขียวมีเขี้ยวแฝง |
ทั้งเนตรแดงดูพลางขวางสกัด |
ฝ่ายฝรั่งยั้งหยุดยืนเยียดยัด |
พอเห็นหัสกันมาเหมือนลาลี |
ฯลฯ จึงร้องถามว่า สองคนนี้เป็นลูกลาลีกับยุพาหรือว่าไร สองพี่น้องดูรู้ว่าเป็นอาและพ่อ แต่แกล้งกล่าวลวงล่อว่า ขอให้บอกชื่อของตนบ้าง
ค สุดสาครฟังคำทำหัวร่อ |
กูเป็นพ่อไม่รู้จักมาซักถาม |
แม่ไม่บอกดอกหรือไม่เข้าใจความ |
กูนี้นามชื่อว่า สุดสาคร |
ฯลฯ แล้วว่ากล่าววายุพัฒน์กับหัสกันด้วยประการต่าง ๆ บอกว่าจะส่งตัวถวายพระชนกา ตามจะโปรดโทษที่ดื้อดึงไม่ซื่อตรงต่อวงศา
ค วายุพัฒน์หัสกันพรั่นพรั่นจิต |
มิได้คิดนบนอบตอบสนอง |
ถึงชั่วดีมีสติต้องตริตรอง |
ไม่ฟังฟ้องฝ่ายโจทก์กล่าวโทษทัณฑ์ |
ฯลฯ
จะมัดผูกลูกเต้าให้เขาอื่น |
ไม่ผิดขืนจะว่าผิดคิดไฉน |
ส่วนพวกพ้องของท่านเข้ากันไป |
ผิดวิสัยธรรมดาในฟ้าดิน |
แม้พ่อแม่แลเห็นลูกเหลนหลาน |
ย่อมสงสารมีจิตคิดถวิล |
แต่ร้ายกาจชาติเชื้อเหลือทมิฬ |
ก็ไม่กินลูกหลานวงศ์ว่านเครือ |
สุดสาครอ่อนใจอาลัยบุตร และสังเวชลูกของเชษฐา แล้วกลับคิดผิดพลั้งแต่หนหลัง จึงตอบไปว่า
แม้ลูกชั่วหัวดื้อทำซื้อรู้ |
จนพี่ป้าย่าปู่ไม่รู้จัก |
ผลาญพงศ์เผ่าเหล่ากอทรลักษณ |
ชื่อว่า อกตัญญูดังงูพิษ |
ได้ว่ากล่าวลูกกับหลานอีกหลายประการ แล้วขับม้าถาโถมเข้าโจมจับ วายุพัฒน์กับหัสกันพากันหลบหนีเข้าป่าไป สุดสาครไล่ตามไปไม่พบ พอตกกลางคืนจึงกลับม้าพาไพร่พลกับมาเมืองใหม่ ฝ่ายเมืองการะเวกจับฝรั่งลังกาได้กว่าหมื่น ส่วนชาวการะเวกที่ถูกจับมาก่อนหน้านั้น สามพันคนให้ส่งคืนกลับไปเมืองการะเวก
ฝ่ายพวกฝรั่งลังกาก็หนีดั้นด้นกลับมายังเมืองป่าตาล วายุพัฒน์กับหัสกันหนีดั้นด้นไปยังด่านกลาง
ฝ่ายพระมังคลานั้น สุนีบาตอุ้มหลบหนีไปจนค่ำ ถึงธารน้ำมีภูเขาขวางอยู่ พอตกดึกจึงค่อยฟื้นองค์ เห็นแต่หน้านางสุนีแต่ผู้เดียว รู้ว่านางได้ช่วยชีวิตตนไว้ จึงคิดขอบใจนาง
ค แล้วเอนองค์ลงบรรทมพนมมาศ |
สุนีบาตนั้นอุตส่าห์หาบุปผา |
มาโรยรายถวายพระมังคลา |
แล้วอุตส่าห์นวดฟั้นให้บรรทม |
