หน้าแรก สมาชิก รายการวัตถุมงคล ตะกร้าวัตถุมงคล วิธีชำระวัตถุมงคล วิธีบูชาวัตถุมงคล ประวัติวัด ติดต่อวัด เว็บบอร์ด
สมาชิก Log in
อีเมล์
รหัสผ่าน
สมัครสมาชิกใหม่
ลืมรหัสผ่าน
















ค้นหาวัตถุมงคล
 
 
 
หมวดวัตถุมงคล
  เครื่องราง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง หลวงพ่อสวัสดิ์
  พระเครื่อง หลวงปู่พิมพ์มาลัย
  พระเครื่อง หลวงพ่อสง่า
วัตถุมงคลของคุณ
รหัสวัตถุมงคล ราคา จำนวน
ยังไม่มีวัตถุมงคลอยู่ในตะกร้า
  • ชำระค่าวัตถุมงคล
  • แก้ไขรายการวัตถุมงคล
  • วิธีสั่งบูชาวัตถุมงคล
  •  

    พระอภัยมณี/36
    ตอนที่ ๕๐ นางเสวคนธ์ได้เมืองวาหุโลม

                ฝ่ายชาวบ้านด่านสมุทรนับถือพระฤาษีเป็นที่สุด ส่วนนางโฉมยงอัคคีก็ขึ้นไปอยู่ที่ป้อมทุกคืนวัน บรรดาพี่เลี้ยงคาดว่านายด่าน ไปเมืองหลวงเห็นทีจะถูกเจ้าเมืองฆ่า การที่นางไม่ห้ามไว้นั้น จะเป็นกลศึกหรืออย่างไร นางจึงตอบว่า

    ถึงเจ้าเมืองเคืองขัดจะตัดหัว ตายแต่ตัวนายกองกรรมของเขา
    ฝ่ายพวกพ้องต้องโทษทั้งโคตรเค้า จะช่วยเรารบรุดจนสุดมือ
    ฯลฯ
    อันนายด่านฉันให้ไปมิได้ห้าม ด้วยจับยามเห็นว่ายังไม่สังขาร
    ให้หนังสือถือไปมาลัยมาลา ใช้ปัญญาดูสักครั้งจะอย่างไร
    ฯลฯ
                ฝ่ายนายด่านเกลี้ยกล่อมผู้คนได้หลายร้อย กลับมาถึงด่านแล้วเข้าพบพระอัคคี เล่าความทั้งปวงให้ทราบ แล้วกล่าวชมพระอัคคี
    ช่างฉลาดคาดแน่เหมือนแลเห็น หรือพระเป็นเทวดาในราศรี
    โปรดประหารผลาญท้าวเจ้าบุรี ขึ้นนั่งที่แทนกษัตริย์ขัตติยา ฯ
                พระดาบสกล่าวว่าไม่นิยมสมบัติของกษัตริย์ เพราะมุ่งหมายแต่โสดาแดนสวรรค์ชั้นวิมาน แต่เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ถ้าไม่ช่วยก็สงสารศิษย์ และบรรดาไพร่พลโยธา ถ้าเขามารบก่อนจึงจะเข้ารบ
    จงหัดให้ไพร่พลรู้กลรบ ที่หลีกหลบไล่ล้อมพร้อมกันหมด
    เดินกระบวนส่วนเดียวไม่เลี้ยวลด ชื่อว่าทศโยธาแสนยากร
    ฯลฯ
                นายด่านก็ไปเตรียมการตามสั่ง
    เป็นสิบหมู่รู้กันสำคัญฆ้อง ให้ตีกลองว่องไวทีไล่หนี
    สงบให้เขามารบราวี จึงตามตีติดพันเหมือนสัญญา ฯ
