หน้าแรก สมาชิก รายการวัตถุมงคล ตะกร้าวัตถุมงคล วิธีชำระวัตถุมงคล วิธีบูชาวัตถุมงคล ประวัติวัด ติดต่อวัด เว็บบอร์ด
สมาชิก Log in
อีเมล์
รหัสผ่าน
สมัครสมาชิกใหม่
ลืมรหัสผ่าน
















ค้นหาวัตถุมงคล
 
 
 
หมวดวัตถุมงคล
  เครื่องราง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง หลวงพ่อสวัสดิ์
  พระเครื่อง หลวงปู่พิมพ์มาลัย
  พระเครื่อง หลวงพ่อสง่า
วัตถุมงคลของคุณ
รหัสวัตถุมงคล ราคา จำนวน
ยังไม่มีวัตถุมงคลอยู่ในตะกร้า
  • ชำระค่าวัตถุมงคล
  • แก้ไขรายการวัตถุมงคล
  • วิธีสั่งบูชาวัตถุมงคล
  •  

    พระอภัยมณี/7

    ตอนที่ ๑๖ สินสมุทพบศรีสุวรรณ

                กล่าวถึงศรีสุวรรณกับแก้วเกษรา ครองนครรมจักร จนมีธิดาอายุได้แปดปีชื่อ อรุณรัศมี
                เมื่อศรีสุวรรณจะได้พบหลาน ก็ได้ฝันว่าไฟไหม้ป่า ติดหลังคาบ้านช่องท้องสนาม ตนได้ออกไปดับไฟ แล้วกลับลามมาติดตามเนื้อตัว แล้วว่าพระเชษฐามาช่วยดับไฟได้ แล้วประทานดวงแก้วให้ โหรทำนายว่า ที่สุบินว่าไฟไหม้นั้น จะเกิดภัยรบพุ่งถึงกรุงศรี ส่วนที่พระเชษฐามาดับไฟ และประทานแก้วมณีนั้น แสดงว่าจะสิ้นเคราะห์ และจะได้ข่าวพระเชษฐา เป็นเรื่องที่ต้นร้ายปลายดี
                ศรีสุวรรณฟังคำทำนายแล้ว ก็เห็นว่าท้าวอุเทนคงจะคิดอ่านยกทัพมาตีเมืองรมจักร จึงได้หารือกับสามพราหมณ์เตรียมการรับมือกับศัตรู โดยให้โมราไปอยู่ ณ ตำบลทางทิศตะวันออก ให้วิเชียรไปอยู่เมืองปราการเป็นฝ่ายเหนือ ส่วนเมืองทางตะวันตกเป็นทางบกให้สานนรักษาเมืองสายัณห์ ให้คุมพลคนละหมื่น วิเชียรกับนางจงกล โมรากับนางประภาวดี สานนกับนางอุบลต่างพากันไปตั้งอยู่ ณ เมืองทั้งสาม ซ่อมป้อมปราการ ฝึกทหารและวางกำลังคนไว้ตามด่าน
                กล่าวถึงกำปั่นสินสมุทแล่นไปกลางสมุทร ตัดถนนพระรามข้ามแหลมเสี้ยว ก็ยังไม่ได้ข่าวเจ้ากรุงผลึก เดินทางค้นหาอยู่สามเดือนก็สิ้นเสบียง เหลืออยู่อีกไม่ถึงเดือน  อังกุหร่าจึงทูลถามสองกษัตริย์ว่าจะทำประการใด นางสุวรรณมาลีจึงถามว่าแต่ก่อนนี้หาข้าวปลามาได้อย่างไร อังกุหร่าทูลว่าแต่ก่อนก็ได้ปล้นชาวบุรี และเที่ยวตีเรือจนมีเงินทองข้าวของเหลือเฟือ แต่เมื่อได้สั่งห้ามไม่ให้จับเรือแพเหมือนแต่ก่อน จึงได้เกิดขัดสน นางจึงบอกว่าเงินทองของสุหรั่งยังมีอยู่มาก จะเอาไปซื้อหาของที่ต้องการไม่ได้หรือ อังกุหร่าทูลตอบว่า อันพวกพ้องโจรเรือเหมือนเสือกล้า ทุกถิ่นฐานบ้านเขตไม่เมตตา จะซื้อหาเห็นไม่ได้ดังใจจง
