หน้าแรก สมาชิก รายการวัตถุมงคล ตะกร้าวัตถุมงคล วิธีชำระวัตถุมงคล วิธีบูชาวัตถุมงคล ประวัติวัด ติดต่อวัด เว็บบอร์ด
สมาชิก Log in
อีเมล์
รหัสผ่าน
สมัครสมาชิกใหม่
ลืมรหัสผ่าน
















ค้นหาวัตถุมงคล
 
 
 
หมวดวัตถุมงคล
  เครื่องราง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง พระอาจารย์ป้อม
  พระเครื่อง หลวงพ่อสวัสดิ์
  พระเครื่อง หลวงปู่พิมพ์มาลัย
  พระเครื่อง หลวงพ่อสง่า
วัตถุมงคลของคุณ
รหัสวัตถุมงคล ราคา จำนวน
ยังไม่มีวัตถุมงคลอยู่ในตะกร้า
  • ชำระค่าวัตถุมงคล
  • แก้ไขรายการวัตถุมงคล
  • วิธีสั่งบูชาวัตถุมงคล
  •  

    ประวัติการกำเนิดของรักยม
    ประวัติการกำเนิดของรักยม

    รักยมดีทางเมตตามหานิยมแคล้วคลาด

             รักยมเป็นเครื่องรางของขลังอีกชนิดหนึ่งที่ประชาชนชาวไทยและประเทศเพื่อนบ้านนิยมกันมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายาย  โดยเฉพาะในหมู่พ่อค้าแม่ค้า  และคนที่ทำงานกลางคืน  แม้กระทั่งนักนิยมพระก็ยังแสวงหากัน  เพราะเป็นเครื่องรางของขลังจากวิชาไสยศาสตร์อีกชนิดหนึ่งเล่นกันจนถึงทุกวันนี้
       
             รักยมเกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยใดไม่ปรากฏในฐานะที่เราเป็นประชาชนชาวไทยคนหนึ่งที่นิยมเครื่องรางของขลังเคยพบเคยเห็นกันเป็นประจำส่วนมากเท่าที่ผู้เขียนเคยพบเห็นอยู่บ่อยรักยมจะเกิดแถวสนามพระทั่ว  ๆ ไป  แต่ที่แน่แถวท่าพระจันทร์และวัดราชนัดดาเองนี่เอง ถ้าผู้อ่านลองแวะเข้าไปในสนามพระก็จะเห็นรักยมนอนอยู่ในขวด
    เล็ก  ๆ เรียงรายเป็นร้อย ๆ เป็นพันส่วนมากเจ้าของแผงจะนั่งหลาวตกแต่งเองขายเอง  ทำความร่ำรวยอย่างมหาศาลมา
    แล้วหลายราย
       
             ลักษณะของรักยมคล้ายกุมารเล็ก ๆ ยืนพนมมือยกถึงคาง  มีด้วยกัน  2  ร่าง  อยู่ในขวดแช่น้ำมันจันทร์ที่หอมกรุ่นอยู่ตลอดเวลาชอบทองหยิบ – ทองหยอดผลไม้และของเล่นเด็กพร้อมด้วยน้ำหนึ่งแก้ว  อานิสงฆ์ก่อนผู้ที่จะนำไปใช้จะนำไปให้กับคณาจารย์ที่มีชื่อเสียงหรือหมอที่เล่นเครื่องรางของขลังนำไปปลุกเสกเสียก่อนแล้วจึงนำไปใช้การนำ
    ไปใช้นั้นก็ต้องใช้ในทางที่ถูกบางท่านได้นำไปบูชา  แล้วร่ำรวยมหาศาลมาแล้วก็มีในด้านอภินิหาร ประสบการณ์ก็เคยเกิดขึ้นกับผู้เลี้ยงมาแล้วมากมาย  (ผู้เขียนขอบอกว่ายังไม่เคยเลี้ยงมากก่อนอาศัยถามคณาจารย์เก่า ๆ ที่มีความเชื่อมั่นว่ารัก – ยมมีจริง  ผมจึงได้นำมาเขียนถ้าผิดถลาดขอให้ผู้รู้และผู้อ่านช่วยชี้แนะด้วย)
       
