หน้าแรก สมาชิก รายการวัตถุมงคล ตะกร้าวัตถุมงคล วิธีชำระวัตถุมงคล วิธีบูชาวัตถุมงคล ประวัติวัด ติดต่อวัด เว็บบอร์ด
สมาชิก Log in
อีเมล์
รหัสผ่าน
สมัครสมาชิกใหม่
ลืมรหัสผ่าน
















ค้นหาวัตถุมงคล
 
 
 
หมวดวัตถุมงคล
  เครื่องราง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง หลวงพ่อสวัสดิ์
  พระเครื่อง หลวงปู่พิมพ์มาลัย
  พระเครื่อง หลวงพ่อสง่า
วัตถุมงคลของคุณ
รหัสวัตถุมงคล ราคา จำนวน
ยังไม่มีวัตถุมงคลอยู่ในตะกร้า
  • ชำระค่าวัตถุมงคล
  • แก้ไขรายการวัตถุมงคล
  • วิธีสั่งบูชาวัตถุมงคล
  •  

    พระอภัยมณี/26

    ตอนที่ ๓๖ พระอภัยมณีทำผูกคอตายได้นางละเวง

                ฝ่ายยุพาผกา รำภาสะหรี มาถึงกรุงลังกา เข้าเฝ้าองค์ละเวงวัณฬาทูลความเรื่องศึกว่า ข้าศึกตีได้ด่านเจ้าเขาประจัญ แล้วในวันนี้ กำลังตามตีมายังสิงหล

      นางฟังเล่าเศร้าจิตอนิจอนาถ ให้หวั่นหวาดวิญญาณ์จึงว่าขาน
    ซึ่งข้าศึกฮึกโหมมาโรมราญ เราเสียด่านก็เหมือนดังเสียลังกา
                แล้วปรึกษานางยุพาผกาถึงสงครามที่กำลังจะตามมาถึงกรุงลังกา รวมทั้งถามถึงสังฆราชบาทหลวงว่า เมื่อเสียทีแก่ข้าศึกแล้ว หนีไปได้หรือถึงแก่ชีวิต ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนั้นจะได้ใครมาช่วยคิดอ่านการสงคราม
                นางยุพาตอบว่าไม่ทราบข่าวสังฆราชว่าเป็นตายร้ายดีประการใด ตอนนี้ถึงจะมีใครที่เก่งกล้ามาช่วยก็เห็นจะไม่เป็นผลเว้นแต่องค์พระอภัยเท่านั้นที่จะช่วยได้
                องค์ละเวงได้ฟังแล้วจึงตอบว่าที่พูดมานั้นก็ชอบอยู่ แต่ใจยังคิดอดสู ตอนนี้ให้นางสุลาลีวันคอยดูแลอยู่ได้สองวันแล้ว เห็นว่าพระอภัยขัดเคืองอยู่จนไม่สรงและเสวย
                นางยุพาว่าองค์ละเวงไม่สงสารพระอภัย ตนจะขอไปดูแล แล้วทูลลามาชวนนางสุลาลีวันไปยังห้องบรรทมพระอภัย แล้วซ่อนตัวอยู่
                ฝ่ายพระอภัยอยู่ในห้อง เมื่อห่างนาง มนต์ก็สร่าง รู้สึกตัวแล้วให้คิดอายที่มาหลงลมลิ้นลังกา แพ้รู้แก่ผู้หญิง หวนอาลัยถึงลูกกับอนุชา แล้วรำพึงถึงนางสุวรรณมาลี รวมทั้งสองลูกน้อยสร้อยสุวรรณจันทร์สุดา และสุดสาคร
    ยิ่งรัญจวนป่วนจิตคิดวิตก เหมือนหนึ่งนกเข้าเพนียดเบียดไม่ไหว
    ลงนอนเอกเขนกอึ้งตะลึงตะไล ทุกข์พระทัยถึงพระองค์ทั้งวงศ์วาน ฯ
                นางยุพาผกาที่มาเฝ้าเห็นพระอภัยโศกเศร้าจนซูบผอมไปก็สงสาร เข้าไปทูลถามว่าพระอภัยมีความทุกข์ร้อนขัดข้องประการใด เพราะตนเพิ่งมาถึงกรุงลังกา พระอภัยเห็นหน้านางยุพาก็กลับนึกรักองค์วัณฬา จึงตอบว่าพระองค์เห็นแก่แม่วัณฬา แต่นางก็โกรธขึ้งทิ้งขว้างไป ชีวิตของพระองค์คงจะไม่รอด
                นางยุพาผกาจึงตอบว่าพระชนนีของตนมิได้จะมาละไป ที่พามาก็เพราะรัก คิดจะมอบสมบัติพัสถานให้ นึกว่าการศึกคงไม่มีอีก จะได้เป็นที่พึ่งของประชาชน แต่เหตุไหนจึงให้พระน้องยกกองทัพมารุกรบถึงสิงหล ไม่คิดปรองดอง จึงน้อยใจไม่เข้ามาเฝ้า ด้วยความทั้งรักและทั้งแค้น
