หน้าแรก สมาชิก รายการวัตถุมงคล ตะกร้าวัตถุมงคล วิธีชำระวัตถุมงคล วิธีบูชาวัตถุมงคล ประวัติวัด ติดต่อวัด เว็บบอร์ด
สมาชิก Log in
อีเมล์
รหัสผ่าน
สมัครสมาชิกใหม่
ลืมรหัสผ่าน
















ค้นหาวัตถุมงคล
 
 
 
หมวดวัตถุมงคล
  เครื่องราง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง หลวงพ่อสวัสดิ์
  พระเครื่อง หลวงปู่พิมพ์มาลัย
  พระเครื่อง หลวงพ่อสง่า
วัตถุมงคลของคุณ
รหัสวัตถุมงคล ราคา จำนวน
ยังไม่มีวัตถุมงคลอยู่ในตะกร้า
  • ชำระค่าวัตถุมงคล
  • แก้ไขรายการวัตถุมงคล
  • วิธีสั่งบูชาวัตถุมงคล
  •  

    พระอภัยมณี/19
    ให้ทำกลไกขังข้าศึกให้ไฟไหม้ตาย โดยใช้วิธีการเขาเผาเรา เราเผาเขาบ้าง  พวกขุนนางก็ไปจัดการตามที่ตรัสสั่ง
                ฝ่ายเมืองผลึกพอตกค่ำลงก็ให้ยิงปืนเป็นสัญญา สานนอ่านมนต์เรียกลมให้พัดเข้าตลิ่งทางฝั่งสิงหล แล้วเคลื่อนเรือรบเข้าฝั่งพร้อมทั้งยิงปืนหน้าเรือนำเข้าไป
                ฝ่ายฝรั่งตั้งรับอยู่ชายตลิ่งก็ยิงปืนต่อสู้  พอเรือเสยเกยตลิ่ง กำลังพลจากเรือก็ถือคบไฟวิ่งขึ้นจากเรือไปไล่ฟันแทงทหารฝรั่งโดยไม่ใช้ปืนยิง
                สินสมุท วิเชียร โมรา และสานน ต่างยกพลขึ้นบกทั้งหกทัพ  พวกทหารลังกาคอยรบล่อให้ฝ่ายพระอภัยตามไปติดกำแพง พาไปถึงข้างเขาเพื่อคอยเผาทัพเรือ
    พามาถึงต้นทางไปข้างเขา จะคอยเผาทัพเรือเหมือนเสือแฝง
    ฝ่ายพวกพลบนหอรบจุดคบแดง ต่างต่อแย้งยิงสู้ดูศักดา ฯ
      ค หน่อนรินทร์สินสมุทไม่หยุดยั้ง กับไพร่พรั่งพรูพร้อมเข้าป้อมขวา
    ต่างเผ่นโผนโยนโซ่สวนเสมา โยทะกาเกี่ยวปราการขึ้นราญรอน
    ฝรั่งแทงแย้งฟันกันหน้าที่ ออกต่อตีต้านรับสลับสลอน
    เอาไฟฟาดสาดน้ำมันเป็นควันร้อน บ้างปอกปอนป่วยกายบ้างวายชนม์
    ฯลฯ
                ฝ่ายเมืองผลึกวกเข้าไปบนป้อม สินสมุทเป็นรูปนั่งหน้าพลับพลาเหมือนองค์ละเวง ก็เข้าไปจับกลเก้าอี้ก็ตกในกรง สินสมุทตกลงไปด้วยดิ้นไม่หลุด
                ฝ่ายพราหมณ์สามคนเห็นรูปนางนั่งนึกว่าเป็นนายพล โมราถึงรถทรงก็เข้ารวมจับคนบนรถก็ตกลงไปติดในกรง พวกฝรั่งลังกาก็ล้อมจับไพร่พลเมืองผลึกด้วยตรีนายติดรถหมดทุกคน
      ค ทัพฝรั่งทั้งสิบสองกองสมทบ ตีตลบไล่ล้างมากลางหน
    ฝ่ายเสือป่าฝรั่งริมฝั่งชล เห็นทัพบนบกตื่นเสียงครื้นครึก
    บ้างจุดคบครบมือถือลงน้ำ เที่ยวเผาลำเรือเหล่าชาวผลึก
    ฯลฯ