             มีเรื่องเล่ากันว่าในสมัยหนึ่ง  ในป่าหิมวันต์  เมืองเมืองหนึ่ง  เมืองนี้เป็นเมืองเงียบสงบ มองไปทางไหนก็มีแต่ป่าทั้งนั้น  ในป่านั้นก็มีพระฤๅษีชีไพรนั่งบำเพ็ญตะบะเต็มไปหมด  ในขบวนเหล่าฤๅษีนั้นก็มีพระพหลฤๅษีอยู่องค์หนึ่งทึ่เป็นใหญ่กว่าฤๅษีทั้งหลาย
       
             อยู่มาวันหนึ่งฤๅษีพหลนั้นได้เดินออกจากสถานที่บำเพ็ญตะบะนั้นเพื่อออกแสวงหาผลไม้ในป่ามาฉันท์ขณะที่เดินผ่านสระน้ำในป่านั้น  ก็มีดอกบัวชูช่อยู่ดาษดื่นฤๅษีพหลก็  เหลือบไปเห็นกุมารน้อยคู่หนึ่งนอนในดอกบัวนั้นจึงได้เก็มาเลี้ยงไว้ที่อาศรม  ฤๅษรพหลจึงตั้งชื่อสองกุมารน้อยว่ารัตตะกุมาร  กับ  ยมกะกุมาร ต่อมากุมารน้อยทั้งสองก็ได้
    ร่ำเรียนวิชา  กับพระอาจารย์ดาบสองค์นั้นจะมีความสามารถรอบรู้หมดทุกอย่าง  ส่วนฤๅษีพหนลนั้นก็ได้ถ่ายทอดวิชาให้อย่างหมดสิ้นในที่สุด  รัตตะกุมารกับยมกะกุมารก็เจริญเติบโต  จนเป็นหนุ่มใหญ่สมชายชาตรีทุกอย่าง สรุปแล้ว  รัตตะกุมารก็คือ  เจ้ารัก  ส่วนยมกะกุมาร ก็คือ  เจ้ายม

    สำหรับเจ้ารักนั้นเป็นผู้เลอโฉม  รวมทั้งหน้าตาลักษณะท่าทางมองแล้วเหมือนมานพน้อยมีรูปร่างมองแล้วไม่เบื่อตาเป็นที่ประทับใจแก่ผู้พบเห็นทั่วไป  ส่วนยมนั้นเล่าความหล่อเหลาด้อยกว่าเจ้ารักหน่อย  เพราะคนเราเกิดมารูปธรรมนามธรรมเหมือนอย่างกับเจ้ายมถึงแม้จะรูปชั่วตัวดำไปนิด  ถึงกระนั้นฤๅษีพหลก็ยังมีความรัก  ความสงสารยิ่งขึ้น  จึงมอบวิชาต่าง ๆ ให้กับเจ้ายมเป็นพิเศษ
       
             เป็นอันว่า  เรื่องเชี่ยวชาญในเชิงขบวนยุทธจักร  และเวทย์มนต์คาถาต้องยกให้เจ้ายมคนเดียวยุคนั้นวันหนึ่ง  รัตตุมาร  (เจ้ารัก)  กับยมกะกุมาร  (เจ้ายม)  สองพี่น้องก็คิดอยากจะไปเที่ยวหัวเมืองต่าง ๆ จึงได้กราบลาพระอาจารย์เพื่อออกแสวหาประสบการณ์ต่าง ๆ จึงได้ออกเดินทางจนไปถึงเมืองใหญ่แห่งหนึ่งด้วยความ
    ปรีชาสามารถต่าง ๆ ของกุมารน้อยทั้งสอง  จึงได้เข้ารับราชการกับพระราชาเมืองนั้น
       
             อยู่ต่อมาไม่นานพระราชาจึงแต่งตั้งให้รัตตะกุมาร  (เจ้ารัก)  เป็นทหารเอาไปครองแคว้นเมือง  เมืองหนึ่ง  ส่วนยมกะกุมาร  (เจ้ายม)  นั้น  พระราชาแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาเกี่ยวกับในด้านหัวเมืองต่าง ๆ ระหว่างที่รัตตะกุมาร  (เจ้ารัก)  รับราชการอยู่นั้นเพราะความหล่อเหลามานพน้อย  จึงเป็นที่หมายตาต้องใจของพระธิดาลูกเจ้าเมืองนั้นทั้งสอง
    จึงเกิดความรักใคร่กัยิ่งนานวันความรักยิ่งประทับแนบแน่นยิ่งขึ้น
       