                ฝ่ายราหูรู้ข่าวว่า ท้าวเจ้าเมืองปล่อยคนโทษ พร้อมทั้งมีตราสั่งกำชับมาให้จับเป็น เห็นว่าเป็นการวิปริต ไม่เคยมีมาก่อน จะทำให้ราษฎรได้ทุกเข็ญ แต่จำเป็นต้องฉลองคุณ จึงให้เตรียมกำลังรบ ยกมาล้อมป้อมปราการไว้ แล้วร้องประกาศให้นายด่านออกรบ
    แน่นิ่งอยู่กูจะเข้าไปเอาโทษ ให้สิ้นโคตรคนถือพระฤาษี
    ใครนับถือซื่อต่อเจ้าธรณี มาภักดีจะโปรดที่โทษกรณ์ ฯ
                ฝ่ายพวกพลบนเชิงเทินหอเนินรบ ก็ร้องด่าว่าราหูที่หลอกลวงให้นายของตน ออกไปหาแล้วจับตัวส่งเมืองหลวง ราหูได้ฟังก็โกรธขับทหารเข้าหักด่าน ฝ่ายองค์อัคคีเห็นได้ท่วงทีก็ยกกำลังทั้งสิบทัพ ออกจากประตูเมืองไปเข้าตีกองทัพของราหู
    พวกด่านห้อมล้อมรุมกลุ้มสกัด ต่างพุ่งซัดศัสตราดังห่าฟน
    ถูกราหูสู้ดำรงด้วยคงทน ถึงอับจนคนเดียวสิ้นเรี่ยวแรง ฯ
                นายด่านชานสมุทรออกรบกับราหู จับราหูไว้ได้มัดตัวเอาไว้ กองทัพราหูก็แตกหนีไป
    พวกโยธาราหูไม่สู้รบ ลงนอบนบนั่งไหว้ยอมให้จับ
    พระอัคคีตีกลองเรียกกองทัพ ต่างคืนกลับเกลื่อนมาหน้าปราการ ฯ
                พระอัคคีเห็นราหูก็คิดสงสาร ให้แก้มัดแล้วบำรุงบำเรอต่าง ๆ ให้เป็นไมตรี บอกว่าตนเป็นฤาษีคิดโปรดสัตว์ หมายจะไปชมเมืองโรมวิสัย แต่เจ้าเมืองใหญ่ใช้ราหูมาไล่ฆ่าคน จึงจำต้องสู้แล้วบอกว่า
    เราจับได้ให้สงสารท่านราหู อย่าไปอยู่แปดปนกับคนผิด
    จะยกโทษโปรดให้ไว้ชีวิต จะสัตย์ซื่อหรือจะคิดบิดเบือนไป ฯ
                ราหูได้ฟังก็พลอยเห็นชอบ เห็นพระคุณของพระฤาษียอมอยู่เป็นข้าจนตาย พระอัคคีจึงให้ราหูช่วยกำกับเป็นทัพหน้า ไปปราบปรามเมืองทมิฬทั้งหลาย ราหูก็ลามาเตรียมไพร่พลได้ห้าหมื่น พอได้ฤกษ์ก็ตีฆ้องกลองสำคัญ ยกกำลังออกไป
                ฝ่ายพระอัคคี เมื่อทัพหน้ายกออกไปได้ค่อนวัน แล้วก็ยกกำลังออกจากด่าน
    รีบเดินทางกลางวันได้พันเส้น ครั้นจวนเย็นทำพลับพลาอยู่อาศัย
    ครั้นเช้าตามทัพหน้าเคลื่อนคลาไคล ตลอดไปตามทางหว่างคีรี ฯ
                ฝ่ายราหูเมื่อเข้าเขตด่าน ก็ห้ามชาวบ้านไม่ให้หนีไปไหน แล้วบอกเล่าเจ้าเมืองเอก โท ตรี ว่าพระมุนีมีบุญกรุณา
    เมืองเล็กน้อยพลอยเป็นเช่นราหู ไม่รบสู้สามิภักดิ์นั้นหนักหนา
    คอยรับทัพคับคั่งตั้งบูชา ล่วงด่านมาห้าชั้นไม่อันตราย ฯ