                พระอภัยเห็นศึกกลับโอบล้อมหลังก็ตกใจ จึงทรงเป่าปี่ห้ามปรามณรงค์
    วิเวกหวีดกรีดเสียงสำเนียงสนั่น คนขยันยืนขึงตลึงหลง
    ให้หวิววาบซาบทรวงต่างง่วงงง ลึมณรงค์รบสู้เงี่ยหูฟัง
    พระโหยหวนควรญเพลงวังเวงจิต ให้คนคิดถึงถิ่นถวิลหวัง
    ว่าจากเรือนเหมือนนกมาจากรัง อยู่ข้างหลังก็จะแลชะแง้คอย
    ถึงยามค่ำร่ำฆ้องจะร้องไห้ ร่ำพิไรรัญจวนหวนละห้อย
    โอ้ยามดึกดาวเคลื่อนเดือนก็คล้อย  น้ำค้างย้อยเย็นฉ่ำอยู่วังเวง
    ฯลฯ
                เมื่อได้ยินเสียงปี่พระอภัย พวกไพร่พลก็พากันหลับไป


    ตอนที่ ๓๑ พระอภัยมณีพบนางละเวง

                ฝ่ายนางละเวงเห็นไพร่พลหลับไปหมดเก็แค้นพระอภัย คิดว่าจะไปดูว่าพระอภัยอยู่แต่ลำพังหรือไม่ จะได้สู้รบกันดูฝีมือ แล้วขึ้นม้าควบไปทางข้างกำแพง เห็นพระอภัยเป่าปี่อยู่ผู้เดียวก็เอาเกาทัณฑ์ยิงไปถูกปี่พระอภัยหลุดจากพระหัตถ์ อีกลูกหนึ่งถูกเกราะที่พระอภัยสวมใส่อยู่ จึงเอาทวนแทงพระอภัย
                พระอภัยรบกับนางละเวง เอาปืนยิงถูกปากม้าที่นางขี่มา ม้าก็พาโลดกระโดดดีด นางตกใจร้องหวีดเต็มเสียง พระอภัยได้ยินเป็นเสียงผู้หญิงก็รู้สึกอายใจ นางจึงควบม้ากลับไปกองทัพ
                พระอภัยจึงลงจากรถแล้วทรงม้าต้นติดตามไปทันนางที่กลางแปลง ได้สู้รบกัน พระอภัยเห็นหน้านาง จึงตรัสถามว่านางคือองค์ละเวงวัณฬาใช่หรือไม่ ขอให้ยั้งมือไว้จะขอเจรจาด้วย เพราะได้ติดตามมาด้วยความสุดแสนสวาท นางละเวงได้ฟังคำจึงแกล้งถามว่า

    ท่านนี้หรือชื่ออภัยจะใคร่รู้ ที่ชิงคู่ไปชมประสมสอง
    พระเชษฐาปรานีเหมือนพี่น้อง ยังขัดข้องคิดทำลายให้วายชนม์
    แล้วมิหนำซ้ำตามข้ามสมุทร มายงยุทธ์กับผู้หญิงถึงสิงหล
    ครั้นหักโหมโจนจับไม่อับจน กลับแต่งกลเกี้ยวพานด้วยมารยา
    ฯลฯ
                พระอภัยจึงตรัสปลอบนางด้วยประการต่าง ๆ แล้วบอกว่าจะให้นางครองเมืองต่อไปและขอเป็นทองแผ่นเดียวกันจนตาย
                นางละเวงได้ฟังก็ชื่นชอบ แล้วตอบไปว่า ถ้าไม่มุ่งหมายจะทำร้ายกันแล้วต้องแก้ไขให้ไพร่พลตื่น แล้วให้พระอภัยกลับไปเมืองผลึก
                พระอภัยได้ฟังก็เห็นในความชาญฉลาดของนาง จึงตอบไปว่าให้นางไปนั่งที่ราชรถ เพื่อไพร่พลตื่นขึ้นมาเห็นสองคนนั่งอยู่จะได้ปรองดองกัน ส่วนสัญญาที่เสนอมานั้นก็ให้สัตย์ไม่ขัดข้อง