                พระอภัยได้ฟังก็ตกตะลึงอัดอั้นตันใจแล้วตรัสว่าน่าสงสารนางยิ่งนัก เมื่อสงสัยไม่แถลงให้แจ้งการณ์ และขอสาบานให้เห็นจริงว่า การที่น้องของพระองค์ทำการศึกครั้งนี้ คงจะนึกว่าพระองค์ถึงแก่อาสัญแล้ว ถ้ารู้ว่าพระองค์มาอยู่คู่กับนาง ก็คงจะยกทัพกลับไป
    ซึ่งพวกเราชาวผลึกทำฮึกหาญ จะทัดทานถ้าใครขัดจะตัดหัว
    อย่าแหนงนึกตรึกตรองให้หมองมัว จะยอมตัวไปจนตายเหมือนหมายมา
    ฯลฯ
                นางยุพาผกาอาสานำพระอภัยไปพบ พระอภัยตอบขอบใจนาง บอกว่าจะช่วยปลูกฝังนางทั้งสองให้สมกับที่เป็นบุตรี นางก็
    สนองตอบว่าอยากให้พระมารดาของตนรักพระอภัยซึ่งเป็นเสมือนพระบิดาของตนอย่างใจหวัง
    ค่ำวันนี้จำจะพาไปถึงห้อง ถ้าฟ้องร้องก็จะเสียบาทเบี้ยปรับ
    แต่จะรักจะชังจะบังคับ สุดจะรับสั่งได้ด้วยไม่เคย ฯ
                พอพลบค่ำ สองนางก็ทูลเชิญพระอภัยไปยังห้องขององค์ละเวง นางเห็นแล้วก็รู้ว่ายุพาผกาเป็นคนมา สุดที่จะหลีกเลี่ยงได้จึงแกล้งทำเป็นเมินเหมือนไม่เห็น พระอภัยก็เข้าไปหานางแล้วแอบจุมพิต นางต่อว่าพระอภัยด้วยประการต่าง ๆ  พระอภัยตรัสขอโทษแล้วเกี้ยวพาราสีนาง นางทวงคำสัญญาเรื่องการระงับศึก ให้พระอภัยจัดการให้สำเร็จก่อนแล้วนางก็จะยอมรับรักพระอภัย
    แม้โปรดปรานห้ามทัพให้สรรพเสร็จ ศึกสำเร็จแล้วจะรักให้หนักหนา
    แม้หลีกเลี่ยงอีกทีนี้พระพี่ยา จึงเข่นฆ่าน้องเสียบ้างให้วางวาย
    ฯลฯ
      พระสวมสอดกอดแอบแนบถนอม งามละม่อมแม่อย่าหมองเลยน้องเอ๋ย
    สักแสนปีมิให้ร้างให้ห่างเชย ไม่ละเลยลืมสัตย์ปฏิญาณ
    ถึงม้วยดินสิ้นฟ้ามหาสมุทร ไม่สิ้นสุดความรักสมัครสมาน
    แม้เกิดในใต้หล้าสุธาธาร ขอพบพานพิศวาสไม่คลาดคลา
    แม้เนื้อเย็นเป็นห้วงมหรรณพ พี่ขอพบศรีสวัสดิ์เป็นมัจฉา
    แม่เป็นบัวตัวพี่เป็นภุมรา เชยผกาโกสุมปทุมทอง
    เจ้าเป็นถ้ำอำไพขอให้พี่ เป็นราชสีห์สิงสู่เป็นคู่สอง
    จะติดตามทรามสงวนนวลละออง เป็นคู่ครองพิศวาสทุกชาติไป
    ฯลฯ
      พระเชยโฉมโลมเล้าว่าเจ้าพี่ สุมาลีแล้วหรือกลิ่นจะสิ้นหอม
    ไม่อิ่มหนำน้ำใจเพราะไม่ยอม ต้องอดออมอดใจดังไฟฮือ
    เหมือนอยากน้ำกล้ำกลืนแต่กล้วยกล้าย จะเหือดหายหิวในน้ำใจหรือ
    จึงจับต้องของรักไม่หนักมือ แม่อย่าถือโทษเลยที่เชยชม
    ฯลฯ
                ฝ่ายสองนางพี่น้องนอนอยู่ชั้นล่างไม่ให้เหล่าสาวใช้ผู้ใดมาจนถึงเวลารุ่งสางจึงจัดแจงแต่งเครื่องแล้วไปตั้งไว้ข้างแท่นทองนอกห้องแล้วจึงกลับไป
                องค์ละเวงวัณฬาตื่นบรรทมแล้วออกมาพบบุตรีพี่น้องทั้งสองนาง ต่อว่าที่พาพระอภัยมาพบ
    ไม่บอกเล่าเจ้าไปพาเธอมาไว้ ให้กวนใจจ้วงจาบทำหยาบหยาม
    ถ้างวยงงหลงเชื่อก็เหลืองาม นี่หักห้ามใจได้จึงไม่อาย
    ฯลฯ
                นางยุพาผกาทูลว่าบรรดาข้าเฝ้าท้าวพระยาเสนาใน ไม่มีใครกล้าหาญออกสงคราม ขอให้สั่งมาประชุมในวันนี้เพื่อปรึกษางานสงคราม ถ้าไม่มีใครอาสาออกศึกจึงแต่งตามกลเล่ห์เพทุบาย