                กล่าวถึงเมืองด่านมีทหารเอกชื่อ ตรีเมฆ คุมเหล่าทมิฬทั้งสิ้นอยู่ ครั้นรู้ว่าราหูคบผู้ร้าย แล้วมาชวนตนให้ไปเข้าด้วย จึงคิดช่วยเจ้าทำการปราบปรามราหู แล้วยกกำลังออกนอกด่านเป็นจำนวนสี่หมื่น เมื่อเผชิญหน้ากับราหูจึงร้องว่าไปว่า เหตุใดจึงไปเข้านับถือพระฤาษี เสียแรงที่เจ้าเมืองประทานบ้านเมือง และเครื่องยศให้ เหตุไฉนจึงคิดคด ยกกำลังมาราวี
                ฝ่ายราหูจึงเล่าเรื่องเดิมให้ฟัง แล้วบอกว่าฤาษีมีประโยชน์จะโปรดสัตว์ ตนนำหน้ามาแถลงให้แจ้งการณ์ว่า ไม่ได้จะทำการรุกรานผู้ใด ขอให้ตรีเมฆ ยกทัพกลับไปแล้วทูลเจ้าเมืองให้ภักดีต่อพระดาบส
    จะก่อศึกฮึกหาญเป็นการชั่ว จะร้อนทั่วทุกประเทศทั้งเขตขัณฑ์
    ท่านกับเราเล่าก็มีไมตรีกัน จะผ่อนผันพอให้ควรอย่าลวนลาม ฯ
    ตรีเมฆว่าราหูคบผู้ร้าย คิดอุบายเบียดเบียนเป็นเสี้ยนหนาม
    เป็นข้าครอกนอกเจ้าข้าวนอกชาม ช่วยติดตามรบราญด่านเข้ามา
    ฯลฯ
                แล้วให้ราหูถอยทัพกลับไปให้พ้น พร้อมกับขู่จะตัดเอาศีรษะเสียบประจาน ฯ ราหูได้ฟังก็โกรธด่าว่าตรีเมฆ แล้วก็ขับกิเลนเข้ารบกับตรีเมฆ ไพร่พลของทั้งสองฝ่ายก็เข้ารบกัน พอนายด่านชานชลายกตามมาทันก็เข้าช่วยรุมรบ ตรีเมฆเสียทีตกจากหลังแรด ทหารจับตัวมัดไว้ได้ พอทัพของพระอัคคีมาถึงที่รบก็ให้ตั้งพลับพลา ทั้งสองทัพจับได้ชาวด่านมาได้ประมาณสามหมื่น ราหูนำตรีเมฆมาให้หมอบตรงหน้าพระอัคคี แล้วทูลความการสู้รบที่ผ่านมา พระอัคคีสั่งให้แก้มัดตรีเมฆออก แล้วบอกว่าตนถือศีลจินตนารักษากิจ เจ้านายของตรีเมฆไม่ควรทำลวนลาม นายด่านห้ามก็ไม่ฟัง จะฆ่านายด่านทั้งโคตร ตนจึงจำต้องช่วย แล้วหมายจะมาว่ากล่าวกับท้าวเจ้าเมือง
    ให้ถือธรรมจำศีลสิ้นมานะ แล้วเราจะขึ้นไปชมโรมวิสัย
    ท่านซื่อตรงจงบำรุงเจ้ากรุงไกร ให้อยู่ในศีลสัตย์สวัสดี ฯ
                ตรีเมฆได้ฟังก็น้อมประณตนับถือพระฤาษี และขอให้เป็นที่พึ่งของตน แล้วบอกว่าตนจะไปด้วยช่วยส่งถึงเมืองหลวง จะขอให้เปิดด่านชั้นเจ็ด แล้วจะไปทูลท้าวเจ้าแผ่นดินให้หายดุร้าย ไม่ทำบาปและรักษาศีล ให้ไพร่ฟ้าได้เย็นใจ และจะได้ภิญโญยศปรากฎไป จากนั้นก็เชิญพระอัคคีเข้าไปในด่าน ป่าวร้องให้ชาวด่านแต่งสำรับ ข้าวและเหล้ายามาเลี้ยงไพร่พลของพระอัคคี บอกให้เหล่าทมิฬทั้งสิ้นมานับถือพระฤาษี แล้วบอกว่าพรุ่งนี้เช้า ตนจะเป็นที่ทัพหน้าเดินทางล่วงหน้าไปก่อน
    ไปบอกเล่าเจ้านครเขื่อนเพลิงนั้น ให้ด่านชั้นเจ็ดแจ้งแถลงไข