                นางฟังคำพระอภัยแล้วบอกว่าการที่จะให้นางไปนั่งอยู่กับพระอภัยนั้นเป็นเรื่องน่าบัดสี ถ้าจะให้เป็นไมตรีโดยซื่อตรงแล้ว ก็ขอให้ไพร่พลได้ตื่นขึ้นมาก่อน ถ้าไม่เชื่อตามนี้คิดจะทำสงครามก็ให้ติดตามมาจับ แล้วนางก็เป่ามนต์ขับม้าเข้าแฝงไฟ
                พระอภัยเห็นนางหนีลับตาไปก็คิดถึงวิชาเป่าปี่ จึงเป่าปี่ประโลมนางให้กลับมา นางละเวงได้ยินเสียงปี่ก็ตะลึงลืมปลื้มอารมณ์ไม่สมประดี ชักม้ากลับมาพบพระอภัย พระอภัยเห็นนางกลับมาก็วางปี่ แล้วเชิญนางไปราชรถ นางรู้สึกหวั่นใจจึงควบม้ากลับไป
                พระอภัยคิดสงสัยว่าเมื่อเป่าปี่นางก็ได้หวลกลับมา แต่เมื่อหยุดปี่นางก็กลับหนีไป จึงควบม้าค้นหา แต่ไม่พบ จึงเอาปี่มาเป่าใหม่นางก็ไม่กลับ จึงคิดปลุกทัพเพื่อให้นางหายสงสัย แล้วได้เป่าปี่ปลุกไพร่พลให้ตื่นขึ้น
                ฝ่ายฝรั่งลังกาตื่นขึ้นมาแล้วรวมกันไม่ได้ ต่างพากันติดตามถามข่าวถึงเจ้านาย แยกย้ายกลับไปลังกา ไพร่พลเมืองผลึกตื่นขึ้นมาแล้วก็พากันกลับไปยังชายฝั่ง
                สินสมุทขอตามตีข้าศึก แต่พระอภัยห้ามไว้ บอกว่าได้ขอเป็นไมตรีกับแม่ทัพลังกา ก็ได้รับการสนองด้วยดี ตอนนี้กองทัพยังวุ่นวายอยู่ ให้รอฝ่ายลังกาส่งทูตมาเจรจา ถ้าฝ่ายลังกาเสียสัตย์ก็จะตามตีไปถึงเมืองลังกา
                ศรีสุวรรณได้ฟังคำพระอภัย เห็นจริตผิดที่กิริยาจึงแกล้งว่า หวังจะลองดูท่วงทีของพระอภัยว่าจะเสียทีทางสวาท พระอภัยได้ฟังจึงตรัสตอบ
      ค พระอภัยใจกระสันยังพันผูก เขาเกาถูกเข้าที่คันก็หรรษา
    สำรวลพลางทางสนองพระน้องยา ธรรมดามดดำกับน้ำตาล
    ได้เข้าเรียงเคียงใกล้แล้วไม่อด คงชิมรสรู้กำพืดว่าจืดหวาน
    ฯลฯ
                ศรีสุวรรณกับสินสมุทต่อว่าพระอภัย แต่พระอภัยก็แก้ว่า ตอนนี้ไพร่พลได้ผ่อนพัก จะได้รักษากายให้หายดีเสียก่อน แล้วให้ยกพลขึ้นไปตั้งอยู่วังใหม่รักษามั่นไว้
    จึงขึ้นบกยกขึ้นตั้งอยู่วังใหม่ ให้นายไพร่อยู่รักษาทุกหน้าที่
    คอยระวังนั่งยามตามอัคคี อย่าให้มีเภทภัยสิ่งใดพาน
                ฝ่ายองค์ละเวงวัณฬาขับม้าหนีไปในป่า ไม่รู้ว่าอยู่แห่งหนตำบลไหน จึงลงม้าแล้วพักอยู่ ณ ที่แห่งหนึ่ง ได้พบของสิ่งหนึ่ง เมื่อกินแล้วเกิดมีเรี่ยวแรง เห็นอารักษ์บนชะง่อนเขา ขอกินสิ่งนั้นบ้าง นางบอกว่าให้อารักษ์บอกก่อนว่าสิ่งนั้นคืออะไร
    ฝ่ายอารักษ์ศักดิ์สิทธิ์สถิตสถาน จึงแจ้งการกับวัณฬามารศรี
    ลูกนั้นชื่อว่านมพระธรณี ถึงพันปีมีผุดขึ้นมาเหมือนปืนดัง
    ฝูงสัตว์ไพร่ได้ยินทั้งกลิ่นหอม  มาพรั่งพร้อมเพราะจะกินถวิลหวัง