    จะลวงล่อต่อตามด้วยความลับ เอาศึกกลับเป็นมิตรเหมือนคิดหมาย
    ให้ห้ามทัพกลับไปได้ง่ายดาย คนทั้งหลายก็เห็นคงบจะปลงใจ
    ฯลฯ
                องค์วัณฬาเห็นด้วยจึงให้นางยุพาไปอยู่ดูแลพระอภัย ส่วนตัวนางเองจะออกไปบัญชาการ ให้ตีกลองร้องเรียำข้าราชการมาเข้าเฝ้า นางกษัตริย์ตรัสเรื่องการศึกและปรึกษาว่าพวกเสนาจะคิดอ่านประการใด
      ฝ่ายขุนนางต่างคนก็จนจิต เป็นสุดติดสุธาพรั่นให้หวั่นไหว
    ที่ขี้ขลาดชาติหญิงก็นิ่งไป ที่จิตใจแกล้วกล้าว่าข้านี้
    จะสู้ซื่อถือสัตย์พิพัฒน์ผล ไปรบจนสิ้นชีวิตไม่คิดหนี
    สนองคุณมุลิกาฝ่าธุลี ตายอยู่ที่ท้องทุ่งริมกรุงไกร ฯ

                นางกษัตริย์ได้ฟังก็ตรัสขอบใจ แล้วแจ้งอุบายให้ทราบว่าจะลวงพระอภัยมาในวังแล้วล่อให้ละเลิงในเชิงรัก เพื่อให้กองทัพยกกลับไป พวกขุนนางก็เห็นด้วย นางบจึงสั่งให้ไปจัดการป้องกันเมืองตามหน้าที่ เผื่อข้าศึกยกเข้าโจมตีจะได้ไม่เสียที

    เผื่อข้าศึกฮึกโหมมาโจมตี จะเสียทีไม่ทันคิดซึ่งกิจการ
    จงรบรับทัพใหญ่ไว้ให้หยุด อย่าให้รุดรุกราษฎรมาอาจหาญ
    ฯลฯ
                กล่าววถึงทัพของศรีสุวรรณกับสินสมุท ยกทัพจากด่านเจ้าประจัญ โดยมีสินสมุทเป็นกองหน้า พี่เลี้ยงพราหมณ์สามคนเป็นปีกซ้ายปีกขวา ศรีสุวรรณเป็นกองหลัง มาถึงทุ่งกรุงลังกาเมื่อใกล้พลบค่ำ จึงให้ตั้งค่ายห่างกำแพงเมืองพันวา
      ฝ่ายฝรั่งลังกาเห็นข้าศึก พลผลึกโห่ลั่นเสียงหวั่นไหว
    ไม่รอรั้งยั้งหยุดฉวยชุดไฟ ยิงปืนใหญ่เยี่ยมศึกเสียงครึกครื้น
    ไฟลับถึงตามถูกสามค่าย ระเนียดแตกแหลกทะลายลงหลายหมื่น
    ต้องถอยค่ายไปให้ห่างในกลางคืน แล้วตอกปืนหลักลั่นเสียงครั่นครึก ฯ
                พวกชาวเมืองสิงหลรู้ว่าศึกมาล้อมเมือง ต่างก็ตกใจตัวสั่นงันงก หอบลูกจูงหลาน ขนของหนีข้าศึกกันอลหม่าน
                ฝ่ายลูกสาวเจ้าลังกาได้ยินเสียงปืน ไต่ถามดูก็รู้ว่าทัพใหญ่ของข้าศึกได้ยกมาประชิดติดกรุงแล้ว จึงไปทูลพระอภัยว่าพระอนุชา ยกทัพมาถึงแล้วจะให้รบหรือห้าม ในครั้งนี้จะใคร่ได้เห็นใจจริง
                พระอภัยได้ฟังจึงตรัสตอบว่า อย่าได้นึกแหนงแคลงใจ จะออกไปให้พระอนุชาเลิกกองทัพกลับไป นางได้ฟังคำก็ทูลตอบว่า ตรัสเช่นนี้แสดงว่าจะให้พระอนุชารับกลับไป แล้วแกล้งทำเป็นสะอึกสะอื้นกันแสง พระอภัยก็เข้าไปปลอบโยนตรัสว่า จะทำทุกอย่างตามที่นางจะสั่งมา
      นางฟังคำทำงอนอ่อนจริต ว่าน้องคิดว่าจะตรงไม่สงสัย
    เมื่อสัญญามาในทางที่กลางไพร ไม่อาลัยแล้วเป็นขาดญาติวงศ์
    จะโปรดเกล้าเข้ารีตฝรั่งด้วย จึงเอออวยอ่อนใจอาลัยหลง
    แม้วงศามาประสบพบพระองค์ จะยุยงต่าง ๆ ให้วางใจ
    คำโบราณท่านผูกว่าลูกเขย ไม่ชอบเลยกับพ่อตาอย่าสงสัย
    ญาติกาสามีกับพี่สะใภ้ เล่าก็ไม่ชอบกันเป็นมั่นคง
