หน้าแรก สมาชิก รายการวัตถุมงคล ตะกร้าวัตถุมงคล วิธีชำระวัตถุมงคล วิธีบูชาวัตถุมงคล ประวัติวัด ติดต่อวัด เว็บบอร์ด
สมาชิก Log in
อีเมล์
รหัสผ่าน
สมัครสมาชิกใหม่
ลืมรหัสผ่าน
















ค้นหาวัตถุมงคล
 
 
 
หมวดวัตถุมงคล
  เครื่องราง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง หลวงพ่อสวัสดิ์
  พระเครื่อง หลวงปู่พิมพ์มาลัย
  พระเครื่อง หลวงพ่อสง่า
วัตถุมงคลของคุณ
รหัสวัตถุมงคล ราคา จำนวน
ยังไม่มีวัตถุมงคลอยู่ในตะกร้า
  • ชำระค่าวัตถุมงคล
  • แก้ไขรายการวัตถุมงคล
  • วิธีสั่งบูชาวัตถุมงคล
  •  

    การแสดงธรรมของพระพุทธเจ้า/1
    การแสดงธรรมของพระพุทธเจ้า

                การแสดงธรรมของพระพุทธเจ้ามีที่มาและมีขั้นตอนตามลำดับ ดังนี้

    พระกิตติศัพท์
                จากเวรัญชกัณฑ์  มีเรื่องราวที่แสดงให้ทราบดังนี้
                เมื่อพระผู้มีพระภาคพระพุทธเจ้าเสด็จจาริกไปประทับ ณ ที่ใด  จะมีการกล่าวขานถึงพระผู้มีพระภาค ของมหาชนโดยทั่วไป ว่า
                พระสมณโคดม ศากยบุตร  ทรงผนวชจากศากยตระกูล
                ก็แล  พระกิตติศัพท์อันงามของท่านพระโคดมพระองค์นั้น  ขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า  พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น  ทรงเป็นพระอรหันต์  ทรงตรัสรู้เองโดยชอบ  ทรงบรรลุวิชชา และจรณะ  เสด็จไปตี  ทรงทราบโลก  ทรงเป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก  ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า  ทรงเป็นศาสดาของเทพ และมนุษย์ทั้งหลาย  ทรงเป็นพุทธ  ทรงเป็นพระผู้มีพระภาค  พระองค์ทรงทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก  พรหมโลกให้แจ้งชัด  ด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เอง  แล้วทรงสอนหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์  เทพ และมนุษย์ให้รู้  ทรงแสดงธรรมในเบื้องต้น  งามในท่ามกลาง  งามในที่สุด  ทรงประกาศพรหมจรรย์  พร้อมทั้งอรรถ ทั้งพยัญชนะ  ครบบริบูรณ์บริสุทธิ์  อนึ่งการเห็นพระอรหันต์ทั้งหลาย  เป็นความดี

