หน้าแรก สมาชิก รายการวัตถุมงคล ตะกร้าวัตถุมงคล วิธีชำระวัตถุมงคล วิธีบูชาวัตถุมงคล ประวัติวัด ติดต่อวัด เว็บบอร์ด
สมาชิก Log in
อีเมล์
รหัสผ่าน
สมัครสมาชิกใหม่
ลืมรหัสผ่าน
















ค้นหาวัตถุมงคล
 
 
 
หมวดวัตถุมงคล
  เครื่องราง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง หลวงพ่อสวัสดิ์
  พระเครื่อง หลวงปู่พิมพ์มาลัย
  พระเครื่อง หลวงพ่อสง่า
วัตถุมงคลของคุณ
รหัสวัตถุมงคล ราคา จำนวน
ยังไม่มีวัตถุมงคลอยู่ในตะกร้า
  • ชำระค่าวัตถุมงคล
  • แก้ไขรายการวัตถุมงคล
  • วิธีสั่งบูชาวัตถุมงคล
  •  

    พระอภัยมณี/41
     พระอนุชาเห็นว่าจะต้องแก้การโดยยกกำลังไปรุกรบ จับเอาพงศ์พันธุ์พวกพ้องของทั้งสองเมือง มาขังไว้ให้เป็นห่วงเหมือน หน่วงศึกให้ได้เป็นต่อ พระมังคลาเห็นด้วยจึงให้แยกกันไปจัดพลคนละกอง ให้อนุชาไปรมจักร สองนัดดายกไปเมืองผลึก
      ฝ่ายวายุพัฒน์จัดพลเป็นกลศึก  เอาเรือผลึกล่วงไปก่อนซ่อนทหาร
    ทั้งสามลำนำตำบลชลธาร ไปประมาณครึ่งวันตามสัญญา
    ฯลฯ
                แล้วหัสกันคุมกองเรือสองร้อย สะกดรอยเรียงรายไปทั้งซ้ายขวา พอลับตาวายุพัฒน์ก็ออกเรือสามร้อยลำแล่นตามไป ฝ่ายทัพพระอนุชามีเรือห้าร้อยลำ ก็ออกเรือรีบรุดไปเมืองรมจักร
                ฝ่ายกองหน้าวายุพัฒน์แล่นเรือมาได้สิบห้าคืน ก็เข้าปากอ่าวเมืองผลึก ชาวตระเวนเห็นแต่ไกลจำได้ว่า เป็นเรือของผู้ถือหนังสือ เดินทางกลับมาจึงไม่ห้ามปรามถามทัก คิดว่ารู้จักแน่ปล่อยให้เรือแล่นเข้าถึงหน้าเมืองผลึก ตอนดึกสามยาม
    ขึ้นฝั่งลำละพันแยกกันออก เข้าทางตรอกบ้านช่องท้องสนาม
    เที่ยวจุดไฟไหม้โขมงพลุ่งโพลงพลาม แสงเพลิงลามลุกรอบขอบบุรี
    ฯลฯ
                ฝ่ายองค์พระมเหสีเห็นเพลิงไหม้ใกล้ปราสาทราชฐาน ก็พาพระมารดากับพระธิดาทั้งสองออกมานอกมณเฑียร จะไปไหนก็ไม่พ้นเที่ยววนเวียนอยู่
                ฝ่ายพวกกองตระเวนเห็นกำปั่นแล่น หลามมาตามหลังจึงยิงปืนใหญ่ห้ามไว้ แต่ข้าศึกก็ไม่ฟัง เมื่อเห็นว่าตัวมีกำลังน้อย จึงถอยเข้าอ่าวปากน้ำ เห็นเพลิงไหม้อยู่รอบปราการ และพวกข้าศึกโห่ร้องอยู่กึกก้อง ต่างก็ไม่หาญรบ หลบขึ้นตลิ่งวิ่งหลบหนีไป พอรุ่งเช้าพวกฝรั่งก็ขึ้นบกมาคับคั่ง ชาวเมืองหนีกระจัดพลัดพรายไป พวกกองทัพลังกาตั้งล้อมรอบกำแพงไว้ วายุพัฒน์จัดทหารถือขวานระดมฟันประตูวังพังทลายลง