             ต่อมาพระราชาได้ทราบข่าวของคนทั้งสองจึงไม่พอพระทัยทรงขัดขวางความรักทั้งสองอยู่ตลอดเวลา พระราชา  ทรงตรัสว่า  “เจ้ารักกับราชนิกุลไม่ควรคู่กัน”  พระราชาต้องการให้พระธิดาอภิเษกสมรสกับเจ้าชายอีกเมือง
    หนึ่ง ซึ่งเป็นราชตระกูลกษัตริย์เท่าเทียมกัน เมื่อเป็นเช่นนั้นพระราชาจึงตัดสินใจส่งพระธิดาไปฝากไว้กับเจ้าเมือง ๆ หนึ่ง
       
             รัตตะกุมาร  (เจ้ารัก)  ทราบข่าวว่าพระราชาได้แยกคนรักของตนไปอยู่เมืองอื่น  จึงเกิดความแค้นเคืองเป็นยิ่ง
    นักเจ้ารักจึงวางแผนฆ่าพระราชาอยู่ตลอดเวลาส่วนเจ้ายมคนน้องถึงแม้จะปมด้วยของชีวิตแต่ก็เป็นคนรอบคอบเป็นคน
    อารมณ์เย็นจึงได้มายับยั้งการวางแผนฆ่าพระราชาเพราะมันจะมีความผิดอย่างมหันต์
       
             สามวันผ่านมาเจ้ารักก็กินไม่ได้นอนไม่หลับจะนั่งจะเดินก็กระสับกระส่ายอยู่ตลอดเวลาเพราะด้วยพิษรักอันแสนเสน่หาของพระธิดาองค์นั้น  จึงหน้ามืดตามัว  คิดจะปลงพระชนม์จึงได้ลอบเข้าไปในพระราชวัง  จนถึงห้องบรรทมของพระราชาและได้ใช้อาวุธคู่มือ  สับพระราชาอย่างไม่มีชิ้นดี  จนพระราชาสิ้นพระชนม์
       
            เมื่อฤๅษีพหลผู้เป็นพระอาจารย์ทราบข่าวการกระทำของ  รัตตะกุมาร  (เจ้ารัก)  จึงเกิดความโกรธแค้นเคืองยิ่งนัก ที่ศิษย์ของตนละเมิดคำสั่งสอน  จึงได้เรียกกุมารทั้งสองกลับมาเมื่อกุมารทั้งสองเดินทางกลับมาถึงอารมของฤๅษีพหลผู้เป็นอาจารย์  เจ้ารักจึงได้สำนึกผิดและได้สารภาพต่อผู้เป็นพระอาจารย์และมีความเสียใจเป็นอย่างยิ่งที่ละเมิดคำ
    สั่งสอนของพระอาจารย์ฤๅษีพหลจึงได้ตัดสินใจให้รัตตะกุมาร  (เจ้ารัก) สละเพศฆราวาส  ให้บวชประพฤติตนบำเพ็ญประโยชน์เพื่อลบรอยมลทินที่ได้สร้างมาจนกว่าจะสิ้นชีวิตจากโลกไป
       
             ส่วนยมกะกุมารหรือเจ้ายมนั้น  ครั้นเมื่อสู่วัยชราจึงได้สละเพศฆราวาสได้ออกบวชตามพี่ชาย  (เจ้ารัก)  เพื่อบำเพ็ญศีลภาวนา  ตามอาศรมของพระฤๅษีในสถานที่ต่าง ๆ ทั่วไป ต่อมาฤๅษีพหลผู้เป็นพระอาจารย์ถึงวัยชราใกล้ถึงการอายุขัย  ย่อมหนีกฏแห่งกรรมไม่พ้นคือ  มีเกิดก็ต้องมีดับเหมือนกันทุกชีวิต  ฤๅษีพหลจึงเรียกสองนักบวชผู้เป็นศิษย์มาพบอีกครั้งหนึ่งเมื่อสองพระกุมารมาพบพระอาจารย์ฤๅษีพหลจึงถามศิษย์ทั้งสองว่า  “อยากได้อะไรที่เหนือกว่าโลกนี้”  สองจะปฏิบัติตามคำอาจารย์หมดทุกอย่าง”  ฤๅษีพหลจึงให้พรว่า  “เจ้าทั้งสองแม้จะไปเกิดชาติปางใดก็ตามขอให้เสน่ห์เป็นที่รักของคนทั่ว ๆ ไป  จะไม่มีศัตรูทั้งปวงจะไปเกิดบนโลกมนุษย์ไม่ได้  ท่านทั้งสองจะต้องเป็นวัตถุ  แต่ไม่มีชีวิตจิตใจวัตถุสิ่งนั้นจะต้องดังมีชื่อเสียงก้องยืนนาน”
       