                แล้วนางจึงทูลพระอภัย ขอให้ทรงอักษรเป็นสำคัญด้วยลายพระหัตถ์ไปทัดทานพระอนุชา ถ้ายังไม่ยกทัพกลับ ก็ให้มาพบกันบนพลับพลาหน้าเมืองตามประสาพี่น้อง แต่ถ้าขึ้นบุกรุกเข้าโจมตีก็ขอให้พระอภัยเป่าปี่ให้หลับแล้วจับตัวไว้ เมื่อปราบปรามได้เรียบร้อย แล้วจึงค่อยปล่อยตัวไป
                พระอภัยได้ฟังแล้วก็เห็นด้วย จึงร่างสารส่งให้องค์ละเวง นางเอาตราพระราหูประทับ แล้วเรียกธิดามาสั่งเป็นการเฉพาะให้ตรวจตรา การป้องกันเมืองให้พรักพร้อมคอยสู้ศึก เมื่อรุ่งขึ้นจึงแต่งทูตถือสารไปให้พระอนุชา
      ฝ่ายกองทัพยับยั้งอยู่ชายป่า ต่างตรวจตราเตรียมกันอยู่หวั่นไหว
    พอลนแดงแรงเร็วเหมือนเปลวไฟ พัดธงชัยสามทัพหักพับลง
    แล้วหอบหวนป่วนปั่นเป็นควันกลุ้ม ผงคลีคลุ้มเวียนวุ่นทั้งฝุ่นผง
    พอลมหายสายรุ้งก็พุ่งตรง จำเพาะลงกลางค่ายแล้วหายไป ฯ
                พระอนุชาถามพราหมณ์ทั้งสามถึงลางร้ายที่เกิดขึ้น เจ้าพราหมณ์รู้ว่าร้าย แต่แกล้งทายกลับว่าเป็นดี  พระอนุชาจึงปรึกษาว่าจะรีบรบ หรือจะรั้งรออยู่ก่อน  พราหมณ์ก็ทูลตอบว่าการที่องค์ละเวงไปลวงล่อพระอภัยมาไว้กับนางก็คงหมายใจมิให้รบพุ่งเอากรุง
    ลังกา และเห็นว่าจะบำรุงบำเรอพระอภัยอยู่
    ด้วยวิสัยในประเทศทุกเขตแคว้น ถึงโกรธแค้นความรักย่อมหักหาย
    อันความจริงหญิงก็ม้วยลงด้วยชาย ชายก็ตายลงด้วยหญิงจริงดังนี้
    ฯลฯ
                เจ้าพราหมณ์ยังเห็นว่าแม้พระอภัยหลงนางอยู่ คงจะไม่ให้เราเข้าไปในกรุง จะห้ามปรามเอาไว้ ซึ่งคงจะได้เห็นแจ้งเรื่องที่แคลงใจในวันพรุ่งนี้  พระอนุชาก็เห็นด้วย
                ฝ่ายนางยุพาผกา พอรุ่งขึ้นก็ชวนน้องสาวขึ้นไปบนพลับพลา เรียกข้าเฝ้ามาสั่งงาน
    แล้วเชิญราชสารใส่ลงในกล่อง มีพานทองเรือนเก็จเพชรประดับ
    ทั้งเอมโอชโภชนาห้าสำรับ ครั้นเสร็จสรรพยกขึ้นตั้งบัลลังก์รถ
    ฯลฯ
                ทูตเชิญราชสารไปยังกองทัพศรีสุวรรณ เข้าเฝ้าพระอนุชาว่าเป็นราชสารของพระเชษฐากับของที่ประทานมาให้ทั้งพระอนุชา และพราหมณ์ทั้งสาม แล้วบอกนอกสารเป็นการลับว่ากองทัพมีความยากลำบาก ขอให้รีบล่าทัพถอยกลับไป
                ฝ่ายศรีสุวรรณมีความฉลาดแหลม ไม่ออกโอษฐ์บรรหารแต่ประการใด สั่งให้พราหมณ์อ่านสารมีความว่าองค์พระอภัยและองค์ละเวงเฉลิมวังลังกาอยู่ ไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ทั้งร้อยเอ็ดบุรีได้เป็นที่พึ่ง ไม่ได้ย่ำยีราษฎรให้เดือดร้อน เหตุใดพระอนุชาจึง ยกทัพมารบพุ่งกับกรุงสิงหลให้เป็นที่ลำบากยากใจแก่ไพร่พล ขอให้เลิกทัพกลับไป ถ้าไม่ฟังจะไม่ว่าเป็นญาติก็เชิญเข้ามารบ พระอนุชาได้ทราบความในสารแล้วก็รู้ว่าพระเชษฐากำลังหลง จะเลิกทัพกลับไปก็สงสารพระเชษฐาจะมีภัย ถ้ารีบอยู่ไม่ฟังห้ามก็จะมีความแคลงจิตคิดสงสัย ก็ให้ขัดสนอัดอั้นตันพระทัย จึงกล่าวเป็นคำกลางว่าแม้พระเชษฐาสั่งมาก็จะเชื่อฟัง แต่ขอถามความแต่ครั้งที่
    ที่เขาเจ้าประจัญให้ม้าใช้ไปบอกว่าจับพระเชษฐาแล้วจะฆ่าให้อาสัญ จึงได้หักด่านมารบถึงกรุงลังกา ให้ทูตแจ้งให้เข้าใจด้วย
    วานซืนนี้ตีทัพได้รับรบ แล้วกลับคบเคียงชิดพิสมัย