      ฝ่ายองค์พระมเหสีถือตัวสู้ ขวางประตูห้ามฝรั่งสิ้นทั้งหลาย
    จะเข้ามาว่ากระไรใครเป็นนาย อย่าวุ่นวายบอกเราให้เข้าใจ
    ฯลฯ
                หัสกันถามว่า พระมเหสีกับพระธิดาอยู่ที่ไหน บอกว่าเจ้ากรุงลังกามีบัญชาให้รับไปด้วย เป็นวงศ์เผ่าพงศ์พันธุ์ พระมเหสีทราบว่าฝรั่งมาตั้งรบ จะหลีกหลบไปเห็นไม่พ้น จึงว่าเจ้าลังกานั้น ถ้านับกันก็เป็นน้องของสองพระบุตรี แล้วตรัสว่า
    เหตุไฉนไม่คิดถึงปิตุราช มาองอาจรบพุ่งถึงกรุงศรี
    ตัวเราหรือชื่อสุวรรณมาลี นี่บุตรีสร้อยสุวรรณจันทร์สุดา
    ถ้าแม้หน่อวรนาถรักชาติเชื้อ จะก่อเกื้อเชื้อวงศ์เผ่าพงศา
    จงเลิกทัพกลับหลังไปลังกา จะเห็นว่าสุจริตต่อบิดร ฯ
                 หัสกันว่าบรรดาโยธาหาญนั้นเป็นพวกเจ้าละมานมาเผาเมือง ตนจึงรีบร้อนมารับองค์พระมเหสีกับพระบุตรีไปให้พอรู้จักศักดิ์ตระกูลประยูรวงศ์ แล้วจะมาส่งกลับเมืองในไม่ช้า
      นางรู้ท่าเข้าใจแต่ไม่ตรัส ถ้าขืนขัดจะไม่กลับทัพทหาร
    ไปตามเคราะห์เพราะไม่พ้นพวกคนพาล จึงกราบกรานชนนีชลีลา
    ฯลฯ
    แล้วกลืนกลั้นกันแสนเทวษ พระชลเนตรพรั่งพรายทั้งซ้ายขวา
    ชวนลูกน้อยสร้อยสุวรรณจันทร์สุดา ลีลามานอกเขตนิเวศน์วัง
    ฯลฯ
      วายุพัฒน์หัสกันก็ลั่นฆ้อง เรียกพวกพ้องพลนิกายทั้งซ้ายขวา
    โยธาทัพจับเหล่าชาวพารา ทั้งเสนานายไพร่ไล่ลงเรือ
    ฯลฯ
      ฝ่ายโยธาข้าเฝ้าชาวผลึก เมื่อเกิดศึกซ่อนหนีตามวิสัย
    ครั้นทัพกลับลับลี้ต่างดีใจ ทั้งนายไพร่กลับมาเข้าธานี
    ฯลฯ
      พวกเสนาสารภาพกราบพระบาท ขอรับราชอาญาถึงอาสัญ
    ด้วยศัตรูจู่มาไล่ฆ่าฟัน ใครไม่ทันรู้ทั่วทุกตัวคน
    ครั้นเพลิงไหม้ไพร่นายพรัดพรายหมู่ ข้ารบสู้ไม่ถนัดจึงขัดสน
    ซึ่งเสียพระมเหสีนีฤมล ความผิดล้นพ้นที่จะพรรณนา
    ถ้าใส่บทกฎหมายตายทั้งโคตร แม้ยกโทษข้าทั้งหลายหมายอาสา
    ไปรบรับจับฝรั่งเกาะลังกา พิฆาตฆ่าโคตรมันให้บรรลัย ฯ
                ฝ่ายกองทัพฝรั่งลังกาเมื่อกลับมาถึงท่าเรือฟากฝั่งลังกา สองนัดดาพากันขึ้นไปเฝ้ากราบทูลเจ้าลังกาว่าได้เผาเมืองผลึก และได้องค์สุวรรณมาลีกับสองพระบุตรีมา พระมังคลาได้ฟังก็ตรัสสรรเสริญแล้วให้จัดแจงแต่งโต๊ะตั้งสุราเลี้ยงโยธากับขุนนางให้รางวัลประทานเครื่องประดับเนื่องเนาวรัตน์ล้วนแก่สองนัดดา สำหรับองค์พระมเหสีกับสองพระธิดาพร้อมทั้งครัวบรรดานายได้ไพร่มานั้น