    เปิดทางทัพรับพระองค์ให้ตรงไป เห็นจะได้ด้วยเป็นมิตรสนิทกัน ฯ
                พระอัคคีได้ฟังก็ดีใจ ให้ตรีเมฆทำตามความคิดของตน ตรีเมฆจึงขึ้นนั่งหลังแรด พาทหารชาวด่านหมื่นห้าคน ออกเดินทางไป พระอัคคีให้ราหูยกกำลังตามไป พอตะวันบ่ายนายด่านปากน้ำ ก็ยกทัพนำเสด็จไป
                ฝ่ายพระกาลชาญสมร เจ้านครเขื่อนเพลิง อยู่เชิงเขา คุมทหารอยู่ชั้นในเมื่อรู้ข่าวว่าราหูกับตรีเมฆคิดคบขบถ จึงเขียนจดหมายไปทูลเจ้าเมือง แล้วเตรียมกำลังไพร่พล เพื่อคอยรับทัพศึก
    ให้ลงขวากลากปืนเข้าอกช่อง ทุกหมวดกองเกณฑ์กำลังล้วนขันแข็ง
    หอรบรายค่ายป้อมให้ซ่อมแปลง รีบจัดแจงอาวุธยุทธนา ฯ
                ฝ่ายตรีเมฆไปถึงนครเขื่อนเพลิง แล้วจึงให้ตั้งค่ายที่ชายทุ่ง พอย่ำรุ่งให้เสมียนเขียนอักษรแล้ว ให้บ่าวเอาไปเมืองแจ้งเรื่อง เจ้าเมืองรับสารมาอ่านมีความว่า ตนคือราหูได้ออกต้านตีจนกองทัพของตน ต้องแตกได้รับความอับอาย พระอัคคีจับได้ไม่ฆ่า เห็นว่าฤาษีนี้มีฤทธิ์ ใครเข้าสู้รบด้วยจะอันตราย คนทั้งหลายก็เลื่อมใส
    จงรู้เถิดเปิดด่านให้ท่านด้วย จะได้ช่วยโปรดให้ไปสวรรค์
    เราบอกตามความจริงทุกสิ่งอัน แม้ป้องกันกีดฤาษีจะมีภัย ฯ
                พระกาลได้ฟังข้อความในสารก็โกรธ แต่แกล้งตอบว่าขอบใจที่ชักชวนมา ทั้งบอกเล่าเรื่องให้รู้เหตุ ถ้าเป็นจริงดังนั้น ก็บอกให้ตรีเมฆมาพูดจากัน
    ฝ่ายผู้ถือหนังสือลับกลับมาค่าย บอกความนายตามจริงทุกสิ่งสรรค์
    ตรีเมฆฟังนั่งรำพึงอยู่ครึ่งวัน คิดพรั่นพรั่นเพื่อนเราจะเผาเรือน
    ฯลฯ
                แล้วเห็นว่า ถ้าไม่ไปก็เหมือนขี้ขลาด เมื่อพระกาลให้บ่าวมาเตือนตรีเมฆจึงเรียกบ่าวสามคน เข้าเมืองด่าน ฝ่ายพระกาลจึงให้จับตรีเมฆลงเหล็กไว้ แล้วถามว่าตัวเป็นข้าได้ยศศักดิ์ เคยถือน้ำทำสัตยปฎิญาณ ให้ไปกินเมืองด่าน เหตุใดจึงทรยศเป็นขบถต่อเจ้านคร แล้วมาชวนตนให้เข้าด้วย เคยเป็นมิตรกันมาทำอย่างนี้ ผิดวิสัยจะเอาตัวเข้ากรงส่งไป จะว่าไรก็ให้เร่งว่ามา
    ตรีเมฆฟังคั่งแค้นแหงนหัวร่อ กูไม่ง้อขอชีวิตไม่คิดหนี
    นึกว่าเพื่อนเหมือนเขาว่าเพราะปราณี มึงกลับตีเอาเรือไม่เชื่อฟัง
    ฯลฯ
                ฝ่านราหูเมื่อยกทัพหน้ามาใกล้นครเขื่อนเพลิง จึงให้หยุดทัพอยูหลังเขา ให้ม้าใช้ไปฟังข่าวทราบว่า ตรีเมฆถูกจับไปขังกรงไว้ จึงสั่งการให้ไพร่พลคอยดูค่ายชาวเมือง ถ้าพระกาลยกทหารออกมาให้เข้าห้อมล้อมเอาไว้ แล้วไพร่พลของฝ่ายตนจะเข้าตี เห็นจะชิงเมืองได้
