หน้าแรก สมาชิก รายการวัตถุมงคล ตะกร้าวัตถุมงคล วิธีชำระวัตถุมงคล วิธีบูชาวัตถุมงคล ประวัติวัด ติดต่อวัด เว็บบอร์ด
สมาชิก Log in
อีเมล์
รหัสผ่าน
สมัครสมาชิกใหม่
ลืมรหัสผ่าน
















ค้นหาวัตถุมงคล
 
 
 
หมวดวัตถุมงคล
  เครื่องราง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง หลวงพ่อสวัสดิ์
  พระเครื่อง หลวงปู่พิมพ์มาลัย
  พระเครื่อง หลวงพ่อสง่า
วัตถุมงคลของคุณ
รหัสวัตถุมงคล ราคา จำนวน
ยังไม่มีวัตถุมงคลอยู่ในตะกร้า
  • ชำระค่าวัตถุมงคล
  • แก้ไขรายการวัตถุมงคล
  • วิธีสั่งบูชาวัตถุมงคล
  •  

    ไทยกับสงครามมหาเอเซียบูรพา/5

    การปฏิบัติการทางอากาศ

                    ตามหลักการร่วมยุทธระหว่างไทยกับญี่ปุ่นที่ได้ลงนามร่วมกัน เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2484
    ได้กำหนดให้ต่างฝ่ายต่างทำการยุทธในด้านของตน ถ้ามีความจำเป็นกองทัพอากาศญี่ปุ่น จะเข้าปฏิบัติการร่วมรบกับกองทัพอากาศไทยด้วย
                    ในการปฏิบัติการสนับสนุนกองทัพพายัพ กองทัพอากาศได้จัดตั้งกองบินใหญ่ผสมภาคพายัพขึ้น
    โดยให้ขึ้นตรงต่อกองทัพอากาศสนาม ใช้เป็นหน่วยสนับสนุนกองทัพพายัพทางยุทธศาสตร์ และยุทธวิธีได้ปฏิบัติการบินลาดตระเวนตรวจการณ์ และโจมตีทิ้งระเบิดในดินแดนสหรัฐไทยเดิม และการทิ้งใบปลิง
                    สำหรับการสนับสนุนทั่วไป มีการปฏิบัติดังนี้
                        1. การบินสะกัดกั้น  เพื่อสะกัดกั้นการบุกรุกของฝ่ายข้าศึก ได้มีการปฏิบัติการอย่างกล้าหาญหลายครั้ง
                        2. การบินรักษาเขต โดยได้ส่งกำลังทางอากาศผลัดเปลี่ยนกันขึ้นปฏิบัติการบินรักษาเขต บริเวณพรมแดนไทยกับสหรัฐไทยเดิมทุกวัน โดยเฉพาะบริเวณเชียงใหม่และเชียงราย เพื่อป้องกันการโจมตีจาก
    เครื่องบินข้าศึกที่ล้ำพรมแดนไทยเข้ามา และเมื่อกองทัพพายัพเข้ายึดสหรัฐไทยเดิมได้
    กองทัพอากาศสนามก็ได้ส่งกำลังทางอากาศปฏิบัติภารกิจบินลาดตระเวนและรักษาเขตสหรัฐไทยเดิม เพื่อป้องกันดินแดนภายใต้การปกครองของกองทัพพายัพมิให้ถูกโจมตีทางอากาศของฝ่ายข้าศึก ฝูงบินบางส่วนได้ย้ายไปประจำการที่สนามบินเชียงตุง เมื่อเดือนมิถุนายน 2485
                        3. การบินโจมตีทิ้งระเบิด   ได้สนับสนุนการรุกเข้าสหรัฐไทยเดิมของกองทัพพายัพอย่างต่อเนื่อง
    และแน่นแฟ้น ทำให้กองทัพพายัพสามารถปฏิบัติภารกิจตามที่ได้รับมอบลุล่วงไปด้วยดีทุกประการ
                        4. การลำเลียงขนส่งทางอากาศ  ได้ปฏิบัติการลำเลียงขนส่งยาและเวชภัณฑ์ไปส่งให้หน่วยต่าง ๆ ของกองทัพพายัพในแนวหน้าตามที่ได้รับการร้องขอ