    ให้ส่งไปไว้ที่ด่านดงตาลตั้ง ทหารพรั่งพร้อมพรักอยู่รักษา
    เกณฑ์ชายใช้ไขน้ำตั้งทำนา หญิงเย็บผ้าเสื้อหมวกแจกพวกพล ฯ
                ฝ่ายองค์พระวลายุดาคุมกำปั่นแล่นไปได้เดือนครึ่งจึงเข้าอ่าวเมืองรมจักร ให้หยุดพักพลนิกายกองซ้ายขวา ให้ปลอมตนแต่งตัวเป็นชาวเมือง ใครถามให้ตอบว่าเป็นข้าเฝ้าของท้าวอุเทน
    กองละร้อยคอยตามกันสามทัพ ปืนสำหรับรบทั้งโล่ดั้งเขน
    รับใช้ขับไปพอปะกองตระเวน หัสเกนสั่งให้ไพร่ใส่แว่นตา
                แล้วยิงปืนกลบนอากาศเป็นควันคลุ้มมืดมัวไปทั่วทะเลและเวหา กองตระเวนเมืองผลึกหยุดเรือไม่รู้ว่าใต้เหนือจึงต้องทอดเรือราย แต่พวกฝรั่งยังเห็นทางด้วยมีแว่นจึงเข้าไปในด่านได้
    พอกองทัพขับพลขึ้นบนฝั่ง เข้าในวังโห่ลั่นเสียงหวั่นไหว
    พวกข้าเฝ้าเจ้าพระยาเสนาใน ไม่มีใครรบสู้ทั้งบูรี
    ฯลฯ
    แล้วเชิญองค์ทรงศักดิ์กับอัคราช ประยูรญาติวงศ์ท้าวสาวสนม
    ลงกำปั่นลั่นฆ้องกลองระดม ชาวเมืองรมจักรตื่นเสียงครื้นครึก
    ฯลฯ
    ล่องออกจากปากน้ำพบกำปั่น คอยหนุนทัพรับกันต่างหรรษา
    กราบทูลพระวลายุดานุชา ดังได้ท้าวเจ้าพาราฝูงนารี ฯ
                  พระวลายุดาชื่นชมโสมนัส แล้วตรัสสั่งไม่ให้กักขังให้ขุ่นข้องหมองศรี สั่งให้ใช้ไปแล่นกำปั่นกลับไปยังกรุงลังกา
      ฝ่ายบุตรพราหมณ์สามนายเป็นชายฉลาด ล้วนทรงศาสตร์ไสยเวทวิเศษขยัน
    ที่ลูกยาสานนอุบลนั้น ชื่อยุขันความคิดเหมือนบิดร
    คนหนึ่งนามพราหมณ์มะหุดบุตรวิเชียร พ่อให้เรียนรบสู้ธนูศร
    บุตรเจ้าโมราพราหมณ์นามมังกร เหมือนบิดรชำนาญในทางกล
    เมื่อศรีสุวรรณนั้นจะไปมิได้สั่ง พี่เลี้ยงทั้งสามประเทศเกรงเหตุผล
    ต่างเกณฑ์ไพร่ให้เจ้าพราหมณ์บุตรสามคน คุมพวกพลคนละพันป้องกันเมือง ฯ
      ทั้งศรีสุดานารีมีโอรส กับทรงยศศรีสุวรรณผิวพรรณเหลือง
    ชื่อองค์พระกฤษณาเดชาเรือง อยู่นอกเมืองมีวังลำพังเธอ
    ฯลฯ
                  บุตรพราหมณ์ทั้งสามนายกับหน่อนาถรักใคร่ไปหากันอยู่เสมอ เมื่อโยธาฝรั่งเข้าวังเห็นหมอกควันมืดสิ้นทุกถิ่นฐาน ทหารไม่เห็นทางด้วยตาฟางเฟือน ต่อรุ่งเช้าจึงรู้ว่าเสียกษัตริย์ถูกพาองค์ไปก็ตกใจ
      พระกฤษณาว่าพึ่งกลับดอก ยังไม่ออกลึกซึ้งไปถึงไหน
    เร็วเถิดเราเจ้าพราหมณ์รีบตามไป เห็นพร้อมใจจัดแจงแต่งนาวา
    ฯลฯ