                ฝ่ายพระกาลปรึกษากับพวกขุนนาง เห็นว่าไพร่พลของตรีเมฆไม่ออกมาอ่อนน้อม เห็นจะรอรบเพื่ออยู่คอยท่ากองทัพ จึงคิดไปล้อมจับเสียก่อนในวันนี้ แล้วยกพลสี่กองออกรบสมทบกัน
                ฝ่ายราหูรู้ว่าคนออกปล้นค่าย ก็ขับไพร่พลเข้าตีกระทบร่วมกับไพร่พลของตรีเมฆ ฝ่ายพระกาลเห็นข้าศึกล้อมทหารฝ่ายตน ก็ยกทัพออกจากเมือง ตนเองขี่โลโต ออกขับไพร่พลออกรบ พอทัพของพระอัคคีกับพี่เลี้ยง ได้ยินเสียงการรบอยู่เซ็งแซ่ ก็เร่งทหารเข้าแซงสกัดลัดทางข้างพระกาล เข้าฆ่าฟันชาวด่านล้มตายเกลื่อนกลาดดาษดา
                ฝ่ายพวกพ้องของฤาษีทั้งยี่สิบคน คอยอยู่ในด่าน ปลอมตนดูผู้คนอยู่บนเสมา เห็นกองทัพของพระอัคคียกมาก็เปิดประตู ออกไปรับพระฤาษีเข้ามาในเมือง ไล่ฆ่าตีรี้พลบนกำแพงเมือง ฝ่ายพระกาลเห็นศึกเหลือกำลัง จึงขับโลโตหนีไปเมืองหลวง พระอัคคีก็ถอดตรีเมฆอออกจากจองจำแล้ว ตั้งเป็นเอกอำมาตย์
                กล่าวถึงท้าววาหุโลม รู้ข่าวเมืองพระกาลเสียด่านหกก็ตกใจ คิดจะออกไปรบเอง พอพระกาลหนีมาถึงแล้ว เข้าไปเฝ้าทูลเรื่องราวการรบจนเสียด่านเมืองหลวง ท้าวเจ้าเมืองได้ฟังก็เดือดดาล ด่าว่าราหูกับตรีเมฆแล้วให้จัดทัพจำนวนสองแสนออกไปรบ แล้วขี่หลังพยัคฆ์เคลื่อนพลออกจากเมือง
                ฝ่ายพระอัคคีอยู่ที่ด่านฝึกฝนทหารไว้เตรียมรบ แล้วเรียกราหู ตรีเมฆกับนายด่าน ให้ไปบอกนายรองกองร้อยให้รู้ความ เป็นคบสามสิบกองคอยป้องกัน
    จะล่วงหน้าพากันไปแม้ใครรบ เลี้ยวตลบล้อมทัพให้ขับขัน
    คอยวงเวียนเปลี่ยนผลัดสกัดฟัน  ชื่อ กลกันโขลงช้างจับกลางแปลง
                พวกนายทัพทูลลาแล้ว พากันออกไปจัดทัพให้พวกปากน้ำนำหน้า พวกตรีเมฆยกหนุนไปให้ห่างกันร้อยเส้น พอเห็นกัน แล้วราหูเป็นทัพหลัง ทัพพระอัคคีคุมพลสี่หมื่น ยกตามกันไป
                เมื่อทัพทั้งสองฝ่ายพบกัน พระกาลเข้ารบกับนายด่าน เจ้าวาหุโลมขับเสือเข้ารุกไล่ เห็นนายด่านปากน้ำก็ร้องด่า และท้าให้มาสู้กัน นายด่านแกล้งลวงล่อให้ท้าวเจ้าเมืองไล่ตาม แล้วให้ไพร่พลเข้าล้อมหุ้ม ท้าวเจ้าเมืองเห็นหน้าราหูก็ร้องด่าว่า แล้วขับเสือเข้ารบกับราหู แต่ราหูก็สู้หนี แล้วแกล้งรบรับขับทหารเข้าต่อต้าน พอมาพบตรีเมฆเข้ามาขวางหน้าไว้ ร้องทูลว่าฤาษีนี้ประเสริฐนัก ตั้งใจทำบุญไม่ต้องการสมบัติพัสถาน โปรดแต่จะไปสวรรค์