    สถานการณ์เมื่อใกล้สิ้นสุดสงคราม

                    ในปลายปี พ.ศ. 2487 ถึงกลางปี พ.ศ. 2488  ญี่ปุ่นรู้ตัวดีว่าจะแพ้สงคราม
    จึงได้เตรียมการเข้าปลดอาวุธกองทัพไทย หลังจากถอนตัวจากพม่าโดย จอมพล เคานต์ เทรา อุชิ  ผู้บัญชาการทหารสูงสุด กองกำลังญี่ปุ่นด้านทักษิณ  ได้มอบอำนาจในการปลดอาวุธกองทัพไทยให้แก่ พลโท นากามูระ ผู้บัญชาการทหารญี่ปุ่นประจำประเทศไทยแต่ผู้เดียว
                    ในพระนครทหารไทยเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้กับทหารญี่ปุ่น ฝ่ายเสรีไทยกำลังเตรียมตัวที่จะเข้าต่อสู้กับ
    ญี่ปุ่นโดยเปิดเผย และตำรวจสันติบาลได้เข้าคุมจุดสำคัญที่มีนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของญี่ปุ่นพักอาศัยอยู่
                    สำหรับความช่วยเหลือจากฝ่ายสัมพันธมิตรด้านเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ในบังคับบัญชาของพลเรือเอก
    ลอร์ด หลุยส์ เมาท์แบตเทน  ได้แจ้งให้ฝ่ายไทยทราบว่า ในขั้นต้นฝ่ายสัมพันธมิตรจะช่วยเหลือได้เฉพาะแต่
    กำลังทางอากาศคือ เครื่องบินและพลร่มเท่านั้น ส่วนกำลังทางพื้นดิน ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติการของกองทัพที่ 14
    ของอังกฤษ ซึ่งกำลังรุกทางด้านพม่า และการยกพลขึ้นบกที่เกาะสิงคโปร์กับแหลมมลายูอีกด้านหนึ่ง ดังนั้น
    ทัพไทยต้องช่วยตัวเองให้มาก
                    แผนการจัดตั้งรัฐบาลชั่วคราวของไทยเมื่อฝ่ายสัมพันธมิตรรุกใหญ่นั้น ฝ่ายอังกฤษเห็นว่า
    ควรไปตั้งทางด้านทิศตะวันตกของประเทศ เพื่อร่วมมือกับกองทัพที่ 14 ของอังกฤษ  และต่อไปอาจย้ายไปตั้งอยู่ในประเทศอินเดีย แต่ฝ่ายสหรัฐ ฯ เห็นว่าควรไปตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกของประเทศ

    การดำเนินการของฝ่ายไทยก่อนสงครามยุติ
                    การต่อต้านญี่ปุ่นของไทยได้เริ่มตั้งแต่ญี่ปุ่นบุกประเทศไทย แม้ว่าในระยะต่อมา
    ไทยจำเป็นต้องจำยอมร่วมเป็นพันธมิตรของญี่ปุ่นเนื่องด้วยสถานะการณ์บีบบังคับ แต่ในขณะเดียวกันแนวความคิดในการต่อต้านญี่ปุ่น เพื่อรักษาไว้ซึ่งเอกราชและอธิปไตย ก็ได้ดำเนินการต่อมาในรูปแบบต่าง ๆ  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การดำเนินการในทางลับที่เรียกว่า ขบวนการใต้ดิน ทั้งภายในและภายนอกประเทศ  โดย จอมพล ป.พิบูลสงคราม  และขบวนการเสรีไทย
                    ได้มีการให้คณะนายทหารไทยจำนวนหนึ่งออกไปติดต่อกับกองพลที่ 93 ของจีน ครั้งแรกเมื่อวันที่
    18 มกราคม 2487  หลังจากที่ได้มีการประสานงานเมื่อเดือนมีนาคม 2486  ซึ่งได้รับการตอบสนองจาก
    จอมพล เจียงไคเช็ค จากจุงกิงว่า  "ยินดีติดต่อด้วย ดีใจที่จะได้ทราบความจริง เพราะมัวหลงรบกันอยู่ 2 ปี
    เสียผู้คนและอาวุธยุทโธปกรณ์ไปมากมาย ขอให้ฝ่ายไทยเริ่มดำเนินการติดต่อได้ แต่บัดนี้"   ต่อมาเมื่อวันที่  5 กุมภาพันธ์ 2487  คณะผู้ติดต่อของไทยก็ได้เข้าพบผู้บัญชาการกองพลที่ 93 พร้อมด้วยนายทหารจีนชั้นผู้ใหญ่  การพบปะเจรจาเป็นไปด้วยดี  ฝ่ายจีนแจ้งว่า ฝ่ายจีนและสัมพันธมิตรเห็นใจไทยอยู่แล้ว และจะช่วยแจ้งให้ทางอังกฤษและสหรัฐ ฯ  ทราบความจริงตามที่ฝ่ายไทยต้องการ
                    การพบกับฝ่ายจีนครั้งสำคัญเป็นการพบเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2487 คณะผู้แทนกองบัญชาการทหารสูงสุด ได้ไปพบกับผู้บัญชาการกองพลที่ 93 มีการตกลงกันในด้านการทหาร โดยกำหนดเอาแนวแม่น้ำลำ - แม่น้ำโขง - ปางสัจจา  และเส้นเขตแดนระหว่างแคว้นยูนนานของจีนกับประเทศพม่าเป็นเส้นปันแดนของแต่ละฝ่ายไม่ให้
    ล่วงล้ำกัน นอกจากนี้ยังแจ้งให้ฝ่ายไทยทราบว่า ทางฝ่ายสัมพันธมิตรกำลังเตรียมการรุกใหญ่ กองทัพจีนได้จัดกำลังไว้  10 กองพล  สำหรับการรุกเข้าทางเหนือของประเทศพม่าทางด้านเมือง ลา เฉียว เพื่อสมทบกับกำลังของอังกฤษ ซึ่งจะทำการรุกจากพรมแดนประเทศอินเดีย
                นอกจากนี้จอมพล ป.พิบูลสงคราม ยังได้จัดตั้งกองทัพที่ 2 และกองพลที่ 7  ขึ้นตามแผนยุทธการที่ 7  เตรียมร่วมมือกับกองทัพจีน เพื่อขับไล่ญี่ปุ่นออกไปจากดินแดนไทย  กับได้ดำริที่จะย้ายเมืองหลวงไปตั้งที่จังหวัดเพชรบูรณ์  แต่การย้ายเมืองหลวงก็ล้มเลิกไป เมื่อจอมพล ป.พิบูลสงคราม พ้นจากอำนาจหน้าที่ในรัฐบาล การติดต่อระหว่างกองทัพไทยกับกองทัพจีน ตามนโยบายของ จอมพล ป.พิบูลสงคราม  ก็ต้องระงับไปโดยปริยาย
                ทางด้านกองทัพรัฐบาลซึ่งมีนาย ควง อภัยวงศ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ยกเลิกตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด และแปรสภาพเป็นกองทัพใหญ่ โดยแต่งตั้งให้ พลเอก พจน์ พหลโยธิน (พระยาพหลพลพยุหเสนา) ดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่
                ทางด้านกองทัพพายัพ ได้มีการโยกย้ายนายทหารชั้นผู้ใหญ่หลายนาย  สำหรับการติดต่อกับกองทัพจีนนั้น  แม่ทัพกองทัพพายัพได้มีคำสั่งถึงกองพลที่ 3 ว่า คงให้ทำต่อไปตามเดิม แต่รัฐบาลจะไม่รับรู้ และรับผิดชอบด้วย ให้ถือว่าเป็นการทำกันเอง ดังนั้น ผู้บัญชาการกองพลที่ 3  จึงสั่งให้ระงับการติดต่อกับกองทัพจีนไว้ก่อน
                ในด้านการปฎิบัติต่อเสรีไทย ทั้งสายสหรัฐ และสายอังกฤษ  จอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้ให้การสับสนุนอย่างลับ ๆ  ได้สั่งให้แต่ละฝ่ายช่วยเหลือสมาชิก ขบวนการเสรีไทยที่ลอบเข้ามาในประเทศ ให้ได้รับความสะดวกในการปฎิบัติการ และให้ได้รับความปลอดภัย
              ในวันที่ 15 สิงหาคม 2488  ญี่ปุ่นได้ประกาศยอมจำนนต่อฝ่ายสัมพันธมิตรโดยไม่มีเงื่อนไข

    ไทยประกาศสันติภาพ

                รัฐบาลได้รับดำเนินการประกาศสันติภาพในวันที่ 16 สิงหาคม 2488 มีสาระสำคัญคือ  การประกาศสงครามของไทยต่ออังกฤษและสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2485 เป็นโมฆะ เนื่องจากประเทศไทยเคยมีนโยบายอันแน่วแน่ที่จะรักษาความเป็นกลาง และจะต่อสู้การรุกรานของต่างประเทศทุกวิถีทาง  ซึ่งได้แสดงให้เห็นประจักษ์แล้วเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2484  ได้มีการต่อสู้การรุกรานทุกแห่ง  ทหาร  ตำรวจ และประชาชนพลเมือง  ได้เสียชีวิตไปในการนี้เป็นอันมาก  การประกาศสงครามดังกล่าวเป็นการผิดจากเจตจำนงของประชาชนชาวไทย  ไม่ผูกพันประชาชนชาวไทย ในส่วนที่เกี่ยวกับสหประชาชาติ ประเทศไทยได้ตัดสินใจที่จะให้กลับคืนสัมพันธไมตรีอันเคยมีมาก่อนวันที่ 8 ธันวาคม 2484 และพร้อมที่จะร่วมมือเต็มที่กับสหประชาชาติ ในการสถาปนาเสถียรภาพในโลก  บรรดาดินแดนที่ญี่ปุ่น ได้มอบให้ไทยครอบครอง ประเทศไทยพร้อมที่จะให้คืนกลับไป ส่วนบรรดากฎหมายอันมีผลเป็นปฎิปักษ์ต่อสหรัฐ ฯ  บริเตนใหญ่ และเครือจักรวรรดิ์ ก็จะพิจารณายกเลิก  บรรดาความเสียหาย จากกฎหมายเหล่านั้น ก็จะได้รับการชดใช้โดยธรรม