                    มีพลประจำกำปั่นรบลำละพัน จำนวนสี่ลำแล่นติดตามกองทัพฝ่ายลังกาไป
                    ฝ่ายวิเชียร โมรากับสานนท์รู้ว่าเสียเมืองแล้วแขกชวา พระองค์กษัตริย์พร้อมพระมเหสีไปจากเมือง ก็ตกใจ จึงเกณฑ์พลรีบมายังธานี สอบถามอำมาตย์ได้ความว่า หน่อนาถกับลูกชายออกติดตามไปแล้ว จึงพากันลงกำปั่นคนละลำล่องน้ำไป
    พอออกจากปากอ่าวเห็นชาวด่าน เกณฑ์ทหารให้รีบนำสายน้ำไหล
    เป็นนาวาห้าสิบสามตามหน่อไท รับใช้ไปตามคลื่นทุกคืนวัน ฯ
                    ฝ่ายองค์พระกฤษณากับบุตรของสามพราหมณ์แล่นเรือมาได้สิบห้าวันก็ทันฝรั่งพวกลังกาไม่เห็นว่าเป็นแขก แต่ล้วนเป็นฝรั่ง ครั้นแล่นเข้าไปใกล้จึงให้ล่ามถามว่า ได้พาพระอัยกามาหรือไม่ ให้เร่งส่งคืนสองกษัตริย์ ถ้าไม่ส่งจะจุดไฟเผาเรือไม่ให้เหลือตาย
                ฝ่ายพระวลายุดาได้ฟังก็ถามกลับไปบ้างว่าที่เรียกอัยกา แสดงว่าเป็นหลานชาย แต่กลับมาคิดร้ายตนผู้มีคุณ
    แขกชวาพาหนีเราตีได้ ด้วยนับในญาติเชื้อช่วยเกื้อหนุน
    จะพาไปไว้พาราด้วยการุญ ยังมาวุ่นวายว่าจะราวี
    อันเราหรือชื่อวลายุดานาถ โอรสราชรมจักรทรงศักดิ์ศรี
    ตัวมาตามนามใดไพร่ผู้ดี เมื่อแขกตีเมืองทำไมจึงไม่ชิง
    ฯลฯ
      ฝ่ายองค์พระกฤษณาฟังฝรั่ง รู้ความหลังตอบความตามประสงค์
    ตัวเราหรือคือโอรสยศยง ชื่อว่าองค์กฤษณาอยู่ธานี
    อันน้องข้าเจ้าวลายุดานั้น เกิดกับครรภ์มารดารำภาสะหรี
    แม้จริงจังดังว่าเหมือนพาที เราเป็นพี่มิใช่ใครหาไหนมา
    ฯลฯ
                ฝ่ายวลายุดารู้ว่าพระกฤษณาเป็นพี่ จึงตอบว่าตนตั้งใจจะไปอภิวาทบาทยุคล แต่เดี๋ยวนี้องค์พระทรงภพไปปลงศพสองกษัตริย์อยู่จะรอท่าช้านานไป จะเป็นกังวลกับทางวังลังกา ทั้งสองท้าวก็นับญาติอยากให้รักกันให้มาก จะพาไปให้สนิทกันจนกว่าพระบิดาเสด็จกลับเมือง ขอให้ทูลพระบิดาอีกปีหนึ่ง จะเชิญทั้งสององค์กลับไปส่งนครเรศนิเวศน์วัง
    พี่กลับไปไอศวรรย์ฟังฉันว่า แขกชวามันจะยกเข้าวกหลัง
    เหมือนคราวนี้พี่ประมาทจึงพลาดพลั้ง อย่ารอรั้งกลับกองทัพไป ฯ
                พระกฤษณาได้ฟังจึงตรัสปรึกษาพราหมณ์ พวกพราหมณ์ไม่เชื่อพระอนุชา เห็นว่า
    แม้น้องรักต้องเคารพนอบนบพี่ นี่ท่วงทีถือชาตินอกศาสนา
    แม้มิส่งองค์พระอัยกา มันเป็นข้าศึกแน่มาแกมือ
    ถึงรบพุ่งกรุงไกรอ้ายฝรั่ง แกล้งทำดังแขกเหรื่ออย่าเชื่อถือ
    ข้าจะอ่านอาคมให้ลมฮือ พัดกระพือทวนทัพให้กลับไป