    ด้วยหวานเย็นเห็นประเสริฐเกิดกำลัง กำจัดทั้งโรคาไม่ราคี
    อายุยืนชื่นชุ่มเป็นหนุ่มสาว  ผิวนั้นราวกับทองละอองศรี
    ฯลฯ
                อารักษ์ได้บอกว่า ตนถูกพระอิศวรสาปไว้ให้เฝ้าเขาอังกาศ ต่อเมื่อได้กินนมพระธรณี เมื่อวันไรจึงพ้นคำสาป นางได้ฟังจึงฝานถันสุธาให้ แล้วขอให้อารักษ์ชี้หนทางให้ไป
                อารักษ์ได้ฟังจึงบอกว่า นางจะได้พบลาภปราบไพรี ให้เดินทางไปข้างเขาจะได้พบชาวบ้านป่า และจะได้พบพระปีโป ไต่ถามเรื่องที่สงสัย
                นางละเวงวัณฬา ออกเดินทางไปตามที่อารักษ์บอก ได้ชมนกชมไม้ไประหว่างทาง
                กล่าวถึงชาวบ้านเขาเขียว มีนักปราชญ์บาทหลวงเป็นหลักบ้าน สร้างตึกใหญ่ไว้ข้างทางเดิน มีลูกเต้าชาวบ้านมาฝากให้เล่าเรียน วิชาไตรดาโหรา
    คนทั้งนั้นวันอาทิตย์เป็นอิสระ มาไหว้พระพร้อมกันด้วยหรรษา
    ทำบุญบวชสวดมนต์สนทนา บาทหลวงมาขึ้นนั่งบัลลังก์พรต
    ฯลฯ
                บาทหลวงเห็นดาวเจ้าเมืองลังกาสีสลด แล้วดูดวงเมืองผลึกเข้ามาร่วมธาตุ ก็ทำนายว่า พวกไพร่ใหญ่น้อยจะพลอยตาย แต่ตัวนายจะอยู่เป็นคู่เคียง พอได้ยินเสียงสัตว์ต่าง ๆ ร้อง จับยามดูก็แจ้งว่า ลูกสาวเจ้าลังกาจะมาที่บ้านนี้ และโจรจะตามมาด้วย แล้วบอกให้ชาวบ้านคอยต้อนรับสนองคุณ ส่วนตนจะหลบไปไม่ให้พบ
                ฝ่ายองค์ละเวงวัณฬา เดินทางมาถึงชายป่าเห็นควันไฟ และรอยคนปนรอยเกวียนอยู่ทั่วไป ก็รู้ว่ามีบ้านผู้คนจึงขับม้าไปหา เมื่อใกล้ค่ำ
                กล่าวถึงนายโจร สามสิบห้ากับกลาสีสามพันสอง เที่ยวตีปล้นผู้คนในชนบท มาถึงหนองน้ำก็ให้พักพลกินอาหาร เห็นคนขี่ม้าสง่าวาม แต่งตัวด้วยของดีมีค่า ก็ให้ไพร่พลเข้าล้อมตัวนาย เข้าไปไต่ถามว่ามาจากบ้านเมืองใด
                องค์ละเวงวัณฬา เห็นโจรมาล้อมไล่ก็คิดว่า ควรจะบอกโจรว่า เป็นกษัตริย์สิงหล พวกโจรที่ได้อาศัยแผ่นดินอยู่ จะได้ไม่ลวนลาม แล้วนางจึงกล่าวแก่โจรว่า นางเป็นเจ้าลังกามาสงคราม แต่เกิดหลงทางจึงขอให้โจร ช่วยนำนางเข้าลังกา แล้วจะแต่งตั้งให้เป็นขุนนาง
                ฝ่ายโจร ก็ตอบว่าตนเป็นโจร ไม่รักศักดิ์รักยศ ต้องการแต่ของที่ตนต้องการ ขอให้มอบเครื่องประดับกับม้า ให้ตนแล้วจะปล่อยตัวไป ตนรู้เท่าทันว่า จะพูดลวงล่อให้ไปเมือง จะได้จับเพื่อเอาไปลงโทษ
      ค นางฟังคำจำวอนด้วยอ่อนหวาน น้องว่าขานตามตรงอย่าสงสัย