    การเข้าเฝ้า พระศาสดา และทูลถามปัญหา
                เมื่อผู้นั้นได้ไปในพุทธสำนัก  ครั้นถึงแล้วได้ทูลปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค  ครั้นผ่านการทูลปราศรัยพอให้เป็นที่บรรเทิง  เป็นที่ระลึกถึงกันไปแล้ว  จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง  แล้วจึงทูลถามพระศาสดาถึงปัญหาที่ตนสงสัยไปตามลำดับ  พระผู้มีพระภาคก็จะทรงตอบปัญหา ที่ผู้นั้นสงสัยไปตามลำดับ
                ตัวอย่างการเข้าเฝ้าทูลถามปัญหาของเวรัญชพราหมณ์  บางตอนมีดังนี้
               เวรัญชพราหมณ์      ท่านพระโคดมมีปกติไม่ไยดี
                พระผู้มีพระภาค      จริงเช่นนั้น  เหตุที่เขากล่าวหาเราว่ามีปกติดีไม่ไยดี  ชื่อว่ากล่าวถูก  เพราะความไยดีในรูป  เสียง  กลิ่น รส  โผฏฐัพพะ  เหล่านั้น  ตถาคตละได้แล้ว  ตัดรากขาดแล้ว  ทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วน  ทำไม่ให้มีในภายหลัง  มีไม่เกิดอีกต่อไปเป็นธรรมดา  นี้แล เหตุที่เขากล่าวหาเราว่ามีปกติไม่ไยดี  ดังนี้ชื่อว่ากล่าวถูก  แต่ไม่ใช่เหตุที่ท่านมุ่งกล่าว
                   ว.  ท่านพระโคดมไม่มีสมบัติ
                   ภ.  จริงเช่นนั้น เพราะสมบัติ คือ  รูป  เสียง  กลิ่น  รส  โผฏฐัพพะ  เหล่านั้นตถาคตละได้แล้ว.....
                   ว.  ท่านพระโคดม กล่าวการไม่ทำ
                   ภ.  จริงเช่นนั้น เพราะเรากล่าวการไม่ทำกายทุจริต  วจีทุจริต  มโนทุจริต  เรากล่าวการไม่ทำบาปอกุศลหลายอย่าง.....
                   ว.  ท่านพระโคดมกล่าวการขาดสูญ
                   ภ.  จริงเช่นนั้น เพราะเรากล่าวความขาดสูญแห่งโทสะ  โมหะ  เรากล่าวความขาดสูญแห่งสภาพที่เป็นบาป อกุศลหลายอย่าง.....
                   ว.  ท่านพระโคดมช่างรังเกียจ
                   ภ.  จริงเช่นนั้น เพราะเรารังเกียจกายทุจริต  วจีทุจริต  มโนทุจริต  เรารังเกียจความถึงพร้อมแห่งสภาพที่เป็นบาปอกุศลหลายอย่าง.....
                   ว.  ท่านพระโคดม ช่างจำกัด
                   ภ.  จริงเช่นนั้น เพราะเราแสดงธรรมเพื่อจำกัด ราคะ  โทสะ  โมหะ และแสดงธรรมเพื่อกำจัดสภาพที่เป็นบาปอกุศล หลายอย่าง.....
                   ว.  ท่านพระโคดมช่างเผาผลาญ
                   ภ.  จริงเช่นนั้น เพราะเรากล่าวธรรมที่เป็นบาปอกุศล คือ  กายทุจริต  วจีทุจริต  มโนทุจริต  ว่าเป็นธรรมที่ควรเผาผลาญ  ธรรมที่เป็นบาปอกุศลที่ควรเผาผลาญ  อันผู้ใดละได้แล้ว  ตัดรากขาดแล้ว  ทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วน  ทำให้ไม่มีในภายหลัง  มีไม่เกิดอีกต่อไปเป็นธรรมดา  เรากล่าวผู้นั้นว่าเป็นคนช่างเผาผลาญ.....
                   ว.  ท่านพระโคดมไม่ผุดเกิด
                   ภ.  จริงเช่นนั้น เพราะการนอนในครรภ์ต่อไป  การเกิดในภพใหม่  อันผู้ใดละได้แล้ว..... เรากล่าวผู้นั้นว่าไม่ผุดเกิด.....

    ทรงอุปมาด้วยลูกไก่
                ดูกรพราหมณ์  เปรียบเหมือนฟองไข่หลายฟอง  อันแม่ไก่กกดีแล้ว  อบดีแล้ว  ฟักดีแล้ว  ลูกไก่ตัวใดทำลายฟองไข่ออกมาได้โดยสวัสดีก่อนเขา  ลูกไก่ตัวนั้นควรเรียกว่าพี่หรือน้อง
                   ว.   ควรเรียกว่าพี่  เพราะมันแก่กว่าเขา
                   ภ.  เราก็เหมือนอย่างนั้น  เมื่อประชาชนตกอยู่ในอวิชชา  เกิดในฟอง  เราผู้เดียวเท่านั้นในโลกได้ทำลายฟอง คือ อวิชชา  แล้วได้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณอันยอดเยี่ยม  เรานั้นเป็นผู้เจริญที่สุดประเสริฐที่สุดของโลก  เพราะความเพียรของเราที่ปรารภแล้ว  ไม่ย่อหย่อน  สติดำรงมั่นไม่ฟั่นเฟือน  กายสงบไม่กระสับกระส่าย  จิตตั้งมั่น  อารมณ์เป็นหนึ่ง