    ภิเษกสองครองกันเมื่อวันใด ช่วยเล่าให้เห็นจริงทุกสิ่งอัน ฯ
                ฝ่ายฝรั่งทูตก็ทูลความเป็นมาว่าเดิมทีก็หวังว่าจะฆ่า แต่ครั้นพามาถึงเขาเจ้าประจัญ เทพเจ้าก็ได้พาสองกษัตริย์มาส่งถึงในวังเมืองลังกา ให้ทั้งสองรักใคร่เป็นไมตรี  ชาวกรุงลังกาพร้อมใจกันให้อภิเษกแล้วทูลให้ดูลายพระหัตถ์ที่เขียนมาตลอดทั้งตราราหูคู่นคร
                พระอนุชาจำลายพระหัตถ์ได้ จึงแกล้งว่าแม้ว่าเป็นจริงดังที่เล่ามาก็จะขอเข้าเฝ้าพระเชษฐาในวันนี้  ถ้าไม่ได้เข้าเฝ้าฝรั่งราชทูตก็พูดปด จะเข้าตีกรุงลังกาตามที่กำหนดนัดกันในวันนี้
                ฝรั่งราชทูตได้ฟังจึงรับคำแล้วทูลลากลับมาทูลแถลงแก่บุตรีเลี้ยงว่าพระอนุชาเห็นจะไม่ฟังหนังสือที่ถือไป ถ้าไม่พบองค์พระเชษฐา ก็จะทำสงคราม
                ฝ่ายนางยุพาผกากำชับนายทหารว่าเมื่อมาเฝ้าให้วางอาวุธก่อนแล้วให้นั่งที่ตึกฝังคนตายข้างฝ่ายขวาใส่ประแจแม่เหล็กแล้วเรียกไพร่พลให้ล้อมไว้  จากนั้นจึงไปเฝ้าสองกษัตริย์ ทูลความว่าพระน้องไม่กลับแต่จะเข้าเฝ้าพระเชษฐา
                พระอภัยได้ฟังก็คั่งแค้นว่าครั้งนี้เห็นจะขาดญาติวงศ์คงจะฆ่าฟันให้บรรลัย แล้วถามนางกษัตริย์ว่าเมื่อเขามาแล้วจะออกไปหรือจะให้ทำสงคราม
                องค์ละเวงเกรงสินสมุทจะรีบรุกรบเอากรุงลังกา จึงวอนว่าเป็นอารี ไม่ต้องการฆ่าตีพี่น้อง เชิญเสด็จพระอภัยขึ้นพลับพลาหน้าหอรบให้มาพูดจากัน ถ้าดื้อดึงจึงคิดอ่านปราบปรามตามทำนอง
                พระอภัยได้ฟังก็ชมว่านางมีความอารี ส่วนญาติของพระองค์ไม่ดีเอง ครั้งนี้ถ้าเขาไม่เกรงก็อย่าอาลัย จะจับมาผ่าทรวงเอาดวงจิตมาดูว่าเห็นเป็นไฉน
                ฝ่ายศรีสุวรรณปรึกษาพราหมณ์สามพี่น้องว่าจะบ่ายเบี่ยงแก้ไขไฉนดี เมื่อเราไปเฝ้า พระเชษฐาก็จะห้ามทัพ  ครั้นจะละพระองค์ไว้กับข้าศึกก็เห็นจะไม่รอดชีวิต  ครั้นจะอยู่ก็ดูเหมือนเป็นขบถ
                ฝ่ายสินสมุททูลว่าเราอ้างเอาพระอัยกากับพระอัยกีให้มีสารให้รีบไปหา  ถ้าไม่ไป ความผิดจะอยู่ที่พระบิดา  ศรีสุวรรณเห็นด้วยจึงแต่งสารไปถวายพระอภัย ให้พราหมณ์สามคนอยู่รักษาค่ายพร้อมที่จะยกโยธาไปช่วยให้ทันการ พระอนุชากับสินสมุทเข้าเมืองไปเฝ้าพระอภัย ฝ่ายฝรั่งลังกาให้ม้าใช้ไปห้ามให้หยุดประทับอยู่ตรงพลับพลา
                ศรีสุวรรณร้องบอกให้เปิดประตูเมืองเพื่อไปเฝ้า ฝ่ายฝรั่งลังกาบอกว่าตนถือกำหนดกฎหมาย
    แม้จะเฝ้าข้างในได้แต่นาย ไพร่ทั้งหลายนั้นให้อยู่นอก
    ตามเยี่ยงอย่างต้องวางสรรพาวุธ บริสุทธิ์จึงเข้าเฝ้าเจ้ากรุงศรี
    พระอนุชาว่าเอ็งห้ามปรามทั้งนี้ ชอบแต่ที่ข้าบาทราชการ
    กูเป็นพระอนุชานรารักษ์ ประเสริฐศักดิ์กษัตรามหาศาล
    ย่อมทรงรถคชบาทราชยาน มีทหารแห่เข้าไปถึงในวัง
    ต่อจวนใกล้ได้เห็นองค์พระทรงยศ จึงจะลดลงอย่างที่ปางหลัง
    นี่เหตุใดจึงมาห้ามตามลำพัง จะให้ยั้งหยุดช้าหรือว่าไร ฯ
      ฝรั่งว่ามาทางต่างประเทศ จะเข้าเขตราชวังยังไม่ได้