    ซึ่งทำผิดกิจการแต่ก่อนไร ถ้าแม้นได้ความชอบก็ตอบแทน
    อันต้นร้ายปลายดีไม่มีโทษ เป็นประโยชน์ยาวยืนอยู่หมื่นแสน
    จะเที่ยวปล้นคนกินเหมือนสิ้นแกน ถึงมาตรแม้นมีทรัพย์ก็อับอาย
    อันดีชั่วตัวตายเมื่อภายหลัง ชื่อก็ยังยืนอยู่ไม่รู้หาย
    แม้นสังหารผลาญเราเป็นเจ้านาย ตัวจะตายไม่ทันข้ามสามเวลา ฯ
                แต่โจรไม่ยอมฟัง เข้ากลุ้มรุมนางกษัตริย์ นางได้ต่อสู้พลางหนีพลาง จนลูกเกาทัณฑ์หมด และตกค่ำ ก็เห็นคนหมู่ใหญ่เข้ามาช่วยไล่โจร หนีไปแล้วมาเฝ้าคอยฟังรับบัญชา
                องค์ละเวงวัณฬา ประหลาดใจจึงถามว่า เป็นใครและรู้จักนางได้อย่างไร
                ผู้เฒ่าชาวป่าสิกคารนำ (เขาเขียว)  ก็ตอบว่าพวกตนเป็นชาวป่าพี่น้องกัน ทราบว่าพระนางเสียทัพ โจรจะมาจับฆ่า ตนอาศัยในแผ่นดินนี้คิดกตัญญูจึงเข้ามาช่วย ขอให้พระนางคงเสวยเศวตฉัตร และเดินทางไปด้วยดี ส่วนพวกตนขอลากลับไป
                องค์ละเวง ได้ฟังจึงกล่าวว่านางไม่รู้จักหนทาง จะขอไปอยู่ที่บ้านของพวกท่านสักหนึ่งวัน ผู้เฒ่าก็ปฎิบัติตามประสงค์ และดูแลนางอย่างดี
                องค์ละเวงเห็นหญิงชาวป่ามีระเบียบเรียบร้อยเหมือนนางใน จึงถามว่าเป็นชาวในหรือว่าได้รับการฝึกสอนมา
      ค ฝ่ายหญิงเฒ่าชาวป่าว่าข้าพเจ้า มิใช่เหล่าในนิเวศน์เขตสถาน
    เป็นชาวป่าถ้าจะคิดในกิจการ ตามโบราณราษฎรซึ่งสอนไว้
    ฯลฯ
      ค นางฟังคำน้ำนวลควรสนอง ท่านว่าต้องตามระบอบชอบหนักหนา
    อันชายหญิงสิงหลคุณนา สุดจะหาให้เหมือนท่านที่บ้านนี้
    มาพบปะจะใคร่ได้ไปไว้ด้วย จะได้ช่วยกันบำรุงซึ่งกรุงศรี
    ให้ปรากฎยศศักดิ์ด้วยภักดี พอเป็นที่ปรึกษาให้ถาวร
    พวกชาวบ้านกรานกราบสุภาพพูด ข้าเหมือนอูฐหรือจะไปเป็นไกรสร
    ฯลฯ
      ค นางตรัสตอบขอบจิตที่คิดรัก ตามสมัครมิได้แหนงแคลงไหน
    แล้วถามนางข้างบัลลังก์ที่นั่งใช้ เจ้าชื่อไรรูปร่างสำอางตา
    ส่วนนารีพี่น้องสองสดับ น้อมคำนับทูลความตามภาษา
    ข้าเป็นพี่นี้ชื่อยุพาผกา นางสุลาลีวันนั้นเป็นน้อง
    ไม่มีญาติขาดสูญประยูรศักดิ์ บาทหลวงรักเลี้ยงไว้มิให้หมอง
    ข้าสิบสี่ปีปลายข้างฝ่ายน้อง ได้สิบสองปีเศษสังเกตใจ
    ฯลฯ
                นางกษัตริย์ได้ตรัสขอสองนางเป็นลูก ทั้งสองนางก็ยินยอม
    แล้วโฉมยงทรงรินสุราให้ ตามวิสัยสืบรักสมัครสมาน
    ทั้งพี่น้องคำนับรับประทาน ตามโบราณรับรักด้วยภักดี
    ฯลฯ