    ทรงแสดงฌาณสี่ และวิชชาสาม
                เรานั้น สงัดแล้วจากกาม  จากอกุศลธรรม  ได้บรรลุ ปฐมฌาณ..... ทุติยฌาณ..... ตติยฌาณ..... จตุตถฌาณ  ไม่ทุกข์  ไม่มีสุข  เพราะละทุกข์  และดับโสมนัส โทมนัสก่อน ๆ   มีอุเบกขา  เป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่
                เรานั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ ผุดผ่อง  ไม่มีกิเลส  ปราศจากอุปกิเลส  อ่อน  ควรแก่การงาน  ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวแล้ว  ได้น้อมจิตไปเพื่อ บุพเพนิวาสานุสติญาณ  เรานั้นย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก..... วิชชาที่หนึ่งนี้แล  เราได้บรรลุแล้วในปฐมยามแห่งราตรี  อวิชชาเรากำจัดได้แล้ว  วิชชาเกิดแก่เราแล้ว  ความมืดเรากำจัดได้แล้ว  แสงสว่างเกิดแก่เราแล้ว..... ความชำแรกออกครั้งที่หนึ่งของเรานี้แล  ได้เป็นเหมือนการทำลายออกจากฟองแห่งลูกไก่ ฉะนั้น
                เรานั้นเมื่อจิตเป็นสมาธิ..... ได้น้อมจิตไปเพื่อญาณ  เครื่องรู้จุติ และอุบัติของสัตว์ทั้งหลาย..... เราย่อมเล็งเห็นหมู่สัตว์ผู้กำลังจุติ  กำลังอุบัติ  เลว  ประณีต.....ได้ดี ตกยาก  ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์  ย่อมรู้ชัดถึงหมู่สัตว์ผู้เข้าถึงตามกรรม  ด้วยประการดังนี้  วิชชาที่สองนี้แล  เราได้บรรลุแล้วในมัชฌิมยามแห่งราตรี  อวิชชาเรากำจัดได้แล้ว  วิชชาเกิดแก่เราแล้ว..... ความชำแรกออกครั้งที่สองของเรา ได้เป็นเหมือนการทำลายออกจากฟองแห่งลูกไก่ ฉะนั้น
                เรานั้นเมื่อจิตเป็นสมาธิ..... ได้น้อมจิตไปเพื่ออาสวักขยญาณ   เรานั้นได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า  นี้ทุกข์  นี้เหตุแห่งทุกข์  นี้ความดับทุกข์  นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์  ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า  เหล่านี้อาสวะ  นี้เหตุให้เกิดอาสวะ  นี้ความดับอาสวะ  นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับอาสวะ  เมื่อเรานั้น รู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้  จิตได้หลุดพ้นแล้ว แม้จากกามาสวะ  ภวาสวะ  อวิชชาสวะ  เมื่อจิตหลุดพ้นแล้วก็มีญาณหยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว  ได้รู้ด้วยปัญญาอันยิ่งว่า  ชาติสิ้นแล้ว พรหมณ์จรรย์อยู่จบแล้ว  กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว  กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี  วิชชาที่สามนี้แล  เราได้บรรลุแล้วในปัจฉิมยามแห่งราตรี  อวิชชาเรากำจัดได้แล้ว  วิชชาเกิดแก่เราแล้ว..... ความชำแรกออกครั้งที่สามของเรา  ได้เป็นเหมือนการทำลายออกจากฟองแห่งลูกไก่  ฉะนั้น


    • Update : 30/5/2554
    © Copyright 2011 www.watnongmuang.com All rights reserved 999arch