    จะบอกกล่าวท้าวนางทูลข้างใน ต่อโปรดให้เข้าเฝ้าจึงเข้ามา
    ฯลฯ
                ขุนนางไปบอกบุตรเลี้ยงแล้วสองนางจึงไปทูลพระชนนี องค์ละเวงได้ฟังก็หวั่นใจ จึงไปทูลพระอภัยให้ไปประทับบนพลับพลา แต่งองค์เป็นเจ้าลังกาถือตราราหู ตัวนางขอเป็นเหล่านางเถ้าแก่ไปช่วยดูแล เมื่อพระอภัยขึ้นประทับบนพลับพลา แล้วทอดพระเนตรเห็นลูกรักกับพระน้อง
    จึงตรัสสั่งนางยุพาให้หาทัพ นางน้อมรับพจนาอัชฌาสัย
    จึงโบกธงส่งภาษาให้ม้าใช้ ไปบอกให้นายเข้ามาเฝ้าพลัน ฯ
      ฝ่ายม้าใช้ไปแถลงให้แจ้งอรรถ สองกษัตริย์เคลื่อนพหลพลขันธ์
    มาปักธงตรงพลับพลาพร้อมหน้ากัน ศรีสุวรรณพิศดูภูวนัย
    ฯลฯ

                เห็นแต่งองค์อย่างฝรั่งครั้นจะบังคมก็สงสัย ส่วนสินสมุทแค้นใจนักแกล้งทำเป็นไม่รู้จัก เมินหน้าไปพระอภัยเห็นดังนั้นก็พิโรธ ตรัสคาดโทษน้องรักกับโอรสว่า ไม่วันทาพระองค์
                ศรีสุวรรณจึงทูลแจ้งแถลงไขว่า การที่ไม่ถวายบังคลนั้น เนื่องจากถือสารการแผ่นดินของปิ่นกษัตริย์เมืองรัตนา ให้ตนถือมาถึงองค์พระอภัย กับราชมัลมนตรีทั้งสี่นาย

    ขอพระองค์จงรับราชสาร ตามโบราณอย่าให้ช้ำระส่ำระสาย
    แล้วตัวข้าสามนต์พลนิกาย จะถวายวันทาฝ่าธุลี ฯ
    ฯลฯ
                พระอภัยได้สดับก็ได้คิด ที่พระองค์หลงผิดพี่น้องพลอยหมองศรี สงสารพระชนกชนนีต้องมีสารมาแจ้งการ
    จึงลดองค์ลงจากเก้าอี้อาสน์ น้อมคำนับอภิวาทราชสาร
    ให้เสนาอารักษ์พนักงาน เชิญมาอ่านที่ตรงหน้าพลับพลาชัย
    สารสมเด็จปิตุราชมาตุรงค์ สองพระองค์ทรงภพสบสมัย
    แสนคนึงถึงโอรสยศไกร พระอภัยมณีศรีโสภา
     ฯลฯ
    แม้มิมาครั้งนี้เป็นที่สุด เป็นขาดบุตรบิดาจนอาสัญ
    พอจบสารคลานก้มบังคมคัล ศรีสุวรรณอัญชลีพระพี่ยา ฯ
                พระอภัยมีอาการรวนเร จึงตรัสกับศรีสุวรรณว่า พระองค์ป่วย ขอให้พระอนุชากับหลานรับไปกรุงรัตนา แล้วช่วยกราบทูลว่า พระองค์เป็นโรคไข้อยู่ เมื่อโรคไข้คลายแล้ว จะไปถวายวันทาฝ่าธุลี
                ศรีสุวรรณได้ฟังก็ทัดทานว่า ที่มีสารมาครั้งนี้ให้พระพี่ไปจัดการ ส่วนตนจะอยู่ดูข้างหลัง ในราชสารสั่งมาเด็ดขาด ถ้าตนไปก็จะเป็นที่เคืองบทมาลย์ เหมือนขัดรับสั่งไม่บังควร
                พระอภัยได้ฟังพระอนุชาว่า เป็นเรื่องรับสั่งจึงทำเป็นจับไข้ไม่สบาย ให้พระอนุชาพาทูตไปหยุดพัก แล้วจะได้คิดอ่านกันต่อไป แล้วหยิบสารลานทองของสำคัญกลับเข้าไปในวัง พระอนุชาพาหลานกับทหารกลับมายังค่าย คอยฟังข่าวพระเชษฐา
                ฝ่ายพระอภัยก็แจ้งเรื่องการห้ามทัพให้ลูกสาวเจ้าลังกาทราบ รวมทั้งสารของพระบิดาให้ไปหา แต่พระองค์บอกป่วย แล้วได้ทรงสัญญาจากนาง แต่นางทูลว่า การที่กองทัพของพระอนุชายังไม่ยกกลับไป อาจจะหวนได้ทีเข้าตีกรุงลังกาได้ จึงขอให้พระอภัยคิดอ่านให้กองทัพกลับไป