                ครั้นรุ่ง นายบ้านก็นำความไปบอกบาทหลวง  บาทหลวงได้ฟังแล้วก็กล่าวสรรเสริญนางกษัตริย์ว่าเกินฉลาด รู้จักแสวงหา
    คนดี ที่รั้งรออยู่ก็เพื่อต้องการจะเอาตนไปใช้  ชาวบ้านก็ว่าให้บาทหลวงไปช่วยสอนการสงครามปราบปรามยุคเข็ญ
      ค บาทหลวงว่าอย่าประมาทชาติกษัตริย์ เหลือจำกัดกลความตามวิสัย
    เมื่อดีเย็นเช่นมหาชลาลัย โกรธเหมือนไฟฟุนฟอนให้ร้อนทรวง
    แล้วเรารู้อยู่ว่านางแต่ปางหลัง ถือพระสังฆราชผู้บาทหลวง
    ได้ฝึกสอนรอนราญการทั้งปวง จะไปช่วงชิงรู้เหมือนดูเบา
    เมื่อยามดีมิได้พึ่งครั้นถึงยาก จะพลอยรากเลือดตายต้องอายเขา
    ถึงแม้องค์นงลักษณ์จะรักเรา พวกคนเก่าเขาคงกันด้วยฉันทา
    อนึ่งอำมาตย์ชาติสอพลอทรลักษณ์ เห็นเจ้ารักชวนกันคิดริษยา
    คอยยุยงลงโทษโจทนา ไม่รู้ว่าใจนางจะอย่างไร
    ฯลฯ
                แล้วบาทหลวงก็มาพบนางกษัตริย์ ไต่ถามถึงการเดินทางมาในป่าของพระนาง  นางกษัตริย์ได้เล่าเรื่องเมืองผลึก
    จนทำศึกเสียทัพ จนถึงถูกโจรจะมาฆ่าฟัน และบอกว่า
    ได้พบปะพระคุณการุญด้วย เหมือนชุบช่วยชูชาติพระศาสนา
    ช่วยสั่งสอนผ่อนผันพระกรุณา ให้ปราบข้าศึกได้ดังใจจง ฯ
                บาทหลวงตอบว่าตนเป็นชาวดง รู้แต่สิกขาสมาทาน เรื่องกลศึกควรคิดกับข้าทหาร ส่วนพระสังฆราชก็เป็นผู้เปรื่องปราชญ์อยู่ในเมืองหลวง ควรไปไต่ถามท่านก็จะได้วิชาต่าง ๆ
                นางกษัตริย์ได้ฟังก็ต้องใจแล้วบอกว่าบรรดาเสนาพระบาลีให้สร้างเมืองใหม่ไว้รบสมทบทัพ แต่ข้าศึกกลับข้ามคุ้งถึงกรุงศรี ครั้นลวงล่อข้าศึกจนได้ที่แล้ว ข้าศึกกลับเป่าปี่ให้กองทัพหลับไป เป็นการสุดคิดที่จะแก้กลศึก จึงขอพึ่งบาทหลวงช่วยแก้ไขบำรุงกรุงลังกา
      ค พระบาลีมีจิตคิดสงสาร แจ้งวิจารณ์ทางธรรม์ด้วยหรรษา
    เพราะมีหูอยู่ก็ปี่มีศักดา แม้หาหูไม่ปี่ไม่มีฤทธิ์
    วิสัยคนทนคงเข้ายงยุทธ ฤทธิรุทธแรงร้ายกายสิทธิ์
    แม้เพลิงกาลผลาญแผ่นดินสิ้นชีวิต อำนาจฤทธิ์ย่อมแพ้แก่ปัญญา
    เชิญไปฟังสังฆราชพระบาทหลวง อย่าเพิ่งล่วงความคิดเป็นศิษย์หา
    แม้ศึกเสือเหลือขนาดอาตมา จะอาสาหาบหามตามกำลัง
    ฯลฯ
                นางกษัตริย์กับสองหญิงพี่น้องออกเดินทางกลับเมืองไปจนถึงแดนถ้ำกลำพัน เมื่อตอนพลบเป็นป่าสงบไม่เหมือนทุกแห่งที่ผ่านมา ก็สงสัย จึงให้หยุดไพร่พลพักอยู่ริมเขาอยู่ยามตามไฟ

    • Update : 6/6/2554
    © Copyright 2011 www.watnongmuang.com All rights reserved 999arch