    เดี๋ยวนี้เล่าเขาก็ล้อมไว้พร้อมพรั่ง เหมือนเสือขังกรงสิ้นดิ้นไม่ไหว
    มิโอนอ่อนผ่อนปรนให้พ้นภัย จะเสียไพร่เสียองค์พระทรงยศ ฯ
                ท้าวเจ้าเมืองได้ฟังก็ชี้หน้าด่าว่าตรีเมฆ พลางเข้าโถมตีตรีเมฆ แต่ตรีเมฆก็คอยปัดป้องและนำทหารปิดทางไว้ เจ้าพาราวาหุโลมจะออกด้านไหน ก็ไม่ใคร่พ้น บรรดาไพร่พลก็รวนเร จนพลบค่ำก็เห็นคบล้อมอยู่พร้อมพรั่ง จะออกไปทางไหนก็ไม่ได้
    พระอัคคีมีจิตคิดสงสาร ให้ทหารเรียกพหลพลขันธ์
    ใครออกมาหาเราเข้าด้วยกัน ไม่ทำอันตรายสบายดี ฯ
                บรรดาพวกไพร่พลได้ฟังต่างก็พากันมานอบนบนับถือพระฤาษี ฝ่ายเจ้าพาราวาหุโลมเที่ยวขับเสืออยู่องค์เดียว จนรุ่งเช้าไปพบกับพระกาล ไม่มีทหารเหลืออยู่เลย จึงถามพระกาลว่า จะคิดอ่านทำประการใด พระกาลทูลว่าให้พระองค์ตีหักออกไป ถึงกรุงแล้วเตรียมทัพกลับมารบ
    จะขับเคี่ยวเดี๋ยวนี้แม้มิถอย เหมือนน้ำน้อยดับไฟไม่สงบ
    ด้วยข้าศึกฝึกฝนพลสมทบ จึงรุมรบครั้งนี้ได้มีชัย ฯ
                พระได้ฟังก็เห็นชอบแล้วขอหยุดพักอยู่ใต้พุ่มไม้ ส่วนพระกาลคอยเฝ้าระวังรักษาอยู่
                ฝ่ายพระอัคคีครั้นรุ่งเช้า เห็นไพร่พลพร้อมอยู่ แต่ไพร่พลของท้าวราหุโลมนั้นตายอยู่เกลื่อนกลาด ตรีเมฆกับพระราหูพร้อมทั้งนายด่านชานชลามาทูลว่า จะใส่ปีกบินหนีไปเมืองแล้วคิดมารบใหม่ จึงให้กองตระเวณไปสกัดตามทางระหว่างภูเขา เมื่อเหนื่อยก็จะลงพักในป่า ให้ไล่ต้อนตามจับมา
                ฝ่ายท้าวเจ้าวาหุโลมจะหักทัพกับพระกาล จึงใส่ปีกกับสองกร แล้วแต่งองค์ขึ้นทรงพยัคฆ์ นำพระกาลออกฝ่าวงล้อมจนอาวุธหลุดจากหัตถ์ แล้วจึงกระพือปีกบินขึ้นไปบนท้องฟ้า พวกไพร่พลก็พากันติดตามไป ฝ่ายพระกาลรบจนหมดกำลังเป็นลมล้มลง ตรีเมฆจึงให้ไพร่พลผูกมัดมา
                ฝ่ายท้าวเจ้าเมืองบินหนีไปถึงเนินผา ให้เหนื่อยอ่อนจึงร่อนลงริมป่า พวกทัพซุ่มก็รุมจับไว้ได้ มัดแล้วนำตัวเข้าไปยังที่อยู่ของพระมุนี พระนักสิทธิ์พิศดูแล้ว เห็นท่วงทีท้าวเจ้าพารานับถือตัว ไม่กลัวตายแต่ก็สงสาร จึงให้แก้มัดเชิญให้นี่งแท่นแผ่นศิลา แล้วอภิปรายปราศรัยเป็นไมตรี บอกว่าตนสร้างพรตเพราะว่า ถือเป็นฤาษีไม่นิยมสมบัติในแผ่นดิน ที่มานี้นึกจะใคร่ให้ได้บุญ แต่เป็นเพราะเคราะห์กรรมต้องทำศึก ที่จับได้มานี้จะไม่ฆ่า และจะทำคุณคืนไพร่พลให้