                พระอภัยได้ฟังจึงตรัสตอบว่า ถ้ากองทัพกลับเข้ามารบก็จะฆ่าเสียด้วยลมปี่ ส่วนพระชนกชนนีของพระองค์ ก็เจ็บป่วยเพียงเล็กน้อย ถ้าพระองค์ไม่ไปหาใครจะมาว่ากล่าวได้ ส่วนกองทัพที่มาตั้งอยู่นั้น นานไปก็จะเกิดความเบื่อหน่าย คงเลิกทัพกลับไป เพราะอดอยากตรากตรำอยู่แรมปี
                นางกษัตริย์ทูลตอบว่า ถ้ากองทัพกลับไปจากลังกา สมสัญญาแล้วก็จะไม่ห้ามตามพระทัยของพระอภัยที่ร้องขอ สมบัติพัสถานทั้งหลายก็ขอถวายให้หมด จากนั้นก็หลีกออกมาที่ตึกลมชมจันทร เรียกสองธิดากับนางรำภาสะหรี ให้จัดสรรนางกำนัล คอยดูแลอยู่งานรับใช้พระอภัย แล้วสั่งว่าถ้าพระอภัยถามถึงนางให้ทูลว่า ไปเที่ยวตรวจทหารระวังการรบอยู่นอกกรุง
                พระอภัยไม่เห็นองค์ละเวง จึงถามหาแล้วให้นางในไปเชิญมาพบพระองค์ นางในไปทูลให้นางทราบ จึงบอกนางในให้ไปทูลพระอภัยว่า หาองค์ละเวงไม่พบ แล้วนางจึงตรัสเรียกนางยุพาให้ไปเฝ้าดู ถ้าถามถึงนางก็ให้ทำเป็นไม่รู้ว่าอยู่ไหน พระอภัยเห็นนางยุพามาเฝ้า ก็ถามนางถึงองค์ละเวง
      นางยุพานารีชลีกราบ ลูกไม่ทราบว่าพระองค์อยู่ตรงไหน
    วานซืนนี้ที่พลับพลาลูกพาไป เจียนจะได้ผิดด้วยก็ป่วยการ
    แต่ร่วมอาสน์คลาดเคลื่อนไม่เหมือนคิด หรือจะติดตามกอกไปนอกสถาน
    เหมือนคเชนทรเจนขอเหลือหมอควาญ ใครจะหาญขี่ขับช่วยจับกุม ฯ
                พระอภัยได้ฟังคำเปรียบเปรย จึงขอให้นางยุพาชาวยบอกว่า ถ้าไม่ได้ก็จะขอตายเสียให้พ้นทรมาน นางยุพาจึงแนะนำให้พระอภัย ทำเป็นจะผูกศอให้มรณา แล้วตนจะช่วยแก้ จากนั้นก็จะไปทูลพระมารดาคงจะมาหาเป็นแน่ ขอแต่อย่าให้แจ้งว่าเป็นการแต่งกล พระอภัยให้ด้วยก็ทรงทำตามคำแนะนำ
                ฝ่ายนางยุพาจึงไปทูลแจ้งให้พระมารดาทราบ นางกษัตริย์จึงรับมายังปราสาทของพระอภัย
    เห็นพระองค์ทรงกระสันพันพระศอ เข้ายุดข้อหัตถาชิงผ้าได้
    พระยุดแย่งแกล้งสะบัดทำขัดใจ นางกราบไหว้วอนว่าโศกาพลาง
    ฯลฯ
    ความคิดใครไฉนหนอพ่อหรือลูก มาแกล้งผูกคอได้ไม่น่าขัน
    ทำย้อนยักซักซ้อมสมยอมกัน เถิดเช่นนั้นแล้วก็ไม่พอใจยอม
    ฯลฯ
    จะผูกศอก็ไม่ผูกจะถูกหยิก ขืนจุกจิกหนีไปเสียให้หาย
    พระว่าพี่มิให้กอดจะวอดวาย ได้กอดกายแล้วก็ฟื้นค่อยชื่นใจ
    พลางโอบอุ้มจุมพิตสนิทถนอม งามละม่อมละมุนจิตพิสมัย
    ร่วมภิรมย์สมสองทำนองใน แผ่นดินไหวจนกระทั่งหลังอานนต์
    ฯลฯ
    สองสนิทชิดชมอารมณ์ชื่น ระเริงรื่นเริ่มแรกแปลกภาษา
    พระลืมองค์พงศ์พันธุ์สวรรยา นางลืมวังลังกาไม่อาลัย
    ฯลฯ


    ตอนที่ ๓๗  ศรีสุวรรณกับสินสมุทถูกเสน่ห์

     
      ครั้นรุ่งรางนางตื่นสะอื้นอ้อน ให้อาวรณ์ถึงญาติศาสนา
    เสียดายกายอายฝรั่งทั้งลังกา จะเอาหน้าหนีไปแฝงเสียแห่งไร
    ฯลฯ
    เรียกธิดามาในห้องทองบรรทม ประชดชมเจ้าช่างคิดประดิษฐดี
    จะดับเข็ญเย็นได้เหมือนไฟดับ หรือจะกลับแสนแค้นแสนบัดสี
    ฯลฯ
      ฝ่ายยุพาผกาก้มหน้ายิ้ม ด้วยนึกอิ่มอารมณ์ที่สมหวัง
    จึงว่าพี่รำภาดูน่าชัง จะเหมือนดังเรื่องราวเขากล่าวไว้
    ว่ารักนักมักหน่ายมักหายรัก ถ้าคิดนักมักงงมักหลงไหล