                สินสมุทใคร่จะหักหาญคึกจึงกราบทูลมารดาว่า ถ้าเมืองไหนใหญ่กว้างมีฉางข้าว ให้พวกเราขึ้นไปว่าซื้ออาหาร แม้นไม่ให้ไล่ขับให้อัประมาณ จึงรุกรานรบเร้าเอาธานี  แล้วสั่งอังกุหร่าให้สังเกตดูทุกเมือง ถ้าเมืองใดใหญ่กว้างยุ้งฉางมี ก็ให้เข้าทอดสมอเรือที่ปากน้ำ
                อังกุหร่าทูลว่าเรือของเราต้องตัดเข้าคุ้งค้อมอ้อมออกมา เป็นเมืองใหญ่แว่นแคว้นแดนเมืองรมจักรมีไพร่พลมาก แวะไม่ได้เพราะจะมีภัย แต่สินสมุทนึกสนุกบอกว่า ถึงเราจะมีกำลังน้อยก็ไม่ถอยหนี ถ้าขัดขวางก็จะเข้าตีชิงเมืองริบเอาข้าวปลา

      ฝ่ายฝรั่งรับรสพจนารถ เที่ยวประกาศไพร่นายทั้งซ้ายขวา
    แล้วยิงปืนครื้นครั่นเป็นสัญญา บ่ายเภตราตรงเข้าอ่าวบุรี
    จึงทอดกำปั่นใหญ่ไว้แต่ห่าง ประมาณทางโยชน์หนึ่งถึงกรุงศรี
    อังกุหร่าฝรั่งสั่งโยธี จะเข้าตีปากน้ำทำอุบาย
    เกณฑ์เภตราห้าสิบรีบไปก่อน เข้านครเหมือนหนึ่งมาจะค้าขาย
    ตั้งปลัดหัศเกนให้เป็นนาย คิดอุบายแก้ไขให้ได้การ
    กำปั่นน้อยร้อยลำสำหรับรบ บรรจุครบเครื่องสาตราโยธาหาญ
    ตั้งอังกฤษจิตุเวนเจนชำนาญ ดูคิดอ่านกองหนุนเป็นขุนพล
    เรือสำรองสองร้อยจะคอยซ้ำ ถึงเพลี่ยงพล้ำเปลี่ยนผลัดไม่ขัดสน
    อังกุหร่ากล้าหาญการประจญ เป็นนายพลกองหลังระวังภัย
    พอย่ำฆ้องกองหน้าทั้งห้าสิบ ออกแล่นลิบลับทางสว่างไสว
    ถึงยามสองกองกลางก็กางใบ ค่อยแล่นไปช้าช้าในสาคร
    ครั้นรุ่งสายฝ่ายฝรั่งอังกุหร่า ออกเภตราสองร้อยลอยสลอน
    คอยระวังฟังการจะรานรอน เป็นสามตอนตามทางห่างห่างมา
      ฝ่ายเรือเหล่าชาวด่านบ้านปากน้ำ ห้าสิบลำแล่นรายทั้งซ้ายขวา
    ตระเวนเวียนเปลี่ยนผลัดอยู่อัตรา คอยรักษาปากน้ำทุกค่ำคืน
    พอยามสองกองตระเวนเห็นกำปั่น ดูเรียงรันรายทางมากลางคลื่น
    สักเท่าไรไม่แน่แลกลางคืน จึงยิงปืนสัญญาให้ราใบ
      ฝ่ายปลัดหัศเกนเจนสมุทร เห็นเรือหยุดปากอ่าวเสาไสว
    รู้ว่าเหล่าชาวด่านออกต้านไว้ จะลดใบพูดจาจะช้าที