    จะปล่อยให้ไปสำราญผ่านสมบัติ รักษาสัตย์สืบสร้างทางกุศล
    ถือศีลธรรมกรุณาประชาชน จะได้พ้นภัยพาลสำราญใจ ฯ
                ท้าวทมิฬได้ยินคำค่อยหายโกรธ จึงตรัสตอบว่าขอบใจ แต่ตนกลัวตาย ด้วยเสียทัพไปให้คิดอดสู ขอให้ฆ่าตนเสีย พระอัคคีมีจิตสังเวชจึงตรัสเทศนาว่า ธรรมดาสามัญคำโบราณว่าไว้
    อันต่อตีมีแต่แพ้ชนะ มิใช่จะเสียชาติวาสนา
    เราจับได้ไม่สังหารผลาญชีวา ท่านจะมาชิงตายเสียดายนัก
    ฯลฯ
                ท้าวทมิฬจึงตรัสตอบตามวิสัย น้ำใจหาญ ว่าเป็นชายชาญตามจามรี
    สงวนศักดิ์รักยศสู้ปลดปลิด รักชีวิตเหมือนไม่รักยศศักดิ์ศรี
    ซึ่งร่ำปลอบขอบคุณพระมุนี เราจะมีหนังสือให้ถือไป
    ฯลฯ
                ให้วาโหม ผู้เป็นพระลูกยาเข้าใจในเรื่องราวที่เกิดขึ้น แล้วให้พระกาลถือหนังสือไปแจ้งการให้ทราบ จากนั้นก็เอามีดกรีดศอเชือดคอตาย พระอัคคีมีจิตสงสารจึงให้ทำมณฑปศพท้าวเจ้าเมือง
    ให้พระกาลด่านในไพร่ทั้งหลาย ที่เหลือตายหลายหมื่นคืนไปหมด
    ต่างรับสั่งพรั่งพร้อมน้อมประณต จากบรรพตหมายมุ่งไปกรุงไกร ฯ
                พระกาลเดินทางสองวันครึ่งก็ถึงเมืองวาหุโลม เข้าไปเฝ้าวาโหม ผู้เป็นหน่อท้าวเจ้าพารา ทูลเรื่องราวให้ทราบ วาโหมอ่านสารที่สไบ ที่พระบิดาเขียนมามีความว่า พระบิดาไปรบแล้วแพ้พระฤาษีไม่ได้คิดฆ่า แต่จะต้องตายด้วยขายพระพักตร์ ขอให้ลูกยาขึ้นครองเมือง
    อย่ารบพุ่งมุ่งร้ายเมื่อภายหลัง จงเชื่อฟังนับถือพระฤาษี
    อุปถัมภ์ทำบุญกับมุนี เอาเป็นที่พึ่งพาข้างหน้าไป
    ฯลฯ
                วาโหม อ่านสารรู้ความก็เศร้าโศกเสียใจ อาลัยในพระบิดายิ่งนัก คร่ำครวญถึงพระบิดาด้วยประการต่าง ๆ เมื่อพระชนนีทราบเรื่องก็กันแสงโศกา ครวญคร่ำร่ำไห้ด้วยความอาลัยจนสลบไป เมื่อสร่างโศกแล้ว นางกษัตริย์จึงให้จัดรถ พร้อมเครื่องยศแหนแห่ พระนางพร้อมพระวงศ์พงศาเสนาใน ก็ออกเดินทางจากกรุงไกร มายังพลับพลาหน้ามณฑป ไปนอบนบนับถือพระฤาษี ฝ่ายพระอัคคีเห็นเทวีวาโหม มาหาก็ยินดีตรัสปราศัยถึงความเป็นมาให้พระนางทราบ
    วันนี้วงศ์พงศาพวกเข้าเฝ้า มาถึงเรายินดีจะมีไหน
    เชิญขึ้นบนมณฑปชักศพไป  ทำบุญให้ได้สวรรค์ชั้นพิมาน ฯ