ฯลฯ นางสุนีบาตเห็นพระมังคลาทุกข์ร้อนนอนไม่หลับ จึงร้องขับกล่อมบรรยายความธรรมชาติได้ไพเราะ พระมังคลาได้ฟังก็ชอบใจ จึงค่อยเล้าโลมนาง แต่นางได้ตอบคำว่าตนนั้นไม่สมควร และเมื่อเสร็จธุระแล้ว ก็จะขอลาไป พระมังคลาได้ฟังก็สงสัยจึงถาม นางตอบว่า องค์พระมหาสุราลัยบัญชาให้ตน ลงมาเป็นทารกเพื่อช่วยธุระของพระมังคลา
ช่วยธุระพระองค์ให้คงชีพ |
แล้วกลับรีบไปรักษาพลาหก |
แม้มีผัวชั่วช้าอุลามก |
จะต้องตกอยู่แผ่นดินสุดสิ้นฤทธิ์ |
ฯลฯ
จะได้เดินเชิญพระองค์ไปส่งด่าน |
เป็นทหารแล้วจึงจะเป็นสนม |
พลางแอบองค์ทรงธรรม์ให้บรรทม |
เคลิ้มหลับในไพรพนมใต้ร่มรัง ฯ |
พอเช้าวันรุ่งขึ้น นางสุนีบาตก็พาพระมังคลาขึ้นบ่า แบกพาเดินไปทางทิศหรดี ไปด้วยความรวดเร็วดุจเหาะเหิน ระหว่างทางได้ชมนกชมไม้มาตลอด จนถึงเวลาพลบจึงพบพวกไพร่พลที่ออกมาตาม จึงเชิญพระมังคลาให้ทรงรถไปยังป่าตาล เมื่อขึ้นประทับบนพลับพลา พร้อมทั้งพระน้องกับสองหลานแล้ว ก็สั่งการให้ทหารตรวจตราเตรียมอาวุธไว้พร้อม ทุกป้อมค่ายแล้วคิดอ่านที่จะทำการรบต่อไป
เราแตกยับอัปราฝ่ายข้าศึก |
จะเหิมฮึกรบพุ่งถึงกรุงศรี |
จะผันแปรแก้ไขอย่างไรดี |
จึงจะตีคืนได้เมืองใหม่มา ฯ |
ฝ่ายฝรั่งสิ้นความรู้ไม่มีผู้สามารถอาจอาสา พระวลายุดาจึงทูลว่า ข้าศึกมีกำลังจึงขอให้รั้งรอการรบไว้ก่อน แล้วไปบอกสังฆราชครูให้คิดช่วย พระมังคลาเห็นด้วยจึงให้เขียนใบบอก ให้ม้าใช้นำไปส่งให้อาจารย์ แล้วตรัสสั่งให้บังอลู เกณฑ์ทหารยี่สิบหมื่นมายังเมืองด่าน เพื่อสมทบกันช่วยรบข้าศึก
ฝ่ายสังฆราชรู้ความตามใบบอกแล้ว จึงตำหนิพวกนอกครูที่ไปจับพวกพ้องของตนมา จึงเกิดเหตุ
จับพวกพ้องของตัวมามั่วสุม |
ศึกจึงรุมพร้อมพรักมาหักโหม |
ไม่จัดแจงแบ่งเบาค่อยเล้าโลม |
เที่ยวรุกโรมสงครามทั้งสามเมือง |
ฯลฯ
ดูตำรับทัพศึกที่ลึกซึ้ง |
เห็นบทหนึ่งชื่อทวาทศราศี |
ผูกผนึกปิดตราไม่ช้าที |
ให้เสนีมึงเอาไปส่งให้นาย ฯ |
ตอนที่ ๕๘ นางละเวงวัณฬาช่วยนางสุวรรณมาลีและท้าวทศวงศ์
เรื่องการศึกรู้เข้าไปถึงในวัง นางรำภา นางยุพาผกา และนางสุลาลี รู้เรื่องแล้วจึงเข้าไปทูลองค์ละเวง เมื่อซักไซ้ไล่เรียง ได้ความแล้ว พระนางก็ตกใจด้วยไม่ทราบความมาก่อน จึงให้นางรำภาไปด้วยกันกับพระนาง