    จึงยิงปืนเป็นสำเหนียกเรียกทหาร ให้หักด่านรบพุ่งชาวกรุงศรี
    พวกโจรพร้อมล้อมยิงทิ้งอัคคี ชาวบุรีเรือจมล่มทลาย
    ฯลฯ
    เป็นโจรไล่ใกล้กลับรับราวี แกว่งอัคคีขว้างทิ้งแล้วยิงปืน
    ทหารโจรโยนโซ่เอาขอสับ ชาวด่านรับรบพลางมากลางคลื่น
    ฯลฯ
    ให้ตีกลองร้องเร่งทหารรบ มาสมทบถือพื้นแต่ปืนผา
    ลงเรือน้อยร้อยยี่สิบรีบออกมา พอเพลาสุริย์ฉายขึ้นพรายพรรณ
    ฯลฯ
    นายด่านไปไล่คนขึ้นบนป้อม สะพรั่งพร้อมโยธาทั้งหน้าหลัง
    ฯลฯ
    พอข้างหลังอังกุหร่าก็มาถึง สั่งให้ขึงตารางเหล็กลำละผืน
    พอคลุมลำกำปั่นกันลูกปืน ทหารยืมตามช่องคอยมองยิง
    พอลมแปรเข้าฝั่งอังกุหร่า ให้โยธาเทียบสำเภาเข้าตลิ่ง
    ข้างชาวด่านให้ทหารเอาหินทิ้ง พวกโจรยิงปืนปีนตีนกำแพง
    พวกบนป้อมหลอมตะกั่วคั่วทรายสาด จนถึงฟาดฟันกันด้วยขันแข็ง
    ฯลฯ
    พอมืดมนสนธยาเป็นราตรี พวกโจรตีด่านได้พอใกล้พลบ
    ขึ้นริบทรัพย์จับคนบนตลิ่ง เห็นผู้หญิงอยากได้ไล่ตลบ
    ฯลฯ
                สินสมุทดีใจเข้าไปขอมารดาเข้าไปชมเขตนคร นางสั่งสอนก็ระวังตน
    แล้วโฉมยงสั่งสอนสินสมุท ทรงเครื่องยุทธ์อย่างกษัตริย์รัดกระสัน
    ใส่เสื้อเกราะโพกผ้าเช็ดหน้าพลัน เหน็บกั้นหยั่นกริชเล็กล้วนเหล็กดี
    ถือดาบด้ำคร่ำทองของฝรั่ง ถวายบังคมลามารศรี
    ฯลฯ
                ศรีสุวรรณเมื่อได้ข่าวศึก ไม่แน่ใจว่าเป็นท้าวอุเทนหรือว่าใคร รู้แต่เพียงว่าเป็นทัพแขก จึงให้เตรียมทัพไว้ให้พร้อมที่จะออกไปรบกับข้าศึก ครั้นเช้าวันรุ่งขึ้นก็ยกทัพออกไป
    แล้วทรงเครื่องเคยประจญรณรงค์ มาขึ้นทรงพาชีให้คลี่คลาย
    ทหารแห่แลล้วนถืออาวุธ ปืนคาบชุดหอกดาบกำซาบสาย
    ทั้งปืนล้อก็ให้ลากมามากมาย ออกทางท้ายเมืองมาริมสาคร
    ถึงทุ่งกว้างหาว่าป้อมยี่สิบเส้น พอแลเห็นแขกฝรั่งนั่งสลอน
    ให้หหยุดยั้งฟังการจะราญรอน  พลนิกรตั้งปีกกาหน้ากระดาน
                ฝ่ายสินสมุทยังหยุดอยู่บนป้อมพร้อมทหาร เห็นทัพบกยอออกมาต้านทานก็หารือกับอังกุหร่า อังกุหร่าเห็นว่าควรดูท่าทีข้าศึกก่อน โดยรักษาป้อมค่ายไว้ ถ้าเขารบเราจึงรบเพื่อดูกำลังข้าศึก แต่สินสมุทไม่เห็นด้วย แล้วให้แบ่งพลกันคนละครึ่ง ตนจะออกไปรบกับเจ้าเมือง ส่วนอังกุหร่าให้รักษาป้อมไว้ แล้วสินสมุทก็นำทัพออกไปจนได้รบกับศรีสุวรรณ สินสมุทเห็นศรีสุวรรณคล้ายพระบิดาก็เกิดท้อใจไม่คิดหักหาญ ศรีสุวรรณได้ทีก็ขับม้าเข้าโจมตีสินสมุทเข้าที่อก กระเด็นตกม้าล้มพับลม ทัพเมืองรมจักรก็ตีทัพแขกแตกไป ศรีสุวรรณเห็นว่าจะตีหักข้าศึกไม่ได้ จึงโบกธงให้ถอยทัพกลับออกมาล้อมป้อมปราการไว้
                ฝ่ายฝรั่งอังกุหร่า จึงหารือกันว่าจะถอยสินสมุทกลับมา ถ้ารอถึงเช้าแล้วยังไม่กลับก็จะเลิกทัพกลับไป
                ฝ่ายสินสมุท ล้มสลบอยู่กับพื้นครั้นต้องละอองน้ำค้างในกลางคืนก็ฟื้นขึ้นมา แล้วภาวนาอาคมปัดเป่าความเจ็บปวดก็หายไป แล้วก็แค้นใจลุกกลับเข้าไปกลางทัพ ไล่พิฆาตเข่นฆ่าทหารข้าศึก จนแตกตื่นอลหม่านแล้วไปหยุดท้าอยู่หน้าค่ายให้ตัวนายออกมาชิงชัยกัน แล้วจึงกลับเข้าป้อมของฝ่ายตน
                วันรุ่งขึ้นสินสมุท ก็จับกระบี่ขึ้นม้าเคลื่อนพลออกไปร้องท้าหาตัวนายทัพที่รบกันเมื่อวาน ศรีสุวรรณเห็นเข้าก็สงสัยที่กุมารผู้นี้ต้องอาวุธของเราสิ้นชีวิตแล้ว เหตุไฉนจึงกลับออกมารบได้อีก จึงได้ทรงม้ามาหน้าทัพแล้วถามว่าทารกนี้นามใด เหตุไฉนจึงมาตีบุรีเรา สินสมุทจึงตอบว่า
      สินสมุทพูดจาภาษาเด็ก ถึงทั้งเล็กก็ไม่พรั่นประหวั่นไหว
    เราชื่อว่าสินสมุทวุฒิไกร พระอภัยบพิตรเป็นบิดา
    ล้วนเหล่ากอหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ ผ่านสมบัติบำรุงราษฎร์ศาสนา
    จะแล่นไปในทางกลางคงคา ชาวพารารบเราจึงเข้าตี
    ท่านชื่อไรจงบอกออกมาบ้าง เป็นขุนนางหรือบำรุงซึ่งกรุงศรี
    แม้นรักตัวกลัวตายวายชีวี อัญชลีแล้วจะกลับกองทัพไป  ฯ
                ศรีสุวรรณได้ฟังสินสมุทออกชื่อพระอภัยก็เกิดความสงสัยว่าจะเป็นพี่ของพระองค์ เมื่อมองดูกุมารแล้วก็คล้ายกับพระเชษฐา แต่ผมหยิกอย่างยักษ์ สองตาก็แดงจึงยังแคลงใจ จึงตอบคำไปว่าบิดาของเจ้าอยู่ที่ไหน ตัวเราเป็นเจ้ากรุงรมจักร ให้ไปบอกออกมารบกัน
                สินสมุทได้ฟังก็โกรธบอกให้มารบกันตัวต่อตัว อย่าให้ไพร่พลมายุ่งเกี่ยวด้วย แล้วก็ขับม้าเข้าต่อสู้กับศรีสุวรรณ
                ศรีสุวรรณนั้นชำนาญในการรบได้ตีถูกกุมาราถึงห้าหกที แต่สินสมุทไม่ช้ำชอกแต่อย่างใด แล้วเข้าชิงกระบองของศรีสุวรรณ เอามาตีศรีสุวรรณตกจากม้า พวกไพร่พลก็กรูกันจับศรีสุวรรณไว้ได้แล้วพากันกลับเข้าค่าย แล้วสินสมุทก็ซักถามนามวงศ์ของศรีสุวรรณ บอกว่าเห็นพักตรละม้ายคล้ายพระบิดาของตน