             เมื่อฤๅษีพหลกล่าวพรจบทานก็ถึงกาลกิริยาวิญญาณ  ก็ออกจากร่างไป  ณ  ที่นั้น  พระกุมารทั้งสองจึงได้ทำการขุดหลุมฝังศพของฤๅษีพหลผู้เป็นพระอาจารย์ในที่นั้น  ต่อมาไม่นานหลุมฝังศพของฤๅษีพหลก็เกิดมีไม้ชนิดหนึ่งขึ้นมา  มีดอกซ้อนแพรวพราวอันสวยงาม  แถมยังเป็นไม้ที่ปวงชนรักใคร่กันทั่วไป  ดังประชาชนที่เรียกกันทุกวันนี้ว่า
    ต้นรักซ้อน
       
             ต่อมาก็ได้มีพันธ์ไม้อีกชนิดหนึ่งได้ขึ้นคู่เคียงกับต้นรักซ้อนมีผลชูช่ออันตระกานตาจนภายหลังมีชื่อขานนามว่ารักยม  ต่อมาชาวบ้านจึงเรียกกันว่ามะยมด้วยข้อมูลที่ได้กล่าวมาแล้วนั้นนักปราชญ์  คณาจารย์ต่างคิดค้นทำรักยกกันขึ้นมา  นี่แหละครับความเป็นมาของรักยมรวมทั้งข้อมูลต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้ว
       
             ผู้ที่จะใช้รัก – ยม  จะต้องมีหิ้งขนาดปานกลาง  หิ้งนั้นต้องติดไว้ที่หัวนอน ก่อนนอนต้องบูชาทุกคืนใช้คาถารักยมหรือจะให้คาถากุมาร  20  ก็ได้  ก็มีอยู่ว่า  โอมมะอัดแอ  ลืมพ่อลืมแม่  ปู่เจ้าสมิงไพร  ช้างกินก็ลืมโรง  โขลงกินก็ลืมไพร  จะอยู่มิได้  โม  ร้องไห้มาหากู  มาจนถึงที่สำนักมาตามหลัก  มาตามโขลง  นางทองอย่าเสือก  นางเผือกอย่าทัดไพร  อะ  อยู่มิได้  โม ร้องไห้มาหากู  โอมมะอะทิ  เอหิมะมะ  นะมะพะทะ  อะระหัง
       
             คาถาบทนี้บูชารัก – ยมทุกคืนก่อนนอน  จะปลอดภัยจากเรื่องภัยศัตรู  แม้แต่คนที่เคยคิดจะเป็นศัตรูกับเราก็จะมาคืนดีกับเราจะสมความปรารถนาหมดทุกอย่าง  (ส่วนในเรื่องอภินิหารของรัก – ยมนั้น  ผู้เขียนขอสงวนไว้ก่อน
    ครับ)
       
             เป็นอันว่า  ผู้จะคิดใช้รัก-ยมเป็นเครื่องรางของขลังอีกชนิดหนึ่ง แม้แต่นายพลนายพันชั้นพิเศษบางท่าน  ก็ยังนำไปใช้ติดตัวกันเป็นประจำ  แม้แต่คณาจารย์สมัยก่อนมีประชาชนไปขอเครื่องรางของขลังจากท่านเป็นต้นว่า  รัก-ยม  กุมารทอง  และนางกวักอีกมากมายหลายอย่าง

    • Update : 16/5/2554
    © Copyright 2011 www.watnongmuang.com All rights reserved 999arch