ค ฝ่ายพวกพ้องกองร้อยรายคอยข่าว |
รู้เรื่องราวรีบเดินตามเนินผา |
ถึงด่านเข้าเฝ้าพระมังคลา |
ทูลว่าพระมารดามาในไพร ฯ |
พระมังคลาได้ฟังก็ประหลาดใจ จึงปรึกษาน้องกับสองหลาน พระอนุชาว่าอย่าให้พบให้หลบหายไปก่อน เพื่อดูดีร้ายให้ฝ่ายผู้เฒ่าอยู่เฝ้าฟัง พระมังคลาเห็นด้วยจึงตรัสสั่งให้นายทหารไปดำเนินการเป็นการลับ แล้วชวนพระน้องกับสองนัดดา ไปอยู่ป้อมพร้อมกันปรึกษาหารือการทำศึก
ฝ่ายองค์ละเวงรีบเดินทางมาถึงด่านดงตาลไม่เห็นผู้คน นอกกำแพงพบแต่คนแก่เฒ่าจึงเรียกมาตรัสถาม พวกผู้เฒ่าทูลตอบความว่า พระโอรสเสด็จไปลังกาได้ห้าวันแล้ว
ปิดประตูผู้ใดเข้าในด่าน |
จะประหารชีวาให้อาสัญ |
ข้าพระเจ้ามาแต่อารัญ |
ต้องพากันขัดค้างอยู่อย่างนี้ ฯ |
องค์ละเวงได้ฟังก็นึกแหนง เห็นว่าจะแกล้งไม่ให้พระนางพบ จึงคิดหลบหนีจึงทรงซักไซ้ว่า ใครเฝ้าเมืองอยู่พวกคนแก่ทูลว่า ตนไม่ได้เข้าไปเห็นเรื่องเมือง จึงไม่รู้ พระนางจึงตรัสสั่งให้บรรดาพวกข้าไท เรียกให้เปิดประตูเมือง นายประตูไม่ได้ขานตอบ จึงให้บอกซ้ำไปอีกครั้งว่า ถ้าไม่ให้เข้าจะพังประตูเข้าไป
สักครู่หนึ่งจึงเห็นคนบนหอรบ |
นั่งนอบนบนางวัณฬามารศรี |
ร้องถามชายนายขอเฝ้าพระเสาวนีย์ |
ออกมานี้ราชการสถานใด ฯ |
พวกขอเฝ้าตอบว่า จะมาช่วยหน่อวรนาถทำสงคราม และมาเยี่ยมไพร่พลตามที่มีพระทัยกรุณา
เร็วเร็วเถิดเปิดบานทวารรับ |
รถจะได้ไปประทับพลับพลาศรี |
จะขัดขวางค้างอยู่นอกบุรี |
โทษจะมีเหมือนขบถประทษร้าย ฯ |
พวกบนหอรบหลบหน้าไป พวกโยธาหายจึงเปิดบานประตูให้เข้าไปในเมือง แล้วเชิญประทับพลับพลาตรงหน้าป้อม นางกษัตริย์ตรัสสั่งให้ไปบอกพระมังคลา ให้พาน้องกับสองหลานมาหา ฝ่ายขุนนางพรางความว่า พระมังคลาไปลังกาได้ห้าวัน
ค นางตรัสถามความเรื่องเมืองผลึก |
มาขังตึกไว้ที่ไหนจะไปหา |
ทั้งทรงยศทศวงศ์ซึ่งส่งมา |
มึงช่วยพาไปให้พบประสบกัน |
ฝ่ายฝรั่งได้ฟังให้ขัดข้องกลัวตนจะต้องโทษ จึงทูลผ่อนผันว่าตนไม่ทราบความจริง พระนางได้ฟังก็เดือดดาลไล่พวกฝรั่งออกไป