    ท่าทีของสัมพันธมิตรต่อไทยหลังสงครามยุติ
                เนื่องจากอังกฤษได้รับผลกระทบกระเทือนมากกว่า สัมพันธมิตรอื่นใด ในระหว่างสงคราม   ดังนั้น เมื่อสงครามยุติลง อังกฤษจึงยังคงถือว่ามีสถานะสงครามกับไทย และมุ่งที่จะเรียกร้องคิดบัญชีกับประเทศไทย อย่างเต็มที่
                เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2488 อังกฤษได้ส่งกองพลที่ 7 (อินเดีย)  เข้ามาปลดอาวุธกองทัพญี่ปุ่น ในประเทศไทยและพลเรือเอก ลอร์ด หลุยส์ เมาท์แบตเทน ก็ได้ยื่นร่างข้อตกลง (Preliminary Military  Agreement)  รวม 21 ข้อ  ต่อคณะผู้แทนทางหารของไทย ที่เดินทางไปทำความตกลงกับฝ่ายสัมพันธมิตรที่เมือง แคนดี้ ในเกาะลังกา  ข้อตกลงดังกล่าวเป็นเงื่อนไขการยอมแพ้ โดยรวมยิ่งกว่าเรื่องการทหารโดยตรง
                ส่วนสหรัฐ ฯ ยังเห็นประเทศไทยในฐานะเป็นมิตรมากกว่าอังกฤษ ดังจะเห็นได้จากคำแถลงของนาย เบอร์นส์ (Byrnes)  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ ฯ  เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2488  ซึ่งกล่าวว่า  ตลอดเวลา 4 ปีที่แล้วมา  รัฐบาลสหรัฐ ฯ ถือว่าประเทศไทยมิใช่ศัตรู แต่เป็นประเทศที่จะต้องปลดปล่อยจากศัตรู เมื่อบัดนี้ ประเทศไทยได้รับการปลดปล่อยแล้ว  รัฐบาลสหรัฐ ฯ เชื่อว่าประเทศไทยจะกลับเข้าสู่สถานะเดิม ในวงสังคมชาติอิสสระ มีอธิปไตย และเอกราช
                ดังนั้น สหรัฐ ฯ จึงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยเหลือไทย ผ่อนหนักให้เป็นเบาจากการบีบคั้นของ อังกฤษและจีน  โดยเฉพาะความกดดันด้านจีน มีผลกระทบต่อเสถียรภาพของไทย โดยมุ่งหวังที่จะให้ไทยอยู่ในเขตอำนาจการปฎิบัติการของตน และเตรียมส่งกองทัพจีนเข้ามาปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นในประเทศไทย รัฐบาลไทยจึงได้ตกลงใจปลดทหารไทย ซึ่งในขณะนั้นปฎิบัติการอยู่ เหนือเส้นขนานที่ 16 (ซึ่งตามการประชุมที่ปอตสดัม เมื่อปลายเดือนกรกฎาคม 2488 จีนจะรับผิดชอบพื้นที่เหนือเส้นขนานที่ 16 ขึ้นไป)  โดยรีบด่วนเพื่อป้องกันการปะทะกับทหารจีน
                ปัญหาเรื่องเขตอำนาจของยุทธบริเวณของจีนด้านประเทศไทย  สหรัฐ ฯ ได้ยื่นมือเข้ามาตัดสินปัญหาดังนี้
                หากการปลดอาวุธของกองกำลังทหารญี่ปุ่น ถือตามการแบ่งเขตรับผิดชอบของกองบัญชาการทหารสูงสุด ฝ่ายสัมพันธมิตรแล้ว  ประเทศไทยจะถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน  อาจเกิดความปั่นป่วนไม่สงบขึ้นได้ ดังนั้น  ต่อมาเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2488  ประธานาธิบดีทรูแมน แห่งสหรัฐ ฯ จึงได้ออกคำสั่งทั่วไปที่ 1 กำหนดให้กองกำลังญี่ปุ่นตลอดทั่วประเทศไทย ทำการยอมจำนนต่อผู้บัญชาการทหารสูงสุดฝ่ายสัมพันธมิตร ด้านเอเซียตะวันออกเฉียงใต้แต่ผู้เดียว


    • Update : 27/5/2554
    © Copyright 2011 www.watnongmuang.com All rights reserved 999arch