    ฯลฯ
                แล้วให้ฝ่ายเราเข้าเรือเหนือลมไล่เผาเรือฝรั่งให้ตายสิ้น พระกฤษณาเห็นด้วยกับพราหมณ์จึงร้องบอกแก่อนุชาว่าสองกษัตริย์ไม่ควรพลัดพระนิเวศน์เขตสถาน ถ้านับถือซื่อตรงเป็นวงศ์วาน ก็อย่าทำเกินพระราชอาญา
    จงรอรั้งยั้งหยุดพระนุชน้อง คืนส่งของทรงเดชให้เชษฐา
    แม้ขืนขัดตัดขาดญาติกา ก็เป็นข้าศึกจะได้ผิดใจกัน ฯ
                ฝ่ายฝรั่งได้ฟังคำจึงตอบว่า ได้บอกความจริงไปแล้วก็ยังไม่ผ่อนผันและ
    จะคิดข้อก่อกวนชวนวิวาท เราก็ชาติชายใช่วิสัยหญิง
    มิฟังห้ามลามล่วงจะช่วงชิง ก็เห็นจริงที่จะขาดญาติวงศ์วาน ฯ
                พระกฤษณาได้ฟังก็คั่งแค้น สั่งให้พลรบเตรียมคบไว้ แล้วให้ยุขันอ่านอาคมาเรียกลม
    เปิดมหาวาโยเตโชธาตุ นภากาศวิปริตเห็นผิดผัน
    โพยมพยับเป็นพายุขึ้นปัจจุบัน ทวนกำปั่นพวกฝรั่งถอยหลังมา ฯ
                เรือบุตรพราหมณ์สามนายกับหน่อกษัตริย์ต่างหลีกลัดแล่นรายไปซ้ายขวาขึ้นเหนือลม แล้วสั่งให้เสนามัดฟาง ชุ่มชันน้ำมันยาง โยนเชื้อไฟใส่เรือกำปั่น ไหม้เป็นควันพลุ่งโพลงติดใบเพลาเสากระโดง บ้างจมบ้างคลื่นซ้ำคล่ำไป เรือฝรั่งที่เหลือระดมปืน ยิงสนั่นหวั่นไหว พระกฤษณาแกว่งคบไฟเข้าจุดไหม้ในเรือของวายุดา เรือต่างกระแทกกันแตกจมลงเป็นอันมาก
    พอพลบค่ำกำลังลมยังพัด แตกกระจัดกระจายกันเสียงหวั่นไหว
    สักสองยามพราหมณ์ยุขันกลับพลั่นใจ บันดาลให้ลมหายเคลื่อนคลายลง ฯ
                เรือฝ่ายเมืองผลึกเหลืออยู่เจ็ดลำ แต่เรือของข้าศึกยังเหลืออยู่หลายร้อยลำ ฝ่ายเมืองผลึกจึงหยุดจอดทอดสมอเรือ แล้วปรึกษากันที่จะคิดหักหาญศึก
                ฝ่ายพวกสามพรามหณ์ พี่เลี้ยงออกเดินทางไปได้สิบห้าวันก็พบกับลูกยาทั้งสามพร้อมกับพระกฤษณา จึงสอบถามถึงพระอัยกาว่าแขกชวาพาไปแห่งหนตำบลใด
      หน่อนราฝรั่งสิ้นทั้งนั้น อย่าสำคัญแขกชวาหามิได้
    แล้วเล่าความตามจริงเหมือนชิงชัย เข้าลุยไล่ไฟจุดไม่หยุดยั้ง
    ฯลฯ
                บอกว่าเกือบจับแม่ทัพได้และเรือจมน้ำจึงรอดไปได้ แล้วเล่าเรื่องที่ได้พูดจากับวลายุดา
      พราหมณ์ฟังว่าข้าเจ้ายังเยาว์นัก จะหาญหักรบรอนต้องผ่อนผัน
    นี่ทำด้วยมุทะลุดุเดือดดัน ไม่เป็นอันจะได้องค์พระทรง

    • Update : 16/6/2554
    © Copyright 2011 www.watnongmuang.com All rights reserved 999arch