ฝ่ายนางรำภาสะหรีเห็นเหตุขัดข้อง จึงแต่งตัวถือขวานออกไปหน้าพลับพลา แล้วประกาศว่าบรรดาข้าเฝ้า เหล่าอำมาตย์ผู้เป็นข้าบาท ใครเสียสัตย์ขัดข้องตนจะฟันเสียให้ตาย
ฝ่ายพวกพลผู้เฒ่าชาวผลึก ต้องทำหน้าที่เฝ้าตึกอยู่ได้ยินความจึงเดินเข้าไปทูลความว่า
อันองค์พระมเหสีบุตรีผลึก |
ต้องใส่ตึกกักขังอยู่ทั้งสาม |
ทหารล้อมพร้อมคุมทุกทุ่มยาม |
จงทราบความตามจะโปรดที่โทษทัณฑ์ ฯ |
ฝ่ายองค์วัณฬากับนางรำภาสะหรี ได้ฟังก็มีความยินดี จึงให้ผู้เฒ่านำไปยังตึกที่ใช้ขังทั้งสองตึก ฝ่ายฝรั่งที่ล้อมวงอยู่ เห็นองค์ละเวงก็เกรงกลัวหลีกออกไป เอาขวานฟันกุญแจแล้วทั้งสองนางก็เข้าไปในห้อง
ค เห็นองค์พระมเหสีบุตรีน้อย |
ซูบเศร้าสร้อยมิได้หวีเกศีสาง |
เข้ากราบลงตรงที่เพลาพี่นาง |
สะอื้นพลางนางวัณฬาโศกาลัย |
ฯลฯ
เพราะเจ้ากรรมทำเข็ญให้เป็นโทษ |
เสียประโยชน์ญาติวงศ์เผ่าพงศา |
แต่ทราบข่าวเช้าค่ำกลืนน้ำตา |
เหมือนน้องฆ่าพี่นางให้วางวาย ฯ |
แล้วทั้งสององค์ก็ร่ำรำพันถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จนเป็นลมสลบไป นางรำภาสะหรีแก้ไขให้ฟื้นองค์
นางวัณฬาว่าน้องจะเชิญพระพี่ |
ไปส่งที่เมืองใหม่เหมือนใจหวัง |
ทั้งทรงยศทศวงศ์ดำรงวัง |
คืนไปยังรมจักรนัครา |
ฯลฯ แล้วทั้งหมดก็ไปที่ตึกท้าวทศวงศ์ ทูลความให้ทราบ
ค นางวัณฬาสารภาพได้ทราบเกล้า |
ว่าลูกเต้าเจ้ากรรมทำข่มเหง |
ไม่บอกแม่แต่มันคิดกันเอง |
ไม่ยำเยงพระราชอาชญา |
ฯลฯ
ค ท้าวทศวงศ์ว่าอ่อพ่อขอโทษ |
มาหลงโกรธแม่วัณฬา รำภาสะหรี |
เออลูกเต้าเล่าก็เป็นไปเช่นนี้ |
ไม่พอที่ทำข่มเหงกันเองเลย |
ฯลฯ แล้วเชิญเสด็จไปรถประทับที่พลับพลา แล้วออกเดินทาง ฝ่ายฝรั่งลังกาต่างเข้ามาขัดขวาง บอกว่าเจ้าลังกาตรัสกำชับไว้ว่า
ให้ขุนนางต่างพระทัยนัยน์เนตร |
รักษาเขตคอยเสด็จจนเสร็จกลับ |
แม้ผู้ใดไม่ฟังบทบังคับ |
ก็จะจับฆ่าฟันให้บรรลัย |
เมืองผลึกรมจักรเป็นนักโทษ |
ยังไม่โปรดพระจะมาพาไปไหน |
ส่งคืนมาข้าพเจ้าจะเอาไป |
ใส่ไว้ในตึกขึงจึงบังควร ฯ |