                ฝ่ายศรีสุวรรณเห็นธำมรงค์เรือนครุฑบุษราของพระเชษฐาก็ประจักษ์ใจว่าเป็นของพระเชษฐา คิดว่าพระเชษฐาคงได้ดูแลกุมารผู้นี้เป็นลูก จึงได้เอาแหวนผูกข้อมือของกุมารนี้ไว้ แล้วจึงบอกว่าธำมรงค์ที่ผูกมือของสินสมุทนั้นเป็นของพระเชษฐา ทั้งผืนผ้าเจียรบาดที่คาดมาก็รู้ว่าเป็นของพระอภัยมณี แล้วบอกสินสมุทว่าพระองค์เป็นน้องพระอภัยชื่อว่าศรีสุวรรณ
                สินสมุทได้ฟังก็เห็นสมกันกับที่พระบิดาบอกไว้ จึงถามให้แน่ใจว่า พระอภัยมณีนั้นมีวิชาชำนาญประการใด และย่าปู่อยู่นิเวศน์ประเทศไหน ถ้าตอบได้ถูกต้องจึงจะเชื่อได้ว่าเป็นอาของตน
                ศรีสุวรรณก็เล่าความแต่หนหลังทุกอย่างให้ฟัง สินสมุทได้ฟังแล้วก็ทรุดตัวลงอภิวาท กอดบาทพระเจ้าอา แล้วขออภัยแล้วบอกว่าตนได้ออกติดตามพระบิดามาช้านาน แต่ก็ยังไม่พบ
                ศรีสุวรรณทราบเรื่องแล้วก็สงสารหลานยิ่งนักแล้วชวนหลานเข้าเมือง สินสมุททูลว่าพระมารดายังค้างอยู่กลางทะเล ศรีสุวรรณจึงไปบอกให้สินสมุทพาพระองค์ ไปเชิญนางสุวรรณมาลีในฐานะที่นางเป็นพระพี่นางของพระองค์เพื่อชวนเข้าธานี
                ฝ่ายท้าวทศวงศ์ ทราบความว่าข้าศึกจับศรีสุวรรณไปได้ก็เสียใจ สั่งอำมาตย์ให้จัดแต่งบรรณาการไปให้ข้าศึกบอกว่า ทางเมืองรมจักรของอนง้อ ขอเอากรุงรมจักรไถ่ชีวิตศรีสุวรรณ อำมาตย์จัดการตามรับสั่งแล้วก็เอาของบรรณาการใส่เรือบัลลังก์ทองล่องมาถึงบ้านด่านลาน พบแต่ค่ายของข้าศึก แต่ไม่มีผู้คนอยู่เลย จึงกลับไปทูลท้าวทศวงศ์ว่าไม่พบใคร เห็นแต่ศพคนตายอยู่กลาดดาษดา
                ท้าวทศวงศ์ได้ฟังแล้วก็ให้สังเวช จึงปรึกษาพวกข้าเฝ้า แล้วให้ไปหาสามเจ้าพราหมณ์มา แล้วท้าวทศวงศ์ก็แจ้งให้พระมเหสีกับพระธิดาถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นางอรุณรัศมีได้ทราบแล้วก็เศร้าโศกเสียใจยิ่งนัก บรรดาเสนาข้าเฝ้าที่เศร้าสลด ทุกตำบลชนบท แถวถนนหนทางกลางเมืองไม่มีผู้ใดสัญจร


    • Update : 30/5/2554
    © Copyright 2011 www.watnongmuang.com All rights reserved 999arch