                นางกษัตริย์ได้ฟังก็ตรัสว่าสาธุ แล้วนิมนต์พระอัคคีไปยังกรุงวาหุโลม ทูลว่าพระลูกยายังเยาว์ ขอให้พระสิทธาเมตตาการุญ ช่วยสั่งสอนเหมือนอย่างบุตร แล้วจูงกรลูกยาให้มาไหว้พระอัคคี พระอัคคีถามวันชันษา ก็ทราบว่ามีชันษาได้สิบสี่ปี
    นางกษัตริย์ตรัสให้เชิญพระศพ  จากมณฑปใส่โกศขึ้นรถา
    มีจามรชอนตะวันเป็นหลั่นมา มยุราฉัตรพัชนีวี
    โยงผ้าขาวดาบสขึ้นรถชัก พิงพนักอ่านหนังสือพระฤาษี
    ออกจากเนินเดินทางหว่างคีรี พระอัคคันำหน้าเคลื่อนคลาไคล
    ฯลฯ
                เมื่อถึงเมืองวาหุโลมแล้ว
    แล้วขุดหินศิลาปลูกปราสาท ประชุมญาติยกศพไปกลบฝัง
    คอยนะบีมีบุญกรุณัง จะมาสั่งบุญบาปจึงทราบความ ฯ
                แล้วเชิญพระอัคคีให้อยู่ที่ปรางค์รัตน์ บรรดาขอเฝ้าและลูกศิษย์ต่างก็ได้รับความสุขทั่วทุกตัวคน แต่พระอัคคียังมีกังวลกลัวว่า จะไม่พ้นจากการตามหาของพระเชษฐาสุดสาคร จึงปรึกษาพี่เลี้ยง
    อันแว่นแคว้นแดนทมิฬถิ่นประเทศ มีขอบเขตข้างเหนือนั้นเหลือหลาย
    ล้วนถือไสยใจบาปทั้งหยาบคาย ไม่กลัวตายร้ายกาจชาติทมิฬ
                คิดว่าจะไปชมโรมวิสัยก็เห็นว่า ยังอยู่ไกล และไม่มีผู้ศรัทธารักษาศีล ก็จะมาสมทบรบสู้กับเราทุกเมือง ศึกครั้งนี้ยังต้องใช้เวลาถึงหนึ่งไป รู้สึกระอาใจ จะคิดแก้ไขอย่างไรดี พระพี่เลี้ยงจึงให้ความเห็นว่า แม้ว่าไปพบเหล่าชาวทมิฬ แล้วต้องรบกันก็อาจเสียทีไพร่พลล้มตาย
    โบราณว่าสี่เท้ายังก้าวพลาด เป็นนักปราชญ์แล้วก็ยังรู้พลั้งผิด
    อันทำศึกเหมือนสู้กับงูพิษ จงทรงคิดใคร่ครวญให้ควรการ
                แล้วทูลแนะนำให้กลับไปสำเภา แล้วเที่ยวชมบรรดาบ้านเมืองในถิ่นต่าง ๆ ก็จะพ้นจากพาลไพรี แต่นางตรัสตอบว่า เรื่องอื่น ๆ นั้นไม่ยาก เพราะมีที่หลีกหลบ แต่เกรงว่าพระพี่ยาสุดสาครจะตามมาพบ
      พี่เลี้ยงว่าน่าสมเพชพระเชษฐา จะตรึกตราโกรธขึ้งไปถึงไหน
    แต่ดาบตัดกัทลียังมีใมย หรือตัดใจขาดเด็ดไม่เมตตา ฯ
    ฯลฯ
                นางได้ฟังก็ไม่ตรัสว่าขานประการใด ให้อักอ่วนป่วนใจอัดอั้นอาดูร เศร้าพระทัยไม่สบาย จนซูบผอม นางพระยาวาโหมก็พลอยทุกข์ใจ ให้มดหมอมาพยาบาลอยู่นานหลายเดือน

    • Update : 15/6/2554
    © Copyright 2011 www.watnongmuang.com All rights reserved 999arch