องค์วัณฬากับนางรำภาสะหรี จึงด่าว่าข้าเฝ้าด้วยประการต่าง ๆ แล้วว่า
มึงคิดร้ายหมายสู้กูหรือนี่ |
ว่าไม่มีวาสนาอาชญาสิทธิ์ |
ขืนขัดขวางทางไว้มึงไม่คิด |
ประเดี๋ยวชีวิตจะวายวาง ฯ |
ฝ่ายพวกเสนาก็ทูลว่า องค์วัณฬาเมื่อดำรงราชย์อยู่ก็มีสิทธิขาด ครั้นมอบราชสมบัติให้พระมังคลาแล้ว ก็ให้เชื่อฟังพระมังคลา
ต้องถือน้ำทำสัตย์เพราะตรัสสั่ง |
จึงเชื่อฟังทรงยศโอรสา |
เดี๋ยวนี้พระจะกลับบังคับบัญชา |
เจ้าลังกาก็จะต้องเป็นสององค์ |
ฯลฯ การที่องค์วัณฬามาทำแต่ลำพัง เหมือนถอดพระหน่อนาถให้เสียยศ แล้วทูลว่า
แต่พวกพ้องสองเมืองที่เคืองขัด |
จะต้องตัดเอาศีรษะไว้ถวาย |
ไม่สู้รบอยู่เกล้าเป็นเจ้านาย |
คนอื่นหมายมิให้ออกนอกกำแพง ฯ |
นางรำภาสะหรีได้ฟังก็ด่าว่า พวกที่มาขัดขวาง และว่า
ธรรมเนียมนาฎมาตุรงค์มิ่งมงกุฎ |
ควรช่วยบุตรบำรุงซึ่งกรุงศรี |
ถึงหน่อไทไม่อยู่ในบุรี |
พระชนนีชี้ขาดราชการ |
ฯลฯ แล้วแต่งองค์ทรงม้าถือขวานไล่ทหารไม่ให้ขวางทางถนน แล้วเร่งรุดออกเดินทาง
ค ฝ่ายโยธาฝรั่งออกตั้งรับ |
ล้อมหน้าหลังคั่งคับสลับสลอน |
นางรำภากล้าหาญไล่ราญรอน |
มันกลับย้อนแยกวิ่งจับหญิงชาย |
ฯลฯ
พวกขอเฝ้าเจ้ากรมออกสมทบ |
ช่วยเจ้ารบรอนรับกันสับสน |
นางรำภาฆ่านายตายหลายคน |
มันฆ่าพลพวกตามตายครามครัน ฯ |
คท้าวทศวงศ์นงลักษณ์อัคเรศ |
คิดสมเพชพวกโยธาที่อาสัญ |
จึงตรัสห้ามรำภาสะหรีนั้น |
อย่าฆ่าฟันให้ตายวายชีวี |
จะกลับไปให้เขาไว้ดังเก่า องค์ละเวงเกรงว่าพระมังคลาจะฆ่าห้ากษัตริย์ด้วยขัดใจ จึงร้องบอกฝรั่งให้ไปบอกเจ้านายว่า พวกพ้องสองพารา พระนางจะพาไปไว้ในวังเมืองลังกา แล้วให้กลับรถให้นางรำภาอยู่ระวังหลัง
เปิดทวารบานบังออกหลังด่าน |
เหล่าทหารมิได้ห้ามปรามไฉน |
รีบแรมทางกลางป่าพนาลัย |
ถึงกรุงไกรพร้อมเพรียงเข้าเวียงวัง |
ฯลฯ
ค แต่ฝ่ายข้างนางละเวงวัณฬาราช |
แค้นหน่อนาถนึกเห็นไม่เป็นผล |
แกล้งแอบแฝงแต่งให้พวกไพร่พล |
ไล่ฆ่าคนข่มเหงไม่เกรงใจ |
ฯลฯ
ทั้งสามนางต่างว่าหนักหนานัก |
เหมือนเลี้ยงรักลูกเสือร้ายเหลือแสน |