    แม้เสร็จศึกนึกหมายข้างภายใน แล้วจะได้ผ่อนผันตามปัญญา
    อันศึกนอกออกตีด้วยฝีปาก เห็นไม่ยากใจนักไม่หนักหนา
    เป็นการเบาเท่านี้พี่รำภา จะอาสาปราบได้ดังใจจง ฯ
                นางกษัตริย์ได้ฟังคำเปรียบเห็นว่าเฉียบแหลม เห็นว่าจะสมประสงค์ เมื่อพระอภัยตื่นขึ้นก็ถวายดินถนันให้พระอภัยเสวย
    เสวยอิ่มยิ้มย่องว่าน้องรัก ชอบใจนักที่ได้กินดินถนัน
    จะชุ่มชื่นยืนยึดสืบพืชพันธุ์ เป็นเพื่อนขวัญเนตรน้องอยู่ห้องใน ฯ
      นางคมค้อนอ่อนโอษฐว่าโปรดเกล้า พระคุณเท่าดินฟ้าชลาไหล
    แต่น้องนี้วิตกในอกใจ กลัวจะไม่เหมือนรสพจมาน
    เขาย่อมเปรียบเทียบความว่ายามรัก แต่น้ำผักต้มขมชมว่าหวาน
    ครั้นจืดจางห่างเหินไปเนิ่นนาน แต่น้ำตาลก็ว่าเปรี้ยวไม่เหลียวแล
    ฯลฯ
                นางกษัตริย์ทูลว่าโอรสกับอนุชามารับ เกรงว่าพระอภัยจะทิ้งขว้างนางไป พระอภัยตรัสตอบว่า พระองค์นั้นเป็นตายอย่างไร ก็ไม่ยอมไป และเห็นว่าถ้าข้าวน้ำเสบียงหมด กองทัพก็จะอยู่ต่อไปไม่ได้ ให้ห้ามฝรั่งลังกาอย่าให้ใครเอาข้าวน้ำไปให้กองทัพ
      นางละเวงเกรงเหล่าชาวผลึก จะทำศึกว้าวุ่นจึงทูลเถียง
    พระน้องมาธานีจะมิเลี้ยง ก็ผิดเยี่ยงกษัตริย์ขัตติยา
    ฯลฯ
               นางกษัตริย์เรียกนางรำภาสะหรีมาบอกให้ช่วยอย่าให้เกิดการรบพุ่ง โดยใช้ทางไมตรีบอกว่า นางรำภาเคยสู้รบกับศรีสุวรรณมาก่อน ขอให้นางพูดล่อพอให้หลงลืมพงศ์พันธุ์ แล้วเอาตัวมาขังไว้ในวังก็จะสิ้นศึก
      ฝ่ายรำภาสะหรีชลีฉลอง พระคุณของบาทมูลไม่สูญหาย
    ถึงเสียตัวชั่วช้าชีวาวาย จะสู้ตายมิได้ขัดพระอัชฌา
                นางกษัติรย์จึงให้นางรำภาเรียนมนต์ เพื่อผูกใจศรีสุวรรณแล้วให้ถือหนังสือไปให้ศรีสุวรรณ ขอบาญชีที่ทัพจะรับเลี้ยง พร้อมทั้งมอบเครื่องของสองกษัตริย์ ว่าเป็นนางให้ไป
                นางรำภารับรับสั่งแล้ว ออกมาจัดแจงแต่งตัวให้เหล่าข้าหลวงเชิญเครื่องทองของประทานทั้งหวานคาว รวมทั้งหีบทองของนางที่ใส่เครื่องเสกผ้าเช็ดหน้าบุหงาสด ออกจากวังไปยังค่ายแล้วบอกนายประตูว่า ตนชื่อรำภาสะหรี จะมาเฝ้าพระอนุชาศรีสุวรรณ
                ศรีสุวรรณให้นางเข้าเฝ้า พอเห็นหน้านางเข้าก็ต้องมนต์นึกรักนางจนหลงไหล แล้วถามนางว่า มาด้วยการใด นางรำภาทูลตอบว่า องค์พระมเหสีทำโต๊ะถวายทั้งสองพระองค์ เหมือนหนึ่งเป็นวงศา ส่วนตนนั้นหมายมาขอลุแก่โทษ
    อันหีบทองของใส่มาในนั้น ของหม่อมฉันขอสมาที่ว่าขาน
    กับซับพักตรชักมาคราวป่าตาล ของประทานโทษกายถวายคืน ฯ
                ศรีสุวรรณตรัสตอบไม่ถือโทษนาง ได้ตรัสเกี้ยวพาราสีนางด้วยประการต่าง ๆ แล้วถอดเพชรกุหร่าราคาพัน ให้รางวัลนาง ออกโอษฐประทานพานพระศรีแก่นาง
      นางคำนับรับแหวนแสนสุภาพ ทำเกรงกราบกิริยาอัชฌาสัย
    ซึ่งออกโอษฐโปรดปรานประการใด   จะรับใส่เศียรสิ้นด้วยยินดี
    ฯลฯ

    • Update : 10/6/2554
    © Copyright 2011 www.watnongmuang.com All rights reserved 999arch