จะช่วยชุบอุปถัมภ์กลับทำแค้น |
เหมือนเหยียบแผ่นดินผิดจนติดใจ |
นางวัณฬาว่าเพราะพระสังฆราช |
สอนให้ขาดญาติวงศ์จึงหลงไหล |
น่าแค้นเหลือเชื่อพระจะนำไป |
ต่อว่าให้ขาดกันเสียวันนี้ |
ฯลฯ
ค พอผันแปรแลเห็นพระสังฆราช |
นั่งบนอาสน์อิงหมอนมือยอนหู |
ไม่ก้มเกล้าเข้าไปนั่งตั้งกระทู้ |
ท่านขรัวครูสอนสั่งเจ้ามังคลา |
องค์ละเวงได้ต่อว่าสังฆราชบาทหลวงด้วยประการต่าง ๆ ที่ได้สั่งสอนพระมังคลา จนเกิดศึกรบพุ่งถึงกรุงศรี
เสียแรงเชื่อถือว่าเหมือนตาปู่ |
จะค้ำชูช่วยชุปอุปถัมภ์ |
มาหลงเชื่อเสือเฒ่าตัวเจ้ากรรม |
ช่างแนะนำทำให้ขาดญาติกา ฯ |
บาทหลวงได้ฟังจึงถามว่า ได้เกิดเรื่องอะไรจึงมากล่าวหาตน ทั้งที่ตนได้สอนให้รู้สารพัด
ค นางวัณฬาว่าเพชรก้อนเก็จแก้ว |
เขาขอให้ไปเสียแล้วเป็นไหนไหน |
ใครบอนบอกออกให้รู้ครูหรือใคร |
สอนให้ไปชิงเขาเผาพารา |
ฯลฯ แล้วไปรบเมืองผลึกกับรมจักร จับสองท้าวกับองค์สุวรรณมาลีและสองพระธิดา มาขังไว้ในด่านดงตาล
จนรบราฆ่าฟันกันออกวุ่น |
เพราะเจ้าคุณหรือมิใช่หรือใครสอน |
อยู่กุฎีมีสุขไม่ทุกข์ร้อน |
เหมือนเสือนอนกินความสบายครัน ฯ |
บาทหลวงได้ฟังจึงด่าว่า องค์ละเวงว่าเนรคุณแล้วว่า
อ้ายมังคลาบ้าลำโพงโกงเหมือนแม่ |
มันเอาแต่ตามอารมณ์ทำข่มเหง |
ลูกในท้องของตัวไม่กลัวเกรง |
มาครื้นเครงโกรธกูเป็นคูบา |
ฯลฯ
ใครหายใจไม่ออกถึงนอกฟ้า |
ผิดก็มาอยู่กับกูไม่รู้สิ้น |
กูอาศัยในแดนรักแผ่นดิน |
มึงกับนินทาว่าสารพัน ฯ |
องค์วัณฬาว่าเมื่อครูรู้ว่าผิด จึงไม่ห้ามศิษย์และช่วยสั่งสอน จนเกิดศึกก็ไม่ช่วยห้ามปราม
ค บาทหลวงว่าวิสัยในมนุษย์ |
ฟันจะหลุดแล้วก็ห้ามปรามไม่ไหว |
ห้ามเกษาว่าอย่าหงอกยังนอกใจ |
มันขืนหงอกออกจนได้มันไม่ฟัง |
ฯลฯ
ค นางละเวงเกรงบาปไม่หยาบหยาม |
คิดถึงความซื่อตรงก็สงสาร |
ชลีลาพาหญิงพวกศฤงคาร |
ไปปราสาทราชฐานรำคาญใจ ฯ |
ฝ่ายพระมังคลาได้แบบบาทหลวง รู้ตำรับศึกแล้ว ฝึกไพร่พลให้รู้รบ
ให้ตั้งค่ายใหญ่น้อยร้อยแปดค่าย |
เป็นหลั่นรายเรียบไปในไพรสัณฑ์ |
แบ่งพลไว้ไพร่นายค่ายละพัน |
ธงสำคัญสัญญารบราวี |
ฯลฯ